The KOMMON
TK Park website
No Result
View All Result
The KOMMON
TK Park website
No Result
View All Result
The KOMMON
No Result
View All Result
 
Read
Common VIEW
ถ้าไม่มีพื้นที่ทางศิลปะที่เป็นมิตร คนก็ไม่กล้าเรียนรู้ศิลปะ คุยกับ สิริมาดา และ ภาณุ แห่ง Xspace Gallery
Common VIEW
  • Common VIEW

ถ้าไม่มีพื้นที่ทางศิลปะที่เป็นมิตร คนก็ไม่กล้าเรียนรู้ศิลปะ คุยกับ สิริมาดา และ ภาณุ แห่ง Xspace Gallery

1,232 views

 8 mins

3 MINS

June 6, 2022

Last updated - July 14, 2022

เวลาเดินเข้าไปชมงานศิลปะ หลายคนอาจรู้สึกตัวเล็กลีบ เพราะมีความคิดฝังหัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง และภาพจำของศิลปะ มักถูกทำให้สูงส่งจนไกลตัวไปจากชีวิตของทุกคน ทั้งๆ ที่ศิลปะคือส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจ ไปจนถึงการเขย่าสังคมด้วยเนื้อหาหรือทัศนคติที่บรรจุภายในงานแต่ละชิ้น

เพราะไม่อยากให้ศิลปะกลายเป็นเรื่องไกลตัว และอยากให้ทุกคนเดินเข้าหาศิลปะได้แบบคนเท่ากัน คนทำงานศิลปะอย่าง แนน – สิริมาดา ศุภองค์ประภา ผู้ก่อตั้ง Xspace Gallery และ ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ คิวเรเตอร์และผู้ออกแบบนิทรรศการประจำแกลเลอรี จึงพยายามสร้างทัศนคติใหม่ๆ ให้กับการดูงานศิลปะ จากการลองผิดลองถูกในการเปิดแกลเลอรีมาเกือบหนึ่งปีครึ่ง จนพบว่าที่จริงแล้ว พื้นที่ควรจัดแสดงงานศิลปะให้คุยกับคนทั่วไป และทำให้ศิลปะเป็นของทุกคนได้ โดยไม่มีเรื่องทุนทรัพย์มาเกี่ยวข้อง พวกเขาจึงออกแบบแกลเลอรีที่ไม่เน้นความเป็นทางการ ไม่มีภาษาเข้าใจยาก ไม่มีบรรยากาศขึงขัง จริงจัง หรือไว้ตัว แต่ทำให้แกลเลอรีเป็นเหมือน ‘พื้นที่สาธารณะ’ ในการเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยน ต่อยอดไปจากประเด็นที่ศิลปินทิ้งไว้ในผลงาน

จากที่แค่เข้าไปดูยังไม่กล้า พวกเขาทำอย่างไรให้เกิดการเรียนรู้ในพื้นที่ทางศิลปะ และการเรียนรู้ที่ว่านั้นเป็นอย่างไร และที่สำคัญ จะทำอย่างไรให้ศิลปะถูกส่งไปถึงทุกคนได้อย่างเท่าเทียม นี่อาจเป็นความท้าทายทั้งภาครัฐและเอกชนในการช่วยกันสร้างพื้นที่แห่งความสร้างสรรค์นี้ไปพร้อมกัน

เสรีภาพและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเข้าถึงศิลปะ

“การเรียนรู้ศิลปะเป็นการปลดล็อกตัวเราที่เมื่อก่อนชอบกังวลว่า ควรทําแบบนั้นไหม ควรทำแบบนี้ไหม เราเก็บวิธีนี้ไปใช้กับชีวิตประจำวันเลยด้วยซ้ำ รู้สึกว่าศิลปะทำให้เราได้มีเสรีภาพทางความคิด แถมไปคุยกับคนประเทศไหนก็ได้ เพราะศิลปะเป็นหัวข้อเดียวกัน เลยช่วยเปิดโลกด้วย”

นี่คือหนึ่งบทเรียนจากชีวิตส่วนตัวของสิริมาดา หลังจากได้ลองไปสัมผัสกับศิลปะที่พาให้มาเจอกับวิธีคิดใหม่ๆ และนำไปปรับใช้กับชีวิตจริงๆ นอกห้องจัดแสดงได้

แต่มากกว่าการเรียนรู้ส่วนตัวแล้ว สิ่งที่ศิลปะมอบให้คือแรงบันดาลใจที่จะนำไปสู่ไอเดียหรือการแก้ปัญหาใหม่ๆ อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้วิธีสื่อสาร ที่จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไปสู่สังคมไม่มากก็น้อย ซึ่งภาณุได้ยกตัวอย่างงานศิลปะในต่างประเทศที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว

“มีตัวอย่างที่น่าสนใจคือ โจเซฟ บอยส์ (Joseph Beuys) ศิลปินเยอรมันที่หลายสิบปีที่แล้วทำโปรเจกต์ 7000 Oaks – City Forestation Instead of City Administration ในงาน documenta 7 เมืองคาสเซล มันไม่ใช่ชิ้นงานศิลปะที่ออกมาเป็นประติมากรรมหรือภาพวาด แต่เขาจัดแสดงด้วยการปลูกต้นโอ๊ค เพื่อรณรงค์ให้คนในเมืองมาปลูกต้นโอ๊คให้ครบเจ็ดพันต้น แต่ละต้นที่ปลูกก็จะฝังเสาหินเป็นเครื่องหมายกํากับไว้ ซึ่งเขาก็ค่อยๆ ทยอยปลูกไปเรื่อยๆ จนคนในสังคมเห็น ก็เลยมาร่วมปลูกต้นโอ๊คจนถึงเจ็ดพันต้นจริงๆ และปัจจุบัน ต้นโอ๊คกลายเป็นต้นไม้ที่เติบโตอยู่ในเมืองนั้น สร้างภูมิทัศน์จากเมืองที่แห้งแล้ง ให้กลายเป็นป่า นี่คืองานศิลปะที่ขับเคลื่อนสังคมได้ และทำให้ชุมชนได้เรียนรู้ไปด้วย”

ภาณุยังชวนคิดต่อไปว่า จริงๆ แล้วศิลปะนั้นอยู่แวดล้อมตัวเรามาโดยตลอด ตั้งแต่เสื้อผ้าที่ใส่ไปจนถึงโทรศัพท์ที่เราใช้ ชีวิตของมนุษย์ไม่เคยขาดศิลปะในการดำรงชีวิต แต่การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทำให้บางคนหลงลืมการชื่นชมความสวยงามเหล่านี้ไป ซึ่งหากมองกลับไปในวัยเด็ก เกือบทุกคนต้องชอบช่วงเวลาที่ได้จับแท่งสีมาละเลงผนังหรือกระดาษ มันคือสัญชาตญานของคนในการมองหาความงามในชีวิต และที่ศิลปะหล่นหายไปจากชีวิตเรานั้น เกิดจาก ‘ระบบการศึกษา’

สิริมาดา ศุภองค์ประภา ผู้ก่อตั้ง Xspace Gallery

“เราอยู่ในสังคมที่มุ่งเน้นการศึกษาแบบด้านเดียว ถ้าคุณไปดูในต่างประเทศ โรงเรียนจะพาเด็กๆ ไปพิพิธภัณฑ์ตลอดเวลาเพื่อดูความหลากหลาย ผมว่าการศึกษาบ้านเราเป็นปัญหาที่ทําให้ศิลปะห่างจากชีวิตคนมากขึ้น เพราะไปมุ่งเน้นว่าคุณจบมาแล้วต้องทําอะไร อย่างเช่นคุณเรียนสายวิชาชีพก็ต้องเป็นวิชาชีพอย่างเดียว คุณเรียนสายวิทย์ต้องไปเรียนเลข ดิ่งไปอย่างเดียว แต่ไม่เคยบูรณาการเข้าด้วยกัน

“ส่วนวิชาศิลปะที่สอนในไทย บังคับให้เราไปเรียน ไปท่องจํา ไปเข้าใจ พอเข้าใจยากเข้าไปอีก ก็เลยเลิกสนใจเลย” สิริมาดาย้ำกับเราถึงปัญหาการเรียนรู้ศิลปะที่ทำให้สุดท้ายศิลปะก็กลายเป็นของไกลตัวของคนทั่วไป

อยากให้คนเรียนรู้ศิลปะ ต้องไม่กีดกันใครออกไปจากพื้นที่

หากจะริเริ่มสร้างพื้นที่ทางศิลปะให้คนเข้ามาเรียนรู้ สิริมาดามองว่า “สนุกและง่ายเข้าไว้” เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในการสร้างพื้นที่ศิลปะที่ช่วยให้เป็นมิตรต่อคนที่อยากเข้ามาเรียนรู้มากขึ้น

“ที่ Xspace เมื่อก่อนใต้รูปก็ต้องมีอธิบายว่างานศิลปะนี้คืออะไร มีความหมายอย่างไร เราเป็นคนทําก็เหนื่อย คนมาชมงานก็เหนื่อย เพราะว่ากว่าจะดูเสร็จแต่ละชั้น อ่านแทบตาย หลังๆ เลยไม่ได้ใส่ข้อมูลมากมาย” เจ้าของแกลเลอรีเล่าเจือรอยยิ้ม ก่อนจะบอกว่าเธอเปลี่ยนมาออกแบบพื้นที่โดยลดขั้นตอนและความเป็นทางการลง รวมไปถึงเพิ่มการสื่อสารระหว่างงานศิลปะกับคนดูมากขึ้น ผ่าน Art Tour หรือการเดินชมงานศิลปะกับศิลปินหรือคิวเรเตอร์ ที่ไม่ใช่การบรรยายแรงบันดาลใจด้วยศัพท์แสงยากๆ แต่เป็นการเล่าเรื่องให้สนุกและไม่จำเจ โดยบทสนทนาก็จะเป็นได้ทั้งการตั้งคำถามแสดงความเห็นโต้ตอบไปมา การเล่า Fun Fact ที่พาเปิดโลกศิลปะมากยิ่งขึ้น เช่น งานล่าสุดอย่าง The Colors of Jazz Solo Exhibition ที่หยิบแสดงผลงานศิลปะของศิลปินที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกเมื่อฟังเพลงแจ๊สมาจัดแสดง นอกจากจะได้คุยกับศิลปินหรือคิวเรเตอร์แล้ว ยังแปะโค้ดเพลงจากสปอติฟายให้ทุกคนได้ลองฟังตามไปด้วยกันแบบสบายๆ

ถ้าไม่มีพื้นที่ทางศิลปะที่เป็นมิตร คนก็ไม่กล้าเรียนรู้ศิลปะ คุยกับ สิริมาดา และ ภาณุ แห่ง X-space Gallery

“ถ้าบางคนมีประสบการณ์ มีวิธีคิด ก็สามารถเดินชมได้เอง แต่ถ้าคนที่ใหม่ในวงการศิลปะ การมีคนมาเป็นไกด์ทัวร์ให้ก็อาจจะชวนให้เข้าใจผลงานได้เร็วขึ้น รู้วิธีมองงาน สนุกกับการสำรวจศิลปะมากขึ้น ไม่รู้สึกว่าศิลปะเป็นเรื่องเข้าถึงยากเกินไป ซึ่งปกติการเดินทัวร์ก็จะเล่าที่มาที่ไป แรงบันดาลใจเป็นยังไง เทคนิคทำยังไง บางทีก็เล่าถึงตัวตนของศิลปินว่าเขาเป็นใคร พื้นเพที่ไหน ถึงทําให้งานของเขาออกมาเป็นแบบนี้”

“เมื่อก่อนเราจะเข้าใจว่าแค่แขวนรูป ติดตั้งผลงานก็พอแล้ว แต่จริงๆ ไม่ใช่ เราต้องวางแผนเนื้อหาที่จะนำเสนอ ทำยังไงให้บทสนทนาไปต่อได้ในการชมงาน ทำยังไงให้คนที่มาชมงานได้อะไรกลับไป แล้วจะนำเสนอด้วยวิธีการไหน ซึ่งต้องผ่านการวางแผนมาหนักมากๆ เพื่อให้การเรียนรู้ศิลปะมันเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับการเสพงาน”

สิริมาดามองว่าการทำให้ศิลปะมีชีวิตผ่านบทสนทนา จะค่อยๆ ปลูกต้นกล้าให้กับคนที่อยากเรียนรู้ หรือแม้แต่เด็กๆ ที่เริ่มสนใจศิลปะ ซึ่งอาจทำให้หลายคนได้เห็นภาพมากขึ้นว่า ถ้าสนใจอยากทำอาชีพเกี่ยวกับงานศิลปะ จะได้พบเจอกับอะไรบ้าง

สำหรับภาณุเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกันว่าการสื่อสารด้วยวิธีการเล่าให้ฟัง และสื่อสารด้วยภาษาธรรมดาๆ จะทำให้คนไม่กลัวศิลปะ “เราเชื่อว่าเราสามารถทำให้การดูศิลปะไม่ต้องปีนกะไดได้ เราจึงใช้วิธีสื่อสารด้วยภาษาชาวบ้าน คือพูดอธิบายให้ฟังง่าย ให้คนรู้สึกว่าผ่อนคลายแล้วก็รู้สึกว่าศิลปะไม่น่ากลัว เราอยากให้มองศิลปะด้วยสายตาของเด็กๆ ที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะดูไม่ฉลาด ถ้าสงสัยก็ถามได้เลย”

การเติบโตของแกลเลอรีในฐานะพื้นที่เรียนรู้ศิลปะ

“ในประเทศเรามีพิพิธภัณฑ์ศิลปะน้อยมาก” นอกจากเรื่องระบบการศึกษาที่ตัดศิลปะออกไปจากชีวิตจนขาดการเรียนรู้ ทั้งสิริมาดาและภาณุยังเสริมเหตุผลอีกข้อคือเรื่องของพื้นที่ทางศิลปะในชีวิตประจำวัน

ภาณุชวนเรานึกถึงพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยที่มีภาครัฐเป็นเจ้าของ ซึ่งคำตอบคือไม่มีเลย

“ถ้าไปดูต่างประเทศ แต่ละเมืองจะมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเยอะมาก หรือพิพิธภัณฑ์ศิลปะทั่วไป ก็เก็บงานสําคัญของชาติไว้ด้วย โดยรัฐเป็นคนสร้างทั้งหมด กลับมาในไทย งานของศิลปินแห่งชาติสูญหายไปเยอะมาก ไม่มีที่จะเก็บ ไม่มีที่จัดแสดง ทำให้เยาวชนของเราไม่มีโอกาสได้ดูงานดีๆ เราไม่เห็นความสําคัญนี้ เห็นแต่ความสําคัญของธุรกิจหรือของเศรษฐกิจ โดยไปตั้งคำถามว่างานชิ้นนี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจตรงไหน ซึ่งถ้ามองดีๆ สิ่งเหล่านี้คือซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐพูดบ่อยๆ ด้วยซ้ำ”

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ คิวเรเตอร์และผู้ออกแบบนิทรรศการประจำแกลเลอรี
Photo : ​​สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

สิริมาดาช่วยเสริมว่าการมีอยู่ของพื้นที่นั้นสำคัญมากในการเรียนรู้ศิลปะ เพราะช่วยทำให้ศิลปะเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ผ่านการได้เห็น ผ่านการได้ยิน ผ่านการเข้าไปทำความรู้จัก หรือแม้แต่เข้าไปเดินเล่น เหมือนในต่างประเทศที่เราอาจตั้งคำถามว่าทำไมเขามีความคิดสร้างสรรค์ ทำไมเขาออกแบบผลิตภัณฑ์ดีๆ ออกมาได้

“ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เขาได้เห็นศิลปะอยู่รอบตัวมาตั้งแต่เกิด เห็นมาทั้งชีวิต โรงเรียนที่ต่างประเทศจะมีโปรแกรมพาเข้ามิวเซียมทุกอาทิตย์ แล้วก็อธิบายงานแต่ละชิ้น จนเด็กๆ ซึมซับได้”

สำหรับประเทศไทย ภาณุมองเห็นความหวังเล็กๆ ในวันที่ไร้การสนับสนุนจากภาครัฐ ก็คือภาคเอกชน ประชาชน และคนที่สนใจศิลปะ พวกเขาตัดสินใจลุกขึ้นมาทำพื้นที่ทางศิลปะกันเองมากยิ่งขึ้น และกระจายอยู่ตามชุมชนต่างๆ

“อย่างสุขุมวิทก็มีแกลเลอรีเยอะขึ้น ไม่ว่าจะ Galerie Oasis, WTF Gallery and Café หรือ SAC Gallery หรือมีกิจกรรม Galleries’ Night ที่คนทำแกลเลอรี่รวมตัวกันสร้างทัวร์งานศิลปะมาอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งสําคัญคือพวกเขาจัดกิจกรรมที่ไม่ได้คํานึงถึงแต่ธุรกิจอย่างเดียว แต่คํานึงถึงการให้ความรู้คน ให้แรงบันดาลใจคนด้วย เปิดให้คนได้มาดูงานฟรี ซึ่งก็มีทั้งนําชมหรือว่าทํากิจกรรมต่างๆ ให้คนได้มีส่วนร่วม จะเห็นได้ว่าเอกชนก็ทํากันเองเยอะ แล้วก็ทําได้ดีด้วย”

ซึ่งสิริมาดาเองก็ลุกขึ้นมาทำ Xspace ด้วยความคิดดังกล่าว แต่ก็ยังเชื่อว่าหากรัฐมาสนับสนุน จะทำให้พื้นที่ทางศิลปะไปได้ไกลกว่าเดิม

“สุดท้ายแล้วรัฐต้องสนับสนุนให้คนทำงานศิลปะอยู่ได้ ประกอบเป็นอาชีพได้ อย่างประเทศรอบๆ เราที่เขาพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ คนทำงานศิลปะทำเป็นอาชีพได้เพราะรัฐสนับสนุนทั้งศิลปินและพื้นที่ศิลปะ นั่นจะทำให้สิ่งที่เอกชนกำลังพยายามทำกันเอง จะเดินหน้าทำต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ”

เมื่อทุกคนเข้าถึงพื้นที่ศิลปะได้อย่างเท่าเทียม และรับไปอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน เมื่อนั้นศิลปะจะช่วยให้สังคมยิ่งงอกงาม

ถ้าไม่มีพื้นที่ทางศิลปะที่เป็นมิตร คนก็ไม่กล้าเรียนรู้ศิลปะ คุยกับ สิริมาดา และ ภาณุ  แห่ง X-space Gallery
Tags: Artspaceพื้นที่การเรียนรู้

เรื่องโดย

1.2k
VIEWS
พลอยรุ้ง สิบพลาง เรื่อง

นักทำคอนเทนต์จาก ไอแอลไอ ยู ที่มี co-learning space เล็กๆ ของตัวเองในต่างจังหวัด และสนใจชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีทั้งตัวเราและธรรมชาติ

ฟ้าใส ศิริจันทนันท์ ภาพ
You do not have any posts.

เวลาเดินเข้าไปชมงานศิลปะ หลายคนอาจรู้สึกตัวเล็กลีบ เพราะมีความคิดฝังหัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง และภาพจำของศิลปะ มักถูกทำให้สูงส่งจนไกลตัวไปจากชีวิตของทุกคน ทั้งๆ ที่ศิลปะคือส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจ ไปจนถึงการเขย่าสังคมด้วยเนื้อหาหรือทัศนคติที่บรรจุภายในงานแต่ละชิ้น

เพราะไม่อยากให้ศิลปะกลายเป็นเรื่องไกลตัว และอยากให้ทุกคนเดินเข้าหาศิลปะได้แบบคนเท่ากัน คนทำงานศิลปะอย่าง แนน – สิริมาดา ศุภองค์ประภา ผู้ก่อตั้ง Xspace Gallery และ ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ คิวเรเตอร์และผู้ออกแบบนิทรรศการประจำแกลเลอรี จึงพยายามสร้างทัศนคติใหม่ๆ ให้กับการดูงานศิลปะ จากการลองผิดลองถูกในการเปิดแกลเลอรีมาเกือบหนึ่งปีครึ่ง จนพบว่าที่จริงแล้ว พื้นที่ควรจัดแสดงงานศิลปะให้คุยกับคนทั่วไป และทำให้ศิลปะเป็นของทุกคนได้ โดยไม่มีเรื่องทุนทรัพย์มาเกี่ยวข้อง พวกเขาจึงออกแบบแกลเลอรีที่ไม่เน้นความเป็นทางการ ไม่มีภาษาเข้าใจยาก ไม่มีบรรยากาศขึงขัง จริงจัง หรือไว้ตัว แต่ทำให้แกลเลอรีเป็นเหมือน ‘พื้นที่สาธารณะ’ ในการเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยน ต่อยอดไปจากประเด็นที่ศิลปินทิ้งไว้ในผลงาน

จากที่แค่เข้าไปดูยังไม่กล้า พวกเขาทำอย่างไรให้เกิดการเรียนรู้ในพื้นที่ทางศิลปะ และการเรียนรู้ที่ว่านั้นเป็นอย่างไร และที่สำคัญ จะทำอย่างไรให้ศิลปะถูกส่งไปถึงทุกคนได้อย่างเท่าเทียม นี่อาจเป็นความท้าทายทั้งภาครัฐและเอกชนในการช่วยกันสร้างพื้นที่แห่งความสร้างสรรค์นี้ไปพร้อมกัน

เสรีภาพและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเข้าถึงศิลปะ

“การเรียนรู้ศิลปะเป็นการปลดล็อกตัวเราที่เมื่อก่อนชอบกังวลว่า ควรทําแบบนั้นไหม ควรทำแบบนี้ไหม เราเก็บวิธีนี้ไปใช้กับชีวิตประจำวันเลยด้วยซ้ำ รู้สึกว่าศิลปะทำให้เราได้มีเสรีภาพทางความคิด แถมไปคุยกับคนประเทศไหนก็ได้ เพราะศิลปะเป็นหัวข้อเดียวกัน เลยช่วยเปิดโลกด้วย”

นี่คือหนึ่งบทเรียนจากชีวิตส่วนตัวของสิริมาดา หลังจากได้ลองไปสัมผัสกับศิลปะที่พาให้มาเจอกับวิธีคิดใหม่ๆ และนำไปปรับใช้กับชีวิตจริงๆ นอกห้องจัดแสดงได้

แต่มากกว่าการเรียนรู้ส่วนตัวแล้ว สิ่งที่ศิลปะมอบให้คือแรงบันดาลใจที่จะนำไปสู่ไอเดียหรือการแก้ปัญหาใหม่ๆ อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้วิธีสื่อสาร ที่จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไปสู่สังคมไม่มากก็น้อย ซึ่งภาณุได้ยกตัวอย่างงานศิลปะในต่างประเทศที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว

“มีตัวอย่างที่น่าสนใจคือ โจเซฟ บอยส์ (Joseph Beuys) ศิลปินเยอรมันที่หลายสิบปีที่แล้วทำโปรเจกต์ 7000 Oaks – City Forestation Instead of City Administration ในงาน documenta 7 เมืองคาสเซล มันไม่ใช่ชิ้นงานศิลปะที่ออกมาเป็นประติมากรรมหรือภาพวาด แต่เขาจัดแสดงด้วยการปลูกต้นโอ๊ค เพื่อรณรงค์ให้คนในเมืองมาปลูกต้นโอ๊คให้ครบเจ็ดพันต้น แต่ละต้นที่ปลูกก็จะฝังเสาหินเป็นเครื่องหมายกํากับไว้ ซึ่งเขาก็ค่อยๆ ทยอยปลูกไปเรื่อยๆ จนคนในสังคมเห็น ก็เลยมาร่วมปลูกต้นโอ๊คจนถึงเจ็ดพันต้นจริงๆ และปัจจุบัน ต้นโอ๊คกลายเป็นต้นไม้ที่เติบโตอยู่ในเมืองนั้น สร้างภูมิทัศน์จากเมืองที่แห้งแล้ง ให้กลายเป็นป่า นี่คืองานศิลปะที่ขับเคลื่อนสังคมได้ และทำให้ชุมชนได้เรียนรู้ไปด้วย”

ภาณุยังชวนคิดต่อไปว่า จริงๆ แล้วศิลปะนั้นอยู่แวดล้อมตัวเรามาโดยตลอด ตั้งแต่เสื้อผ้าที่ใส่ไปจนถึงโทรศัพท์ที่เราใช้ ชีวิตของมนุษย์ไม่เคยขาดศิลปะในการดำรงชีวิต แต่การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทำให้บางคนหลงลืมการชื่นชมความสวยงามเหล่านี้ไป ซึ่งหากมองกลับไปในวัยเด็ก เกือบทุกคนต้องชอบช่วงเวลาที่ได้จับแท่งสีมาละเลงผนังหรือกระดาษ มันคือสัญชาตญานของคนในการมองหาความงามในชีวิต และที่ศิลปะหล่นหายไปจากชีวิตเรานั้น เกิดจาก ‘ระบบการศึกษา’

สิริมาดา ศุภองค์ประภา ผู้ก่อตั้ง Xspace Gallery

“เราอยู่ในสังคมที่มุ่งเน้นการศึกษาแบบด้านเดียว ถ้าคุณไปดูในต่างประเทศ โรงเรียนจะพาเด็กๆ ไปพิพิธภัณฑ์ตลอดเวลาเพื่อดูความหลากหลาย ผมว่าการศึกษาบ้านเราเป็นปัญหาที่ทําให้ศิลปะห่างจากชีวิตคนมากขึ้น เพราะไปมุ่งเน้นว่าคุณจบมาแล้วต้องทําอะไร อย่างเช่นคุณเรียนสายวิชาชีพก็ต้องเป็นวิชาชีพอย่างเดียว คุณเรียนสายวิทย์ต้องไปเรียนเลข ดิ่งไปอย่างเดียว แต่ไม่เคยบูรณาการเข้าด้วยกัน

“ส่วนวิชาศิลปะที่สอนในไทย บังคับให้เราไปเรียน ไปท่องจํา ไปเข้าใจ พอเข้าใจยากเข้าไปอีก ก็เลยเลิกสนใจเลย” สิริมาดาย้ำกับเราถึงปัญหาการเรียนรู้ศิลปะที่ทำให้สุดท้ายศิลปะก็กลายเป็นของไกลตัวของคนทั่วไป

อยากให้คนเรียนรู้ศิลปะ ต้องไม่กีดกันใครออกไปจากพื้นที่

หากจะริเริ่มสร้างพื้นที่ทางศิลปะให้คนเข้ามาเรียนรู้ สิริมาดามองว่า “สนุกและง่ายเข้าไว้” เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญในการสร้างพื้นที่ศิลปะที่ช่วยให้เป็นมิตรต่อคนที่อยากเข้ามาเรียนรู้มากขึ้น

“ที่ Xspace เมื่อก่อนใต้รูปก็ต้องมีอธิบายว่างานศิลปะนี้คืออะไร มีความหมายอย่างไร เราเป็นคนทําก็เหนื่อย คนมาชมงานก็เหนื่อย เพราะว่ากว่าจะดูเสร็จแต่ละชั้น อ่านแทบตาย หลังๆ เลยไม่ได้ใส่ข้อมูลมากมาย” เจ้าของแกลเลอรีเล่าเจือรอยยิ้ม ก่อนจะบอกว่าเธอเปลี่ยนมาออกแบบพื้นที่โดยลดขั้นตอนและความเป็นทางการลง รวมไปถึงเพิ่มการสื่อสารระหว่างงานศิลปะกับคนดูมากขึ้น ผ่าน Art Tour หรือการเดินชมงานศิลปะกับศิลปินหรือคิวเรเตอร์ ที่ไม่ใช่การบรรยายแรงบันดาลใจด้วยศัพท์แสงยากๆ แต่เป็นการเล่าเรื่องให้สนุกและไม่จำเจ โดยบทสนทนาก็จะเป็นได้ทั้งการตั้งคำถามแสดงความเห็นโต้ตอบไปมา การเล่า Fun Fact ที่พาเปิดโลกศิลปะมากยิ่งขึ้น เช่น งานล่าสุดอย่าง The Colors of Jazz Solo Exhibition ที่หยิบแสดงผลงานศิลปะของศิลปินที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกเมื่อฟังเพลงแจ๊สมาจัดแสดง นอกจากจะได้คุยกับศิลปินหรือคิวเรเตอร์แล้ว ยังแปะโค้ดเพลงจากสปอติฟายให้ทุกคนได้ลองฟังตามไปด้วยกันแบบสบายๆ

ถ้าไม่มีพื้นที่ทางศิลปะที่เป็นมิตร คนก็ไม่กล้าเรียนรู้ศิลปะ คุยกับ สิริมาดา และ ภาณุ แห่ง X-space Gallery

“ถ้าบางคนมีประสบการณ์ มีวิธีคิด ก็สามารถเดินชมได้เอง แต่ถ้าคนที่ใหม่ในวงการศิลปะ การมีคนมาเป็นไกด์ทัวร์ให้ก็อาจจะชวนให้เข้าใจผลงานได้เร็วขึ้น รู้วิธีมองงาน สนุกกับการสำรวจศิลปะมากขึ้น ไม่รู้สึกว่าศิลปะเป็นเรื่องเข้าถึงยากเกินไป ซึ่งปกติการเดินทัวร์ก็จะเล่าที่มาที่ไป แรงบันดาลใจเป็นยังไง เทคนิคทำยังไง บางทีก็เล่าถึงตัวตนของศิลปินว่าเขาเป็นใคร พื้นเพที่ไหน ถึงทําให้งานของเขาออกมาเป็นแบบนี้”

“เมื่อก่อนเราจะเข้าใจว่าแค่แขวนรูป ติดตั้งผลงานก็พอแล้ว แต่จริงๆ ไม่ใช่ เราต้องวางแผนเนื้อหาที่จะนำเสนอ ทำยังไงให้บทสนทนาไปต่อได้ในการชมงาน ทำยังไงให้คนที่มาชมงานได้อะไรกลับไป แล้วจะนำเสนอด้วยวิธีการไหน ซึ่งต้องผ่านการวางแผนมาหนักมากๆ เพื่อให้การเรียนรู้ศิลปะมันเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับการเสพงาน”

สิริมาดามองว่าการทำให้ศิลปะมีชีวิตผ่านบทสนทนา จะค่อยๆ ปลูกต้นกล้าให้กับคนที่อยากเรียนรู้ หรือแม้แต่เด็กๆ ที่เริ่มสนใจศิลปะ ซึ่งอาจทำให้หลายคนได้เห็นภาพมากขึ้นว่า ถ้าสนใจอยากทำอาชีพเกี่ยวกับงานศิลปะ จะได้พบเจอกับอะไรบ้าง

สำหรับภาณุเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกันว่าการสื่อสารด้วยวิธีการเล่าให้ฟัง และสื่อสารด้วยภาษาธรรมดาๆ จะทำให้คนไม่กลัวศิลปะ “เราเชื่อว่าเราสามารถทำให้การดูศิลปะไม่ต้องปีนกะไดได้ เราจึงใช้วิธีสื่อสารด้วยภาษาชาวบ้าน คือพูดอธิบายให้ฟังง่าย ให้คนรู้สึกว่าผ่อนคลายแล้วก็รู้สึกว่าศิลปะไม่น่ากลัว เราอยากให้มองศิลปะด้วยสายตาของเด็กๆ ที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะดูไม่ฉลาด ถ้าสงสัยก็ถามได้เลย”

การเติบโตของแกลเลอรีในฐานะพื้นที่เรียนรู้ศิลปะ

“ในประเทศเรามีพิพิธภัณฑ์ศิลปะน้อยมาก” นอกจากเรื่องระบบการศึกษาที่ตัดศิลปะออกไปจากชีวิตจนขาดการเรียนรู้ ทั้งสิริมาดาและภาณุยังเสริมเหตุผลอีกข้อคือเรื่องของพื้นที่ทางศิลปะในชีวิตประจำวัน

ภาณุชวนเรานึกถึงพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยที่มีภาครัฐเป็นเจ้าของ ซึ่งคำตอบคือไม่มีเลย

“ถ้าไปดูต่างประเทศ แต่ละเมืองจะมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเยอะมาก หรือพิพิธภัณฑ์ศิลปะทั่วไป ก็เก็บงานสําคัญของชาติไว้ด้วย โดยรัฐเป็นคนสร้างทั้งหมด กลับมาในไทย งานของศิลปินแห่งชาติสูญหายไปเยอะมาก ไม่มีที่จะเก็บ ไม่มีที่จัดแสดง ทำให้เยาวชนของเราไม่มีโอกาสได้ดูงานดีๆ เราไม่เห็นความสําคัญนี้ เห็นแต่ความสําคัญของธุรกิจหรือของเศรษฐกิจ โดยไปตั้งคำถามว่างานชิ้นนี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจตรงไหน ซึ่งถ้ามองดีๆ สิ่งเหล่านี้คือซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐพูดบ่อยๆ ด้วยซ้ำ”

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ คิวเรเตอร์และผู้ออกแบบนิทรรศการประจำแกลเลอรี
Photo : ​​สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

สิริมาดาช่วยเสริมว่าการมีอยู่ของพื้นที่นั้นสำคัญมากในการเรียนรู้ศิลปะ เพราะช่วยทำให้ศิลปะเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ผ่านการได้เห็น ผ่านการได้ยิน ผ่านการเข้าไปทำความรู้จัก หรือแม้แต่เข้าไปเดินเล่น เหมือนในต่างประเทศที่เราอาจตั้งคำถามว่าทำไมเขามีความคิดสร้างสรรค์ ทำไมเขาออกแบบผลิตภัณฑ์ดีๆ ออกมาได้

“ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เขาได้เห็นศิลปะอยู่รอบตัวมาตั้งแต่เกิด เห็นมาทั้งชีวิต โรงเรียนที่ต่างประเทศจะมีโปรแกรมพาเข้ามิวเซียมทุกอาทิตย์ แล้วก็อธิบายงานแต่ละชิ้น จนเด็กๆ ซึมซับได้”

สำหรับประเทศไทย ภาณุมองเห็นความหวังเล็กๆ ในวันที่ไร้การสนับสนุนจากภาครัฐ ก็คือภาคเอกชน ประชาชน และคนที่สนใจศิลปะ พวกเขาตัดสินใจลุกขึ้นมาทำพื้นที่ทางศิลปะกันเองมากยิ่งขึ้น และกระจายอยู่ตามชุมชนต่างๆ

“อย่างสุขุมวิทก็มีแกลเลอรีเยอะขึ้น ไม่ว่าจะ Galerie Oasis, WTF Gallery and Café หรือ SAC Gallery หรือมีกิจกรรม Galleries’ Night ที่คนทำแกลเลอรี่รวมตัวกันสร้างทัวร์งานศิลปะมาอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งสําคัญคือพวกเขาจัดกิจกรรมที่ไม่ได้คํานึงถึงแต่ธุรกิจอย่างเดียว แต่คํานึงถึงการให้ความรู้คน ให้แรงบันดาลใจคนด้วย เปิดให้คนได้มาดูงานฟรี ซึ่งก็มีทั้งนําชมหรือว่าทํากิจกรรมต่างๆ ให้คนได้มีส่วนร่วม จะเห็นได้ว่าเอกชนก็ทํากันเองเยอะ แล้วก็ทําได้ดีด้วย”

ซึ่งสิริมาดาเองก็ลุกขึ้นมาทำ Xspace ด้วยความคิดดังกล่าว แต่ก็ยังเชื่อว่าหากรัฐมาสนับสนุน จะทำให้พื้นที่ทางศิลปะไปได้ไกลกว่าเดิม

“สุดท้ายแล้วรัฐต้องสนับสนุนให้คนทำงานศิลปะอยู่ได้ ประกอบเป็นอาชีพได้ อย่างประเทศรอบๆ เราที่เขาพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ คนทำงานศิลปะทำเป็นอาชีพได้เพราะรัฐสนับสนุนทั้งศิลปินและพื้นที่ศิลปะ นั่นจะทำให้สิ่งที่เอกชนกำลังพยายามทำกันเอง จะเดินหน้าทำต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ”

เมื่อทุกคนเข้าถึงพื้นที่ศิลปะได้อย่างเท่าเทียม และรับไปอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน เมื่อนั้นศิลปะจะช่วยให้สังคมยิ่งงอกงาม

ถ้าไม่มีพื้นที่ทางศิลปะที่เป็นมิตร คนก็ไม่กล้าเรียนรู้ศิลปะ คุยกับ สิริมาดา และ ภาณุ  แห่ง X-space Gallery
Tags: Artspaceพื้นที่การเรียนรู้

พลอยรุ้ง สิบพลาง เรื่อง

นักทำคอนเทนต์จาก ไอแอลไอ ยู ที่มี co-learning space เล็กๆ ของตัวเองในต่างจังหวัด และสนใจชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีทั้งตัวเราและธรรมชาติ

ฟ้าใส ศิริจันทนันท์ ภาพ
You do not have any posts.

Related Posts

เบื้องหลังการดีไซน์พื้นที่เรียนรู้แบบ Tailor-made ฉบับสถาปนิกชุมชน
Common VIEW

คุยกับ ธนา อุทัยภัตรากูร สถาปนิกชุมชน‘อาศรมศิลป์’เรื่องกระบวนการออกแบบพื้นที่เรียนรู้

January 26, 2023
449
สุวิทย์ ขาวปลอด : นักอ่านคือคนสำคัญในชีวิต
Common VIEW

สุวิทย์ ขาวปลอด : ชีวิตนักแปลที่มีนักอ่านคอยโอบอุ้ม

January 12, 2023
123
สมบูรณ์ สกุลสุทธวงศ์ : The Rise and Decline of D.K. Bookstore
Common VIEW

สมบูรณ์ สกุลสุทธวงศ์ : The Rise and Decline of D.K. Bookstore

January 4, 2023
376

Related Posts

เบื้องหลังการดีไซน์พื้นที่เรียนรู้แบบ Tailor-made ฉบับสถาปนิกชุมชน
Common VIEW

คุยกับ ธนา อุทัยภัตรากูร สถาปนิกชุมชน‘อาศรมศิลป์’เรื่องกระบวนการออกแบบพื้นที่เรียนรู้

January 26, 2023
449
สุวิทย์ ขาวปลอด : นักอ่านคือคนสำคัญในชีวิต
Common VIEW

สุวิทย์ ขาวปลอด : ชีวิตนักแปลที่มีนักอ่านคอยโอบอุ้ม

January 12, 2023
123
สมบูรณ์ สกุลสุทธวงศ์ : The Rise and Decline of D.K. Bookstore
Common VIEW

สมบูรณ์ สกุลสุทธวงศ์ : The Rise and Decline of D.K. Bookstore

January 4, 2023
376
ABOUT
SITE MAP
PRIVACY POLICY
CONTACT
Facebook-f
Youtube
Soundcloud
icon-tkpark

Copyright 2021 © All rights Reserved. by TK Park

  • READ
    • ALL
    • Common WORLD
    • Common VIEW
    • Common ROOM
    • Book of Commons
    • Common INFO
  • PODCAST
    • ALL
    • readWORLD
    • Coming to Talk
    • Read Around
    • WanderingBook
    • Knowledge Exchange
  • VIDEO
    • ALL
    • TK Forum
    • TK Common
    • TK Spark
  • UNCOMMON
    • ALL
    • Common ROOM
    • Common INFO
    • Common EXPERIENCE
    • Common SENSE

© 2021 The KOMMON by TK Park.

Welcome Back!

Login to your account below

Forgotten Password?

Retrieve your password

Please enter your username or email address to reset your password.

Log In

Add New Playlist

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่า อนุญาต
Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก
Privacy Preferences
https://www.thekommon.co/network/cache/breeze-minification/js/breeze_589e9b7d90b6745f627bf47920780702.js