สองพ่อลูกเสื้อผ้าเก่าขาดสกปรกเดินลากรถเข็นบรรทุกของรุงรังไปบนถนนรกร้าง ฟ้าเบื้องบนเป็นสีเทาขมุกขมัว สะเก็ดขี้เถ้าปลิวว่อนในอากาศ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้แห้งโกร๋นยืนตายซาก ไม่มีสรรพสัตว์อื่นใดหลงเหลืออยู่เลย
สายตาสอดส่ายไปรอบตัว มองหาสิ่งที่พอจะเป็นอาหารประทังความหิวโหยและเชื้อเพลิงที่จะมอบความอบอุ่นในค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาว ขณะเดียวกันก็ต้องคอยระวังภัยจากคนแปลกหน้าที่ดิ้นรนเอาตัวรอดถึงขั้นกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง
นี่คือภาพจำที่ติดตรึงใจใครหลายคนจากนิยายเรื่อง ‘The Road’ ของ ‘Cormac McCarthy’ หรือชื่อไทย ‘ถนนสายอำมหิต’ แปลโดย ‘นันทวัน เติมแสงสิริศักดิ์’ สำนักพิมพ์เอิร์นเนส พับลิชชิ่ง
นิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของ ‘พ่อกับลูกชาย’ ที่มีชีวิตรอดหลังโลกล่มสลายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่จนทำให้สภาพอากาศวิปริตแปรปรวน ทั้งแผ่นดินไหว ไฟป่า ภูเขาไฟระเบิดคร่าชีวิตผู้คนและผองสัตว์แทบไม่เหลือ แม่น้ำลำธารกลายเป็นสีดำ ต้นไม้ใบหญ้าตายเรียบ สะเก็ดขี้เถ้าปลิวว่อนไปทั่ว มองไปไหนก็มีแต่สีเทา
แต่สิ่งที่ตามมานั้นเลวร้ายยิ่งกว่า เมืองตกอยู่ในกลียุค อาหารขาดแคลน ผู้คนบางส่วนอพยพหนีไปตายดาบหน้า พวกที่เหลือหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเตรียมตัวเผชิญกับภาวะอดอยาก โจรผู้ร้ายคอยปล้นชิง และความมืดมิดเหน็บหนาวจากข้างนอก
“ผู้คนนั่งอยู่ตามริมถนนตอนรุ่งสางในสภาพสะบักสะบอมใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งประหนึ่งสมาชิกนิกายที่ร่วมกันฆ่าตัวตายหมู่แต่ไม่สำเร็จต่างก็เฝ้ารอความช่วยเหลือภายในปีเดียวกันนั้นเกิดไฟป่าลุกลามตามพื้นที่ภูเขาเสียงสวดมนต์ดังระงมสลับกับเสียงกรีดร้องของเหยื่อที่ถูกฆ่าครั้นสว่างก็เห็นศพโดนเสียบอยู่เรียงรายตามถนนผู้คนเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว” (หน้า 33)
“ไม่ช้าก็เร็วเราจะโดนจับไปฆ่าพวกมันจะข่มขืนฉันพวกมันจะข่มขืนลูกพวกมันจะข่มขืนเราฆ่าเราและก็กินเรา” (หน้า 55)
สองพ่อลูกกินอยู่แบบจำกัดจำเขี่ยและระแวดระวังทุกฝีก้าว กลางวันลากรถเข็นฝ่าอากาศเยือกเย็นและเปลวขี้เถ้าไปบนถนนหลวง ผ่านชนบทเวิ้งว้าง บ้านเรือนซอมซ่อ บางครั้งจอดแวะเข้าไปคุ้ยหาอาหาร เชื้อเพลิง หรือข้าวของเครื่องใช้อะไรก็ตามที่พอจะมีประโยชน์ บางครั้งต้องรีบหลบลงข้างทางไปซ่อนตามแนวป่า เพื่อหนีกลุ่มคนพเนจรอาวุธครบมือที่กำลังมองหามนุษย์อ่อนแอกว่าไปเป็นทาส เป็นนางบำเรอ แม้กระทั่งเป็นอาหาร!
คนจำนวนไม่น้อยเลือกปลิดชีพตัวเองเพื่อหนีความโหดร้ายป่าเถื่อน คนที่ใจไม่ถึงพอก็ต้องใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขจรจัด หลบๆ ซ่อนๆ คุ้ยหาเศษอาหารประทังชีวิตไปวันๆ แต่หลายคนยังหลอกตัวเองหรือไม่ก็ยังเชื่อมั่นว่า ต้องมีที่ไหนสักแห่งที่ยังมีคนดีๆ หลงเหลืออยู่ เช่นเดียวกับสองพ่อลูก ทั้งคู่จึงตัดสินใจเดินทางลงใต้ มุ่งหน้าสู่มหาสมุทร ด้วยปืนหนึ่งกระบอกที่มีกระสุนในรังเพลิงเพียงสองนัด — แบ่งกันคนละนัดพ่อลูก
ทว่าหนทางอันยาวไกลช่างเต็มไปด้วยความยากลำบาก ลุ้นระทึก หดหู่สิ้นหวัง วันแล้ววันเล่าทั้งคู่เดินไปบนถนนว่างเปล่าไร้ชีวิต เจอบ้านเรือนที่ถูกทิ้งร้าง ซากศพไหม้เกรียมจากไฟป่า แม่น้ำลำธารสีดำสนิทที่ไม่มีปลาแหวกว่ายอยู่สักตัว คนแปลกหน้าซึ่งเผชิญชะตากรรมเดียวกัน แม้กระทั่งเจอแก๊งโจรโฉดชั่ว
แต่เราก็ยังเห็นความรักความห่วงใยที่พ่อมีแก่ลูกชาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาคุมสติ กางแขนปกป้องลูกไม่ห่าง ทั้งยังพร่ำสอนวิธีเอาตัวรอด สอนให้ยึดมั่นคุณงามความดีที่ยังพอหลงเหลืออยู่ในตัวมนุษย์ ซึ่งบทสนทนาโต้ตอบของพ่อกับลูกชายในวันที่อาหารใกล้หมด สะท้อนออกมาได้อย่างกล้าหาญที่สุด
“เราจะไม่กินใครใช่ไหม
แน่นอนอยู่แล้ว
ต่อให้หิวโซแค่ไหน
ตอนนี้เราก็หิวจะตายอยู่แล้ว
ไหนพ่อว่าเราจะไม่ตาย
เราแค่หิวจะตายยังไม่ได้จะตายจริงๆ
แต่เราจะไม่กินคน
เราจะไม่กินคน
ยังไงก็ไม่กิน
หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่กิน
เพราะเราเป็นคนดี
ใช่
และเรามีแสงในใจ
เรามีแสงในใจใช่” (หน้า 120)
คอร์แมค แมคคาร์ทีย์ เจ้าของนิยายเล่มนี้เขียนเหมือนกลั่นตัวอักษรออกมาจากหัวอกคนเป็นพ่อ ทำให้เชื่อได้โดยไม่มีข้อกังขาว่าลูกคือดวงใจของพ่ออย่างแท้จริง และแม้โลกจะโหดร้ายเพียงใดก็ตาม ความดีงามก็ไม่สาบสูญไปจากจิตใจมนุษย์
สิ่งที่ประทับใจมากๆ อีกอย่างก็คือภาษาคมคาย บรรยายได้ยอดเยี่ยมจนสามารถรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวต่อโศกนาฎกรรมของผู้คนในวันที่โลกล่มสลาย นอกจากนี้บทสนทนาของตัวละครที่ใช้ถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ แต่กินใจ แล้วยังให้ความรู้สึกเงียบเชียบวังเวงใจไปด้วยพร้อมกัน
“ลูกต้องไปต่อพ่อไปด้วยไม่ได้อดทนไปต่อนะลูกลูกไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้าโชคเข้าข้างเรามาตลอดโชคจะเข้าข้างเราอีกแน่นอน” (หน้า 259)
“ไหนพ่อเคยบอกว่าจะไม่ทิ้งผมไปไหน”
“พ่อรู้พ่อขอโทษหัวใจทั้งดวงของพ่ออยู่กับลูกอยู่กับลูกเสมอมาลูกพ่อคนดีที่หนึ่งลูกจิตใจดีเสมอถึงแม้พ่อจะไม่อยู่แล้วแต่ลูกก็ยังคุยกับพ่อได้ลูกคุยกับพ่อได้และพ่อก็จะคุยกับลูกคอยดูสิ”
“ผมจะได้ยินเสียงพ่อหรือเปล่า”
“ได้ยินสิใช้จินตนาการเอาและลูกก็จะได้ยินเสียงพ่อลูกต้องฝึกแค่อย่ายอมแพ้โอเคไหม” (หน้า 260)
ช่วงสุดท้ายนำไปสู่บทสรุปอันน่าเศร้า ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นความหวังเรืองรองอยู่บ้าง เมื่อพ่อล้มป่วยและตายลงในอ้อมกอดลูก จุดจบของคนหนึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอีกคน ‘แสงในใจ’ ที่ผู้เป็นพ่อเฝ้าสอนตลอดมานำพาให้ลูกชายไปพบกับกลุ่มคนที่มี ‘แสงในใจ’ เช่นเดียวกัน
กระนั้น พวกเขายังคงต้องเดินทางต่อไปบนถนนอเวจีเส้นนี้ โดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงตรงไหน