การตามหาและตามหายของคำตอบ ‘ชีวิตที่ดี’ คืออะไร?

8 views
9 mins
May 27, 2020

          ชีวิตที่ดี (ของคุณ) คืออะไร?

          บางคนรู้ บางคนไม่แน่ใจ บางคนทั้งชีวิตก็หาคำตอบไม่ได้ (ไม่ต้องตกใจ เป็นเรื่องปกติ) มันเป็นคำถามที่มนุษย์ใช้เวลานานหลายพันปีในการตอบ แต่คำตอบที่ได้ก็ยังคลุมเครือและมีความเป็นไปได้มากมาย

          ว่าแต่…ในโลกที่การแพทย์ก้าวหน้า ปัญญาประดิษฐ์และ Internet of Things ที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบาย ซื้อหาความสุขได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งยังมีแนวคิดการมีชีวิตที่ดีจากหลายหนแห่งของโลกให้ทดลองใช้ ฯลฯ คำถามเรื่องชีวิตที่ดียังจำเป็นอยู่อีกหรือ? นั่นสิ?

          อาจารย์ ดร.ชรินทร บูรพา จากสาขาวิชาปรัชญา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อาจารย์ ดร.เฉลิมวุฒิ วิจิตร จากสาขาวิชาสังคม วัฒนธรรม และการพัฒนามนุษย์ คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทั้งสองเป็นอาจารย์ด้านปรัชญาและเปิดสอนวิชาคล้ายคลึงกันโดยมิได้นัดหมาย สื่อกันอย่างง่ายๆ มันก็คือวิชาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อสนทนาว่าด้วย ‘ชีวิตที่ดี’ ตอบว่าจำเป็น

          หากความคาดหวังของคุณต่อบทสนทนาชิ้นนี้ คือการได้คำตอบว่าชีวิตที่ดีคืออะไร และจะทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึง เราอยากเตือนว่าคุณจะผิดหวัง เพราะไม่มีคำตอบที่เป็นสากลหรือสำเร็จรูป อย่างที่รู้กันชีวิตที่ดีของคุณอาจไม่ใช่ชีวิตที่ดีของเพื่อนคุณหรือคนอื่นๆ

          เราถูกสาปให้มีเสรีภาพ ดังนั้น การใช้เสรีภาพเพื่อค้นหาชีวิตที่ดีจึงเป็นภาระส่วนบุคคลที่ทำแทนกันไม่ได้ แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง แม้ชีวิตที่ดี (good life) เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ความเป็นอยู่ที่ดี (well-being) เป็นเรื่องที่รัฐต้องสร้างให้เรา มันคือบันไดขั้นแรกของการตามหาและตอบคำถาม เหนืออื่นใด เราต้องระมัดระวังไว้เสมอด้วยว่ารัฐมีหน้าที่สร้างความเป็นอยู่ที่ดี แต่ไม่มีหน้าที่บอกว่าอะไรคือชีวิตที่ดี

          นี่คือทั้งหมดของการพูดคุยที่ไม่เคยมีตอนจบหรือบทสรุป

จำเป็นหรือไม่?

          เราเริ่มจากคำถามง่ายๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่า คำถามถึงชีวิตที่ดียังจำเป็นอยู่อีกหรือในโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งเราคงเดาคำตอบได้ไม่ยาก แต่ทำไมมันจึงยังจำเป็นล่ะ

          ชรินทร-“การที่คนคนหนึ่งพยายามจะมีชีวิตที่ดีหรือชีวิตที่มีความสุข เขาคนนั้นจะต้องมีกระบวนการคิดที่เป็นระบบและเป็นเหตุเป็นผล การคิดในเชิงปรัชญานี่เองที่ทำให้เขาคนนี้รู้ว่าการได้มาซึ่งชีวิตที่ดี เขาควรมีความเชื่ออะไรบ้าง มีคุณค่าอะไรบ้าง หรือมีทรัพยากรใดที่เขาจะต้องมีเพื่อให้ตัวเองกลายมาเป็นตัวเขาที่เขาได้จินตนาการไว้ว่านี่แหละตัวเขาที่มีชีวิตที่ดีและมีความสุข จะเห็นได้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันไกด์ให้ตัวคนนี้เข้าใจว่าความหมายชีวิตที่ดีของเขาคืออะไร ดังนั้น ดิฉันคิดว่าไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตามการคิดในเชิงปรัชญาเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดีนั้นยังจําเป็นอยู่

          “วิชานี้จึงนําเสนอการคิดในเชิงปรัชญาเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดีและพิจารณาคอนเซปต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตที่ดีด้วย สำหรับบางคนอาจบอกว่าชีวิตที่ติดเฮโรอีนเป็นชีวิตที่ดีสำหรับเขา แต่การคิดในเชิงปรัชญาเกี่ยวกับชีวิตที่ดีในวิชานี้ ถ้าเขาใช้มันอย่างจริงจังเขาจะเลือกตั้งคําถามว่าชีวิตที่ติดเฮโรอีนเป็นชีวิตที่ดีสำหรับเขาจริงเหรอ เขาต้องสามารถให้เหตุผลได้ว่าทําไมเขาถึงเลือกชีวิตที่ติดเฮโรอีน อีกทางหนึ่ง เขาก็เปิดรับฟังแนวคิดที่เกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดีอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากตัวเขาด้วย ดิฉันจะบอกกับนักศึกษาประจำว่าในคลาสนี้ไม่เหมือนหนังสือ self-help มันค่อนข้างจะเป็นทฤษฎีมากๆ เราต้องเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีเกี่ยวกับ well-being เกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดีว่าคืออะไร ทั้งในยุคโบราณและร่วมสมัย ช่วยให้คุณคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองมากขึ้นและสามารถให้เหตุผลได้ว่าทําไมคุณถึงคิดว่าภาพที่คุณมีเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ดีสำหรับคุณ คุณต้องให้เหตุผลได้แล้วมันฟิตกับทฤษฎีไหนมั้ยในวิชานี้”

          เธอยกตัวอย่างว่าในยุค Anthropocene ที่กิจกรรมของมนุษย์สร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อสภาพภูมิอากาศของโลก นั่นหมายความว่าถ้ามนุษย์พยายามค้นหาความหมายของชีวิตที่ดี มนุษย์ก็จะต้องใคร่ครวญเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดีไปพร้อมๆ กับปัญหาที่มันเกิดขึ้นภายในยุค Anthropocene ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การคิดในเชิงปรัชญาเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดีจึงช่วยแนะแนวทางให้มนุษย์รู้ว่าอะไรคือการมีชีวิตที่ดีในขณะที่สิ่งแวดล้อมย่ำแย่ เป็นสิ่งกระตุ้นให้มนุษย์หาวิธีแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันในระยะยาวเพื่อให้สอดคล้องกับภาพที่เรามีเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดีที่เรามีในใจว่าคืออะไร

          เฉลิมวุฒิ-“เล่าอย่างนี้ดีกว่า ผมคิดว่ามันจำเป็นจากทีแรกที่ไม่จําเป็น ระหว่างที่ผมไม่อยู่ (ไปเรียนต่อปริญญาเอก) ก็เกิดการสร้างวิชาการคิดเพื่อสร้างสุขกับวิชาการคิดเชิงบวกขึ้นโดยที่ผมไม่ได้สร้าง สองวิชานี้อยู่ในหมวดการคิดเชิงระบบ ซึ่งถ้าตอนนั้นผมอยู่ผมก็คงไม่คิดวิชาการคิดเพื่อสร้างสุขแน่นอนเพราะผมไม่คิดว่าเรื่องนี้สำคัญจําเป็นอะไร ตอนที่ผมสอนการคิดเพื่อสร้างสุขนี่แหละผมถึงรู้ว่ามันสำคัญมาก จากทีแรกที่รู้สึกว่าสอนอะไร ต้องพูดเรื่องความสุขกันด้วยเหรอ ทุกคนก็มีความสุขดีแล้ว แล้วความสุขก็เป็นเรื่องทั่วไป เราต้องสอนเด็กด้วยเหรอ มันเป็นปัญหาสำคัญยังไง พอต้องสอนผมก็เลยต้องเริ่มอ่านและเพิ่งรู้ว่ามันเป็นปัญหาสำคัญ มันไม่ใช่แค่เรื่องสุข แต่มันเป็นเรื่องของการมีชีวิตที่ดี ผมก้าวข้ามคําว่าความสุขไปสู่เรื่องการมีชีวิตที่ดี

          “ผมเรียนปริญญาตรี โท เอก ด้านปรัชญาหมดเลย แล้วถนัดสายพุทธปรัชญา แล้วผมกลับลืมว่าพุทธปรัชญาพูดเรื่องเดียวคือชีวิตที่ดี เรารู้สึกว่า เฮ้ย มันสำคัญมาก แล้วขณะเดียวกันในตอนที่สอนเรื่องคิดสร้างสุขผมก็สอนวิชาจริยศาสตร์ด้วยอีกวิชาหนึ่งด้วย ผมเลยรู้ว่ามันสำคัญมากถ้าเราต้องการตอบคําถามว่าเราควรทำหรือไม่ควรทำอะไร สังคมควรทำแบบนี้หรือไม่ควรทำแบบนี้ต้องตอบคําถามนี้ก่อนว่าชีวิตที่ดีคืออะไร เมื่อคุณตอบคําถามว่าชีวิตที่ดีคืออะไรได้ คุณถึงจะออกแบบเกณฑ์ตัดสินการกระทำได้

          “ในแง่ที่สองคือมนุษย์ไม่ได้ต้องการแค่ลมหายใจครับ ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีแค่ physical ผมต้องไปสอนคณะแพทย์ด้วยผมมักบอกนักศึกษาแพทย์ว่าคนไข้ไม่ได้ต้องการแค่มีชีวิต ถ้าเขาอยากกินทุเรียนเขาต้องได้กิน เขาไม่ได้แค่มีลมหายใจไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้กินทุเรียนทั้งที่ใจเขารักทุเรียน มันเป็นชีวิตที่ไร้ความหมายเหลือเกินกับการไม่มีทุเรียน ชีวิตไม่ต้องการแค่ลมหายใจ แต่ชีวิตต้องการอะไรระหว่างมีลมหายใจด้วย ซึ่งนั่นก็คือชีวิตที่ดี

          “ขณะที่สังคมทุกวันนี้ชอบสร้างภาพของชีวิตที่ดีว่าต้องเป็นอย่างไร แล้วเราควรมีชีวิตที่ดีแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า ชีวิตที่ดีมีแบบเดียวจริงๆ เหรอ เราควรถามตัวเองหรือไม่ว่าคุณอยากมีชีวิตที่ดีแบบไหน ชีวิตที่ดีบางแบบอาจต้องมีเงินในจำนวนที่มากพอ แต่ชีวิตที่ดีบางแบบไม่จำเป็นต้องมีเงินขนาดนั้น แค่มีกินก็พอแล้ว เขายกตัวอย่างในชั้นเรียนที่ให้นักศึกษาทำแบบสอบถามว่าชีวิตที่ดีต้องมีอะไร โดยห้ามตอบว่าความสุข เพราะสุดท้ายคําว่าความสุขไม่มีความหมาย เนื่องจากความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ซึ่งผลที่ได้พบว่าร้อยละ 70 ของทุกเทอมและทุก section นักศึกษาจะตอบสิ่งที่จะทำให้มีชีวิตที่ดีคือ เงิน”

          เงิน คำตอบสุดคลาสสิกที่เป็นที่ต้องการไม่ว่าผู้ต้องการจะมีคำถามถึงชีวิตที่ดีหรือไม่ก็ตาม เพราะในโลกทุนนิยม เงินคืออิสรภาพ ซึ่งเฉลิมวุฒิก็เห็นด้วยว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินเป็นจุดเริ่มต้น ชีวิตที่ดีในบางแนวทางก็ต้องสร้างด้วยเงิน

          แต่หลายครั้งที่เรามักสับสนระหว่างเป้าหมายของชีวิตที่ดีกับหนทางหรือเครื่องมือไปสู่ชีวิตที่ดี เงินไม่ใช่เป้าหมายในตัวมันเอง มันเป็นเพียงเครื่องมือที่จะนำพาเราไปสู่ชีวิตที่ดีในแบบที่เราต้องการเท่านั้น

การตามหาและตามหายของคำตอบ ‘ชีวิตที่ดี’ คืออะไร?
อาจารย์ ดร.เฉลิมวุฒิ วิจิตร

ชีวิตที่ดีคืออะไร?

          แล้วชีวิตที่ดีคืออะไร? ชรินทรยอมรับว่าคำถามนี้ตอบยาก แต่เธอชวนเราคิดถึงคำว่า ดี ก่อนว่าคืออะไร ซึ่งดูเหมือนว่ามันคือคุณค่าในทางจริยศาสตร์ เช่น การกระทำนี้ดีและในทางตรงกันข้ามการกระทำนั้นไม่ดีหรือชั่ว ดีจึงเป็นคุณค่าในทางจริยศาสตร์หรือศีลธรรมที่แสดงถึงการเห็นด้วยในเชิงศีลธรรมต่อการกระทำหรือต่อเหตุการณ์อะไรบางอย่าง เมื่อเราพูดว่าคนคนนั้นมีชีวิตที่ดีเหมือนเราเห็นด้วยหรือยอมรับว่าคนคนนั้นมีชีวิตที่มีศีลธรรม มีคุณธรรม หรือเป็นคนดี ฯลฯ และการที่จะเป็นคนดีที่มีชีวิตที่ดีนั้นจะต้องไม่ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยที่ไม่คิดใคร่ครวญเกี่ยวกับชีวิตของตนเองเลย

          ชีวิตที่ดีไม่ใช่เพียงแค่การหาความพอใจหรือตอบสนองความปรารถนาทางกายภาพ ในทางตรงข้ามคนที่มีชีวิตที่ดีหมายความว่าการมีชีวิตที่เป็นคนดี มีศีลธรรม จะต้องบ่มเพาะตนเองให้ได้มาซึ่งคุณธรรมต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ทางที่ง่ายและจะต้องใช้เวลาส่วนมากในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ถึงแม้การทำประโยชน์ต่อผู้อื่นนั้นจะเป็นภัยให้แก่ชีวิตของเขาก็ตาม ยกตัวอย่างของกรณีของโสเครตีสหรือขงจื่่อ ชรินทรนำปรัชญาตะวันตกมาประกอบเพื่ออธิบายว่าชีวิตที่ดีคืออะไร ซึ่งตามเกณฑ์นี้ดูจะมีอยู่ 3 แนวทาง

          ชรินทร-“อันแรก เราสามารถเข้าใจได้ว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตของคนที่มีคุณธรรมและศีลธรรมหรือ moral life  ตรงนี้นักปรัชญากรีกอย่างโสเครตีสและเพลโตเห็นไปในทางเดียวกันว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตของคนที่มีคุณธรรมหรือชีวิตของคนดีนั่นเอง การมีชีวิตที่มีคุณธรรมเหนือกว่าการมีชีวิตที่วันๆ เอาแต่หาความสุขทางกายภาพ ความมั่งคั่งทางการเงิน และอำนาจ ชีวิตที่ดีในเซนส์ moral life ไม่ใช่ว่าชีวิตที่ดีแบบนี้ไม่ต้องมีเงิน ไปเที่ยวไม่ได้ หรือมีตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อันดับแรกสำหรับผู้ที่มีคุณธรรม และเราทุกคนก็มีชีวิตแบบโสเครตีสที่ไม่ต้องทำงาน ไปคุยกับคนโน้นคนนี้แล้วก็เสี่ยงชีวิต มนุษย์ส่วนมากคงทำถึงขั้นนั้นไม่ได้

          “ในหลายๆ บทสนทนาของเพลโตจะได้เห็นโสเครตีสที่พรีเซนต์ชีวิตที่ดีในเซนส์ moral life อย่าง extreme มาก เขายอมตายเสียดีกว่าที่จะต้องไม่พูดความจริง เขาคิดว่าความตายนั้นดีกว่าการมีชีวิตที่ไม่ดีหรือ bad live หรือชีวิตที่ไม่มีคุณธรรมหรือไม่พูดความจริงนั่นเอง สำหรับโสเครตีสและเพลโต คนที่ใช้ชีวิตแบบ moral life คือชีวิตที่ดี มันคือชีวิตที่ตัวเขานั้นมีความสุข มีความพอใจในตนเอง เพราะว่าภายในตัวเขาคุณลักษณะในเชิงคุณธรรมมีความกลมกลืนกันไม่ว่าเขาจะจนหรือรวยแค่ไหนก็ตาม 

          “ชีวิตที่ดีประเภทที่ 2 ก็ยังมีกลุ่มคนที่คิดหรือเชื่อว่าชีวิตที่ดีคือการมีสภาวะทางจิตที่ดีหรือสภาวะทางจิตใจที่ได้รับการตอบสนองให้มีความพอใจ ดังนั้นสำหรับคนกลุ่มนี้ชีวิตที่ดีคือการมีสภาวะทางจิตที่ได้รับการตอบสนองให้มีความพอใจ การมีชีวิตแห่งความพอใจให้ได้มากที่สุด คนกลุ่มนี้คือพวก hedonism หรือสุขนิยมแบบคลาสสิค คนพวกนี้จะเชื่อว่าชีวิตที่ดีก็คือคุณต้องทำอะไรก็ได้ให้ได้มาซึ่งความพึงพอใจให้ได้มากที่สุด แล้วก็หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด บางทีเราเข้าใจว่าชีวิตที่ดีของพวกนี้จะต้องกิน ดื่ม มีเพศสัมพันธ์ มีเงินเยอะๆ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้ได้มากๆ มันค่อนข้างจะมีภาพไปทางลบนิดหนึ่ง แต่ความจริงยังมีนักปรัชญาสำคัญในแนวคิดนี้ที่ชื่อว่า เอพิคิวรัส (Epicurus) เขาเห็นว่าเราทำอะไรก็ได้ที่ไม่ได้จํากัดอยู่ที่การดื่มกินเท่านั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งความพอใจหรือความเพลิดเพลินหลายๆ ประเภท การมีชีวิตที่ดีแบบ hedonism เอพิคิวรัสคิดว่ามีลักษณะที่มีคุณธรรมก็ได้ แต่เขาคิดไม่เหมือนกับโสเครตีสและเพลโต เพราะว่าทั้งสองคนนี้มีความคิดที่ค่อนข้างจะด้อยค่าความพึงพอใจบางประเภทที่พวก hedonist เห็นว่าดี 

          “ส่วนแบบที่ 3 ในปรัชญาของอริสโตเติลที่ค่อนข้างจะตรงกันข้ามกับพวก hedonism ที่เห็นว่าความพึงพอใจมีได้ แต่ต้องถูกกำกับด้วย wisdom และมุมมองนี้มาจากแนวคิดทางจริยศาสตร์ของอริสโตเติลที่มีลักษณะที่เรียกว่า virtue ethics หรือจริยศาสตร์เชิงคุณธรรมซึ่งเห็นว่าคนที่มีคุณธรรมคือบุคคลที่มีลักษณะนิสัยแบบอุดมคติ คุณลักษณะนิสัยนี้เองที่ได้มาจากแนวโน้มทางธรรมชาติภายในตัวบุคคลซึ่งต้องได้รับการเลี้ยงดู ดูแลบ่มเพาะ อย่างไรก็ตาม เมื่อแนวโน้มนั้นได้รับการดูแลจนแข็งแรงแล้วมันก็จะมั่นคง ยกตัวอย่างเช่นบุคคลที่มีคุณธรรมคือคนที่มีความเมตตาในหลายสถานการณ์ตลอดชีวิตเพราะว่านี่เป็นคุณลักษณะนิสัยของเขา ไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องการที่จะสร้างผลดีให้มากที่สุดหรือกระทำตามหน้าที่ตามกฎใดกฎหนึ่ง ซึ่งนำมาสู่ทัศนะที่ 3 ว่าชีวิตที่ดีสำหรับอริสโตเติลก็คือชีวิตที่ต้อง fulfill หรือต้องทำตามเงื่อนไขอะไรบางอย่าง เรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่มีความหมายอะไรบางอย่าง หรือในทางวิชาการจะใช้คําว่า objective view of good life แนวคิดของอริสโตเติลนําไปสู่แนวคิดว่าชีวิตที่ดี คือชีวิตที่มีความสุขแบบที่เรียกว่า eudaimonia หรือที่คนส่วนมากจะแปลว่า happiness ซึ่งมีลักษณะที่ for its own sake หรือดีโดยตัวมันเอง มันจึงมีลักษณะที่เรียกว่าคุณค่าภายในตัวมันเอง ไม่ใช่หนทางเหมือนเงินที่นําไปสู่สิ่งอื่น แต่ตัวมันคือเป้าหมายและจบที่ตัวมันเอง”

          แต่ในมุมของเฉลิมวุฒิ การจะตอบคำถามว่า ชีวิตที่ดีคืออะไร ต้องย้อนกลับไปสู่ความแตกต่างระหว่าง well-being และ good life

การตามหาและตามหายของคำตอบ ‘ชีวิตที่ดี’ คืออะไร?
อาจารย์ ดร.ชรินทร บูรพา

well-being และ good life?

          เฉลิมวุฒิ-“จริงๆ คุณก็ถามว่า well-being กับชีวิตที่ดีต่างกันยังไง ผมคิดว่าเริ่มต้นจากคําถามนี้อาจจะตอบที่เหลือได้มากขึ้น สำหรับผมชีวิตที่ดีเป็นคําถามทางปรัชญาซึ่งคําตอบของคําถามว่าชีวิตที่ดีมักผูกโยงกับจุดหมาย ถ้าปราศจากซึ่งจุดหมายมันไม่เกี่ยวกับชีวิตที่ดี ขณะที่คําว่า well-being อาจจะไม่ต้องมีจุดหมายก็ได้ในความเข้าใจของผม เช่นชีวิตที่ดีของพุทธก็คือนิพพาน หลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง ชีวิตที่ดีของชาวคริสต์ก็คือการไปพบกับพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตหลังความตาย ชีวิตที่ดีของสุขนิยมคือการมีความสุขทางกาย ชีวิตที่ดีก็จะล้อไปกับจุดหมาย เพราะฉะนั้นชีวิตที่ดีก็อาจจะเป็นวิถีไปสู่จุดหมายและขาดสิ่งที่เรียกว่าจุดหมายไม่ได้ด้วย

          “ขณะที่ well-being ความเป็นอยู่ที่ดี ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นการพิจารณาที่ช่วงเวลาเวลาหนึ่งว่าเขามี well-being มั้ย well-being คืออะไรถ้าตามนิยามที่เราเข้าใจกันทั่วไปถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือสุขภาวะ ซึ่งสุขภาวะนี้ไม่ใช่แค่เรื่องกายมันจะมี 4 ด้าน กาย ใจ สังคม ปัญญา ก็ไม่ใช่แค่คนที่กินอิ่มนอนหลับ ไม่อดยากและไม่ใช่แค่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ต้องเป็นคนมีจิตใจที่ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล อยู่ในสังคมที่ดี แล้วก็มีปัญญาคือมีทักษะต่างๆ นี่คือสุขภาวะ เหมือนถามว่าตอนนี้คุณมีสุขภาวะ มี well-being มั้ย มันเป็นเรื่องเวลาตรงนี้ เพราะว่า well-being ไม่จำเป็นต้องมีจุดหมาย

          “แต่ในอีกมุมหนึ่งมันอาจจะเป็นจุดหมายของตัวมันเองก็ได้เช่นเดียวกันหรือไม่มีจุดหมายก็ได้ คนบางคนที่มี well-being ก็อาจจะไม่ได้มีชีวิตที่ดีก็ได้ พอคุณส่งคําถามนี้มาผมก็คุยกับเพื่อนที่เป็นหมอคนหนึ่งที่ดูแลเรื่องระยะประคับประคองโดยเฉพาะ แต่เขาก็ออกตัวว่าเขาไม่ได้คุ้นเคย well-being มากมาย แต่ผมก็ถามเขาว่าถ้ามีคนคนหนึ่งที่เจ็บป่วยมากๆ ทุกข์ทรมาน แต่เขาเป็นคนที่เข้าใจสภาวะนั้น แล้วก็ไม่ได้ทุกข์ร้อน ไม่ได้รู้สึกเศร้า เข้าใจความเจ็บปวดนั้น ผมถามเพื่อนที่เป็นหมอว่าอันนี้เรียก well-being มั้ย เพราะมันขาดเรื่องกายชัดเจนมาก มันไม่มีสุขภาวะทางกายเลย

          “แต่ผมตอบได้ชัดเจนเลยว่าถ้าตอบตามแนวคิดแบบพุทธในความหมายของชีวิตที่ดีนี่เรียกว่าชีวิตที่ดี เพราะพุทธไม่ได้บอกว่าคนที่บรรลุธรรมต้องมีสุขภาพแข็งแรง แต่คนที่บรรลุธรรมถึงจุดหมายสูงสุดของศาสนาคือคนที่เข้าใจภาวะที่ตัวเองเป็นอยู่ หรือเราอาจจะยกตัวอย่างให้มันหนักขึ้นเช่นมรณะสักขีของชาวคริสต์เพื่อพิสูจน์ความเชื่อถูกทำร้าย ถูกทรมาน ถ้าเราถามชาวคริสต์ว่านี่คือชีวิตที่ดีหรือเปล่า เขาก็บอกว่านี่คือชีวิตที่ดีได้ถูกมั้ยครับ ขณะเดียวกันเพื่อนที่เป็นหมอก็บอกผมว่าคนที่มี well-being ในท้ายที่สุดอาจจะไม่ได้มีชีวิตที่ดีก็ได้ มันก็กลับไปที่คําถามที่ว่าต้องมีเงินมั้ย ผมก็เลยคิดว่า well-being เป็นพื้นฐานที่สุดของการมีชีวิตที่ดีมากกว่า”

          คำตอบของเฉลิมวุฒิสอดคล้องไปในทางเดียวกันกับชรินทรว่า well-being เป็นเงื่อนไขพื้นฐานสำหรับการมีชีวิตที่ดี เธอขยายความเพิ่มเติมว่า

          ชรินทร-“ well-being เป็นคําที่ใช้สำหรับวิชาปรัชญาหนึ่งที่พยายามจะหาธรรมชาติของเงื่อนไขสำหรับชีวิตที่ดี แต่ว่าธรรมชาติของเงื่อนไขที่ว่านี้มันต้องเป็นในลักษณะที่ดีในตัวมันเอง พูดง่ายๆ คือมันเชื่อมโยงกัน แต่คําว่า well-being ทำให้เราตั้งคําถามได้หลากหลายขึ้น เพราะคําว่า well-being นําเสนอภาพเงื่อนไขของที่ชีวิตที่ดีว่ามีอะไรได้บ้างและตั้งคําถามว่าธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ที่นําไปสู่ชีวิตที่ดีคืออะไร มันเป็นลักษณะไหน มันควรจะเป็นลักษณะแบบที่ดีในตัวมันเอง

          “ในยุคกลางชีวิตที่ดีอาจหมายถึงการดำเนินชีวิตไปตามกฎเกณฑ์สังคมและคริสต์ศาสนา ในสมัยอยุธยาอาจหมายถึงการมีนายเหนือหัวคอยปกป้อง อันนี้คือการใช้ปัจจุบันตีความอดีตแสดงว่าชีวิตที่ดีในแต่ละยุคสมัยไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับโครงสร้างการปกครอง มโนทัศน์ในยุคนั้นๆ ชีวิตที่ดีจึงไม่มีลักษณะสมบูรณ์และเหมือนกันในแต่ละยุคแต่ละสังคม ก็อย่างที่บอกถ้าในยุคกลางการดำเนินชีวิตเป็นไปตามกฎสังคมและคริสต์ศาสนา ตรงนี้เราก็สามารถเห็นได้ว่ามันคือชีวิตที่ดีในแบบ moral life ในยุคกลาง ชีวิตที่ดีก็คือชีวิตของคนที่มีศีลธรรมทำตามกฎศีลธรรมของศาสนาหรือพระเจ้า”

องค์ประกอบ

          ส่วนผสมอันลงตัวที่จะพูดได้ว่านี่คือชีวิตที่ดีนั้นคืออะไรก็เป็นคำถามใหญ่ที่ตอบยากพอๆ กับคำถามตั้งต้น บ้างก็ว่าชีวิตที่ดีควรประกอบด้วยความสุข มิตรภาพ ความรัก ความพึงพอใจทางกาย ความมั่งคั่ง ความรู้ ฯลฯ เป็นความพยายามประกอบสร้างองค์ประกอบเป็นแสงนำทาง ทว่าถึงที่สุดแล้วก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดีที่จะหาองค์ประกอบของชีวิตที่ดีที่เป็นสากลร่วมกัน

          ชรินทร-“อย่างพวก hedonism การมีชีวิตที่ดีนั้นเป็นเรื่องค่อนข้าง subjective เป็นเรื่องของปัจเจกเพราะว่าชีวิตที่ดีคือการมีสภาวะทางจิตที่ดี มีประสบการณ์ที่มีความพึงพอใจ ดังนั้น พวก hedonist จึงเป็นพวก subjectivist เพราะว่าชีวิตที่ดีขึ้นอยู่กับสภาวะทางจิตของเรา ขอให้เพียงมีแค่ประสบการณ์ทางจิตที่ดีเท่านั้น นั่นแหละคือชีวิตที่ดี ไม่ต้องสนใจของคนอื่นหรือความเป็นจริง ในภายหลังแนวคิดของพวก hedonism จะพัฒนาต่อไปเป็นทฤษฎีร่วมสมัยเกี่ยวกับชีวิตที่ดีหรือที่เรียกว่า desire theory ที่นําเสนอว่าการที่คนคนหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีนั้นขึ้นอยู่ประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ได้รับการตอบสนองอย่างพอใจ เช่น บางคนชอบความเจ็บปวดทางร่างกายของตนเองเขาก็เห็นว่าอันนี้คือชีวิตที่ดีสำหรับเขา แต่สำหรับหลายๆ คนไม่ใช่ นี่คือประสบการณ์ความพอใจส่วนตัวล้วนๆ ที่ไม่ต้องสนใจคนอื่นหรือความเป็นจริงของโลก

          “ชีวิตที่ดีที่มีลักษณะเป็นสากลเหรอ? เรียกว่าเป็น objective ดีกว่านั้นก็คือแนวคิดของอริสโตเติลที่เห็นว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ต้องเติมเต็มอะไรบางอย่าง อริสโตเติลเห็นว่ามนุษย์ทุกคนนั้นมีความสามารถในการใช้เหตุผล และเงื่อนไขนี่แหละที่เป็น objective ที่ทุกคนมีเหมือนกันหมด แล้วเราทุกคนควรจะใส่ใจหรือทฟังก์ชันนี้ให้ดีในการที่จะเป็นมีชีวิตของคนที่มีคุณธรรมและขั้นตอนในการบ่มเพาะไปสู่ชีวิตที่ดีหรือ eudaimonia”

          แล้วก็มาถึงจุดที่ (ค่อนข้าง) แตกต่างระหว่างชรินทรและเฉลิมวุฒิ

          เฉลิมวุฒิ-“ไม่มี สำหรับผมนะฮะชีวิตที่ดีไม่มีสิ่งที่เป็นสากล ชีวิตที่ดีเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล เป็นเรื่องของกลุ่มคน และเราต้องให้เสรีภาพกับการมีชีวิตที่ดีของเขา ตราบเท่าที่ชีวิตดีที่ดีของเขาไม่ใช่การละเมิดชีวิตที่ดีของเรา สำหรับผมคิดว่ามันเป็นปัจเจกล้วนๆ ถ้าจะมีร่วมกันอยู่บ้าง มันแค่เรื่องพื้นฐานจริงๆ แบบ well-being เพราะผมยังมีความเชื่อบางอย่างเหมือนพวกเพลโต โสเครตีส อริสโตเติลว่าถ้าคุณไม่มีเวลามากพอ คุณก็ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องชีวิตที่ดี บางทีมันต้องมีเวลามากพอ เวลาที่มากพอเกิดจากอะไร เกิดจากสวัสดิการ เกิดจากการที่รัฐให้ well-being ขั้นพื้นฐานที่สุดกับเรา แต่ไม่ใช่หมายความว่าไม่มีเลยแล้วจะมีชีวิตที่ดีไม่ได้ ผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน”

          เมื่อจับประเด็นของเฉลิมวุฒิ เราจึงถามกลับไปว่า ดูเหมือนว่าเงื่อนไขขั้นต่ำที่เป็นองค์ประกอบของชีวิตที่ดีก็คือเสรีภาพในการเลือกชีวิตที่ดีของตนเองหรือเปล่า ในรัฐเผด็จการชีวิตที่ดีย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่

          เฉลิมวุฒิ-“ชีวิตที่ดีบางรูปแบบอาจจะเกิดขึ้นได้ในรัฐแบบนั้น แต่ไม่ใช่ทุกรูปแบบเกิดขึ้นได้ ผมคิดว่าเสรีภาพที่เราควรมีเพื่อเอื้อให้เกิดชีวิตที่ดีในรูปแบบที่แตกต่างไม่ใช่ถูกจํากัดกรอบมาว่าชีวิตที่ดีต้องเป็นแบบนี้นะ ถ้าคุณไม่เป็นแบบนี้คุณไม่ใช่ชีวิตที่ดี เหมือนในยุคกลาง ชีวิตที่ดีต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าคุณไม่เชื่อชีวิตที่ดีแบบนี้ คุณนอกรีต ถ้าไม่สนับสนุน ฉันจะขับไล่คุณออกไป แต่ในความขับไล่นั้นชีวิตที่ดีก็อาจจะเกิดขึ้นก็ได้เหมือนกัน ผมเลยไม่เชื่อว่ามันมีลักษณะร่วมแบบหนึ่งเดียว ต้องมีอยู่ ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เสรีภาพเป็นองค์ประกอบที่จะสร้าง ชีวิตที่ดี แต่บางแบบมันเป็นเรื่องของใจล้วนๆ ก็ได้นะ ซึ่งเผด็จการอาจจะเข้าไปถึงใจเขาไม่ได้ก็ได้ แต่สังคมที่ดีก็ควรมีเสรีภาพเพื่อให้เขาไปถึงชีวิตที่ดีได้เร็วขึ้น”

การตามหาและตามหายของคำตอบ ‘ชีวิตที่ดี’ คืออะไร?

ชีวิตที่ดีและชีวิตที่มีความหมาย

          การสนทนาพาเรามาสู่หัวข้อสำคัญของชีวิต 2 เรื่อง ซึ่งเชื้อชวนให้ตรวจสอบว่าสองสิ่งนี้สัมพันธ์กันอย่างไรระหว่าง ‘ชีวิตที่ดี’ กับ ‘ชีวิตที่มีความหมาย’ มันเป็นความสัมพันธ์แบบจำเป็นหรือไม่ หมายความว่าการมีชีวิตที่ดีจำเป็นต้องเป็นชีวิตที่มีความหมาย หรือเป็นความสัมพันธ์แบบไม่จำเป็น คือมีก็ดี ไม่มีก็ได้

          เพราะเราคงต้องยอมรับว่า ชีวิตที่มีความหมาย เป็นถ้อยคำทรงพลังที่ให้เชื้อเพลิงต่อการขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า ในบางบริบทคำนี้ยังให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและเลอค่ากว่าชีวิตที่ดีเสียอีก

          ชรินทร-“ชีวิตที่มีความหมายน่าจะหมายถึงชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเป้าประสงค์ความสำคัญต่างๆ ที่คนคนนั้นให้ไว้ในชีวิตตัวเองหรือการที่จะต้องเติมเต็มเงื่อนไขอะไรบางอย่างให้สำเร็จ ให้พอใจ คิดว่าชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นชีวิตที่มีความหมาย ยกตัวอย่างเช่นชีวิตที่ดีในมุมมองของพวกสุขนิยมกับ desire theory คือมันไม่จำเป็นต้องมีความหมายอะไรให้เติมเต็ม เพียงแค่เกณฑ์ความรู้สึกดีๆ ประสบการณ์ที่ดีแค่นั้นพอ

          “มันมีตัวอย่างหนึ่งของโรเบิร์ต โนซิก (Robert Nozick) แย้งพวกสุขนิยมและ desire theory (ทฤษฎีความปรารถนา) ว่ามันมีการทดลองความคิดที่ว่ามีเครื่องจักรเชื่อมกับสมองของเรา แล้วให้ภาพเสมือนจริง คอมพิวเตอร์นี้ก็ใส่โปรแกรม ใส่เรื่องราวอะไรก็ได้แล้วใช้ชีวิตอยู่ใน virtual reality ที่เหมือนจริงมาก แยกไม่ออก เขาอาจจะใส่ไปว่าไปปีนเขาเอเวอเรสต์ แล้วเขาก็นอนเห็นภาพ virtual reality ที่โดนป้อนโดยคอมพิวเตอร์ว่าฉันไปปีนเขาเอเวอเรสต์สำเร็จแล้ว สำหรับพวกสุขนิยมกับ desire theory จะเห็นว่านี่แหละคือชีวิตที่ดีเพราะว่าคุณมีประสบการณ์ทางสภาวะทางจิตที่ได้รับความพอใจจากการปีนภูเขาเอเวอเรสต์แล้ว ทั้งที่ตัวจริงไม่ได้ปีน แต่ได้รับการป้อนมาจากคอมพิวเตอร์

          “มันเลยทําให้ฉันเห็นว่าชีวิตที่ดีแบบสุขนิยมไม่มี meaningful life เพราะบางคนมีเป้าประสงค์ที่อยากจะปีนเทือกเขาเอเวอเรสต์จริงๆ แล้วเขาต้องทำให้สำเร็จ เมื่อเขาทำสำเร็จแล้วชีวิตฉันมีความหมาย ฉันทำตามความฝันให้สำเร็จลุล่วงแล้ว คือการไปปีนจริงไม่ใช่เสียบอยู่กับคอมพิวเตอร์ แต่ในทางกลับกันคิดว่าชีวิตที่มีความหมายคือชีวิตที่ดี ยกตัวอย่างเช่นแนวคิดการมีชีวิตที่ดีของอริสโตเติลที่เราต้องเติมเต็มเงื่อนไขอะไรบางอย่าง มันเป็นชีวิตที่มีความหมายนะเพราะว่าเราเป็นมนุษย์ เราก็ต้องเติมเต็มฟังก์ชันหรือธรรมชาติของมนุษย์ที่เรามีให้มันเป็นจริง ให้มันดีที่สุด”

          ถึงจุดนี้เฉลิมวุฒิมองอีกแง่มุมหนึ่ง ชีวิตที่มีความหมายดูเป็นสิ่งเดียวกับชีวิตที่มีเป้าหมาย

          เฉลิมวุฒิ-“ถ้าถามว่าชีวิตที่ดีต้องมีความหมายมั้ย ความหมายในความหมายนี้นะผมคิดว่าจําเป็น เราต้องนิยาม ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ ว่าเราก็มีชีวิตที่ดี แต่พอบอกว่าความหมายคืออะไร ไม่มีเลย ผมคิดว่าไม่ใช่และความหมายนี้ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยสำหรับผม ชีวิตที่มีความหมายเป็นสิ่งเดียวกับชีวิตที่มีเป้าหมาย ความหมายกับจุดหมายสำหรับผมเป็นสิ่งเดียวกัน มันมีความหมายก็ต่อเมื่อได้ทำอะไรบางอย่างและทำอะไรล่ะ ก็ทำเพื่อไปสู่จุดนั้น

          “แล้วมันสัมพันธ์กับชีวิตที่ดีอย่างแยกไม่ออกด้วย ถ้าไม่มีเป้าหมาย ผมคิดว่าเป็น well-being เท่านั้นซึ่งเป็นจุดจุดหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ทั้งชีวิต ชีวิตที่ดีเป็นเรื่องของโดยรวมทั้งชีวิต ตอนนี้คุณมี well-being มั้ย ถามหมอ เขาจะถามว่าตอนนี้คุณโอเคมั้ยล่ะ โอเคคุณมี well-being ก็คือเวลานี้”

รัฐและสังคม

          ทว่า ชีวิตที่ดีเป็นสิ่งที่เราแต่ละคนสร้างได้เองตามลำพังหรือเปล่า เพราะหากว่ากันตามข้อเท็จจริงที่เราอาศัยอยู่ในรัฐสมัยใหม่ที่มีหน้าที่ดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน รัฐหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบส่วนนี้ได้หรือไม่ และถ้าเสรีภาพคือเงื่อนไขขั้นต่ำสุดที่ (อาจ) จำเป็นต้องมีต่อการก่อร่างชีวิตที่ดี รัฐหรือสังคมที่เราอยู่ก็น่าจะมีหน้าที่บางอย่าง

          ชรินทร-“เห็นด้วยค่ะ ว่ารัฐมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการมีชีวิตที่ดีของประชาชน ยกตัวอย่างจาก เมิ่งจื่อ (Mengzi) ซึ่งเป็น Confucius* เหมือนกับเพลโตและโสเครตีสในแง่ที่ว่าการมีชีวิตที่ดีคือชีวิตของคนที่มีศีลธรรมหรือ moral life แล้วในเมิ่งจื่อบอกว่ารัฐมีบทบาทอย่างมากในการทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีในเซ้นส์นี้ อย่างแรกก็คือรัฐต้องทำให้ประชาชนกินอิ่มนอนหลับ พูดง่ายๆ คือปัจจัย 4 ต้องครบ รัฐสำหรับ Confucius รัฐมีหน้าที่ให้การศึกษาในเชิงจริยธรรมแก่ประชาชน ดังนั้นถ้าจะมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยนี้ ส่วนตัวเห็นว่ารัฐจะต้องทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีก่อน

          “เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมืองต้องมีเสถียรภาพ มีความเท่าเทียมกันในสังคม ไม่ใช่คนจนคนรวยมีช่องว่างต่างกันมาก ทุกอย่างที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีทางด้านกายภาพก่อน จากนั้นแล้วรัฐควรเสนอการศึกษาที่สนับสนุนให้ประชาชนคิดถึงหรืออยากมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน คิดว่ารัฐควรจะทำอย่างนี้”

          ใช่ รัฐมีหน้าที่ แต่ควรเป็นหน้าที่แบบใด เฉลิมวุฒิขยายความต่อจากชรินทรไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งรัฐจะต้องตระหนักบทบาทหน้าที่ของตนและไม่ล้ำเส้น มิฉะนั้น ก็อาจทำให้ทุกสิ่งกลับตาลปัตร

          เฉลิมวุฒิ-“well-being กับ good life ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน รัฐมีหน้าที่ให้ well-being ไม่มีหน้าที่ให้ good life good life เป็นเรื่องปัจเจกบุคคลที่จะออกแบบและรัฐไม่พึงสร้างรูปแบบของ good life ด้วย รัฐมีหน้าที่แค่ให้ well-being แล้วเป็น well-being ขั้นพื้นฐานที่สุด แบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ให้กับเราในทุกๆ มิติเป็นพื้นเพื่อเอื้อให้เขาไปสร้างและเลือก good life ของเขา

          “ผมเชื่อว่า good life เป็นเรื่องของตัวเอง แต่ well-being เราไม่สามารถสร้างเองได้ เช่นอากาศบริสุทธิ์ เราสร้างเองไม่ได้ ปัญหาฝุ่นพีเอ็มเราจะแก้เองยังไง ระบบการศึกษาเราจะสร้างเองยังไง มันสร้างไม่ได้ มันไม่เอื้อต่อการสร้าง good life อยากให้คนมี good life ให้ well-being แบบพื้นฐานก่อน แต่ผมไม่ได้บอกว่าไม่มี well-being แล้วสร้าง good life ไม่ได้นะฮะ แต่การมี well-binging ขั้นพื้นฐานที่ดีจะนําไปสู่การสร้าง good line ที่ดีของแต่ละคน ต้องให้การศึกษาที่มีคุณภาพ สาธารณสุข ก่อนที่เขาจะเลือก good line ได้เขาต้องมีการศึกษาที่ดีมากเหมือนกันที่ทำให้เขาหา good life การศึกษาดีๆ ยังหาไม่เจอเลย

          “รัฐไม่ควรไปสร้างหรือกำหนด good life บางทีรัฐสร้าง well-being ไม่ได้ก็ไปกำหนด good life ที่ไม่ต้องมี well-being เช่น สร้าง good life แบบพระขึ้นมา ถ้าแบบว่าสละโลก ก็ไม่ต้องสร้าง well-being เพราะสร้างไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญญาจะสร้าง well-being ก็ไปสร้าง good life เพื่อให้เราลืมว่ารัฐต้องให้ well-being  ให้สาธารณสุข ให้การศึกษา ให้สภาพสังคมที่เท่าเทียม มีโอกาสที่เท่ากัน กลายเป็นว่าสร้าง good life โมเดลหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้เราลืมว่ารัฐต้องให้ well-being แล้วก็หลอกเรา ทำได้นะครับ มันมี good life ที่ไม่ต้องมี well-being เลยมันก็พอเป็นไปได้ เช่นอยู่อย่างทุกข์ทรมาน ฉันถูกกดขี่ยังไงฉันก็พอใจกับสิ่งที่ฉันถูกกดขี่ แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราต้องยอมรับ มันเป็นเพราะกรรมที่ฉันต้องเผชิญ มันคือบทพิสูจน์ของเรา ชีวิตที่ดีแบบนี้ทำให้เราลืมซะ ลืมหน้าที่รัฐซะ อันนี้น่ากลัว รัฐไม่พึงกระทำ อันนี้ยิ่งทำให้เห็นว่าการสอนเรื่องชีวิตที่ดีสำคัญขนาดไหน มันใกล้ตัวมากขนาดไหน

          “ขณะเดียวกันรัฐก็ไม่ควรใช้ well-being ให้กลายเป็นเป้าหมายของชีวิตที่ดี เพราะนั่นเท่ากับบอกว่าชีวิตที่ดีมีได้แค่ well-being ต่างจาก well-being ไม่ใช่แล้ว นี่ก็ไม่ใช่เหมือนกันเพราะคนควรมีสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค รัฐต้องให้เสรีภาพ คุณให้ well-being เป็นพื้นไว้ ขณะเดียวกันคุณต้องให้เสรีภาพในการมีชีวิตที่ดีในแบบของเขาตราบเท่าที่เขาไม่ละเมิดคนอื่น”

ตอนนี้รัฐไทยเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?

          เฉลิมวุฒิ-“ผมคิดว่าเขาชอบ มันทั้งสร้าง good life ที่หลอกลวง กําลังสร้างความหมายชีวิตที่ดีที่ค่อนข้างจะมีโมเดลเดียวและกําลังทำให้เราลืมหน้าที่ของรัฐอยู่หรือเปล่า ทุกอย่างเลยมันต้องเป็นแบบนี้สิ มีแกนที่ต่างจากฉันไม่ได้นะ เป็นปฏิปักษ์ ตั้งคําถามไม่ได้ จะมีชีวิตที่ต่างออกไปไม่ได้ มันก็ไม่ใช่แค่รัฐ ในสังคมก็เป็นมั้ยฮะ พ่อแม่ สังคม พอลูกคิดต่างอยากมีชีวิตที่แบบ…อย่างเช่นภาคใต้การเป็นข้าราชการคือนิพพานของชาวใต้ คือชีวิตดีต้องเป็นข้าราชการ ถ้าไม่เป็นข้าราชการเป็นชีวิตที่ไม่ดี ไม่รู้ว่าสร้างกันมายังไงเหมือนกัน นี่คือในระดับชุมชน ในระดับภาค แต่ในระดับรัฐเขาก็ทำอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้นขึ้นอีก มีอุดมการณ์ แล้วพอเด็กอยากจะเป็นสิ่งอื่นก็เป็นไม่ได้ เพราะพ่อแม่คิดว่าชีวิตที่ดีไปอย่างนี้ กลายเป็นว่าเขาก็ได้เป็นแค่นี้ ทั้งที่ศักยภาพเขาอาจจะได้ดีและมั่นคงมากกว่าข้าราชการ อาจจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เปิดบริษัทใหญ่โต หรือสุดท้ายเป็นพระก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ละ เพราะชีวิตต้องเดินแบบนี้ ต้องทำแบบนี้ภายใต้ความหมายชีวิตที่ดี”

การศึกษา

          ฟังแล้วก็รู้สึกว่าการศึกษาหน้าตาแบบไหนนะที่สามารถแนะนำให้มนุษย์ใคร่ครวญถึงชีวิตที่ดีของตนเองได้

          เฉลิมวุฒิ-“ทำยังไงถึงจะรู้ความหมายชีวิตที่ดี ผมคิดว่าเราก็ต้องสร้างการศึกษาที่ทำให้เด็กมี critical thinking พร้อมๆ ไปกับการที่ทำให้เขามีใจที่เปิดกว้างพอ จากนั้นครูหรือสังคมก็ชักนําพาเขาไปเห็นความหมายหรือจุดหมายของชีวิตที่ดีในรูปแบบที่หลากหลาย พาไปดูไม่พอ มันต้องใช้ทักษะ critical thinking เข้าไปจัดการกับสิ่งที่ดูด้วยว่าชีวิตที่ดีแบบนี้มันไมเพอร์เฟกต์หรอกและไม่มีชีวิตที่ดีแบบไหนเพอร์เฟกต์ ทุกความหมายของชีวิตที่ดีจะต้องรับความเจ็บช้ำมาในอีกลักษณะหนึ่ง คุณเลือกแบบเอ คุณจะช้ำแบบนี้ คุณเลือกแบบบี มันจะช้ำแบบนี้ แต่คุณได้อีกแบบนะ เช่นถ้าคุณเลือกนิพพานคุณจะต้องเสียแบบนี้ไป คุณเลือกสุขนิยมคุณจะเจออีกปัญหาหนึ่ง ถ้าคุณเลือกเป็นเพลโต โสเครตีส อริสโตเติล คุณเจอปัญหาอีกรูปแบบหนึ่ง คุณเป็น existentialist คุณต้องเจ็บอีกแบบหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นให้เขาสร้างขึ้นมาในตัวของเขา

          “ขณะเดียวกันการเรียนอย่างนี้ต้องใช้เวลา คือสุดท้ายเขาต้องไปเรียนรู้ตัวเขาเอง มันไม่ใช่เลคเชอร์แล้ว ทำให้เขา critical เป็น เปิดใจกว้างเป็น พาไปดูแล้วเด็กเกิด ผมไม่เคยเชื่อแบบนั้นเลย เขาต้องไปเจ็บปวด เขาต้องไปใช้ชีวิต แล้วเดี๋ยวเขาเจอ ทุกครั้งที่ผมจะสอนจบทุกเทอม ผมจะบอกว่าครูเข้าใจว่าเธอยังไม่เจอ หลายคนยังไม่เจอ แล้วก็ไม่ต้องตื่นตกใจที่คนอายุสิบแปด สิบเก้า ยี่สิบจะไม่เจอหรอก บางคนอาจจะไม่เจอทั้งชีวิตเพราะมันต้องใช้ทั้ง critical thinking เหตุผล การเปิดใจกว้าง การได้รู้รูปแบบที่หลากหลาย และขณะเดียวกันพอรู้ตรงนี้แล้วก็ต้องเอาไปใช้จริงในประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเองแล้วประกอบสร้างมันขึ้นมาเป็นตัวของเขาซึ่งไม่มีใครช่วยได้

          “มนุษย์เกิดขึ้นในเหตุการณ์เฉพาะของตัวเอง ไม่มีใครเจ็บปวดเหมือนกัน ไม่มีใครสุขเหมือนกัน ไปสร้างมันขึ้นมา แล้วเป็นเขา ผมเชื่อว่าเขาเจอเอง แต่อาจจะไม่เจอทั้งชีวิตก็ได้เหมือนกัน ก็ไม่ผิดอะไรที่จะไม่เจอ อย่าไปทุกข์ร้อนถ้าจะไม่เจอ”

          ชรินทร-ก็คล้ายๆ กับปัญหาของโซเชียลมีเดียอินฟลูเอนเซอร์ที่เขาก็พรีเซนต์ชีวิตที่ประสบความสําเร็จจากมุมมองของเขา แต่การชีวิตที่ดีจากมุมมอง จากการกระทำของเขาอาจจะไม่เหมาะกับคนอื่นก็ได้ ใน philosophy of well-being มันมีคุณค่าที่เรียกว่า prudential value มันไม่ใช่คุณค่าที่ดีหรือไม่ดีในเชิงสุนทรียศาสตร์หรือจริยศาสตร์ แต่เป็นคุณค่าสำหรับตัวเอง คนคนนี้ถ้าเขาอยากจะมีชีวิตที่ดีหรือคิดใคร่ครวญการมีชีวิตที่ดีของตนเอง มันต้องสำหรับตัวเขาเอง ไม่ใช่สำหรับคนอื่น ดังนั้น การมีชีวิตที่ดีเราควรจะคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับชีวิตของเราเอง ด้วยตัวเอง สำหรับตัวเราเอง จะดีที่สุด ไม่ใช่เพื่อคนอื่นหรือใช้วิถีทางของคนอื่นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่น่าจะได้”

…บทสนทนาจบลงตรงนี้ แต่คำตอบยังคงล่องลอยอยู่ที่ไหนสักแห่ง ให้คุณสนทนาต่อกับตัวเองเพื่อค้นหามัน

…ขอให้โชคดี

การตามหาและตามหายของคำตอบ ‘ชีวิตที่ดี’ คืออะไร?
การตามหาและตามหายของคำตอบ ‘ชีวิตที่ดี’ คืออะไร?


ที่มา

Cover Photo: Fiqih pradana on Unsplash

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก