วิจักขณ์ พานิชและสถาบันวัชรสิทธา พุทธศาสน์ศึกษาที่เกลือกกลั้วกับความเป็นมนุษย์

14 views
13 mins
May 13, 2025

          ต่อให้คุณเป็นคนไม่นับถือศาสนา ชีวิตก็จะพาคุณไปข้องเกี่ยวกับมันอยู่ดี ศาสนาแทรกซึมอยู่ในเนื้อดินทางวัฒนธรรมของทุกสังคม จะเข้มข้นหรือเจือจางก็ขึ้นกับโครงสร้างอำนาจที่แผ่คลุมอยู่

          สำหรับสังคมไทย ไร้ข้อกังขาว่าศาสนาพุทธมีอิทธิพลบทบาทต่อความคิด วิถีชีวิต ไปจนถึงโครงสร้างระดับต่างๆ พันเกี่ยวเหนียวแน่นเป็นเครื่องไม้เครื่องมือให้กับรัฐไทยมาแต่อดีต ผลของการนี้ทำให้คนรุ่นใหม่ๆ จำนวนไม่น้อยถอยห่างออกจากศาสนาพุทธ…อย่างน้อยก็ศาสนาพุทธแบบที่เป็นทางการ

          พวกเธอและเขาเสาะแสวงหาเส้นทางทางศาสนาหรือจิตวิญญาณของตนเอง หลายกรณีก็ไม่ได้อิงกับศาสนาใดเป็นการเฉพาะ แต่มองศาสนาเป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นแหล่งที่มอบประสบการณ์ทางจิตวิญญาณให้แก่ตน ซึ่งถูกความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งของศาสนาพุทธแบบเป็นทางการช่วงชิงไปวางไว้บนหิ้งและห้ามแตะต้อง

          ภารกิจประการหนึ่งของสถาบันวัชรสิทธาที่ก่อตั้งโดย วิจักขณ์ พานิช คือการดึงพุทธศาสนาลงมาจากหิ้ง เกลือกกลั้วกับเรื่องโลกๆ และความเป็นมนุษย์สีเทาๆ เขาสร้างหลักสูตรการเรียนรู้พุทธศาสน์ศึกษาที่มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ทางศาสนาด้วยตนเอง ที่ไม่ได้หมายถึงการได้อภิญญา เชื่อมจิต หรือเห็นกรรม แต่เป็นอะไรที่ธรรมดาสามัญกว่านั้นมาก

          บทสนทนายังนำพาไปสู่ข้อสงสัยใหญ่ที่ว่า ในเมื่อศาสนาเป็นเรื่องหลักเรื่องหนึ่งของชีวิต แต่พอพูดถึงพื้นที่การเรียนรู้ ศาสนศึกษากลับพูดถึงเอ่ยถึงน้อยมาก หรือเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินกว่าจะพูดคุยและแบ่งปันความรู้ประสบการณ์กันอย่างนั้นหรือ?

          วิจักขณ์ไม่คิดอย่างนั้น ซ้ำยังเฉิ่มเชยมากกับการมานั่งแปะป้ายว่าใครนับถือศาสนาอะไร นั่นเพราะปลายทางของประสบการณ์ทางศาสนาหาใช่การบรรลุถึงสัจธรรมสูงสุด แต่เป็นประสบการณ์ทั่วไปที่ทุกคน ทุกศาสนา สามารถแบ่งปันกันได้โดยไร้รั้วรอบอันเป็นนามธรรม

ศาสนศึกษาคืออะไร เป็นการสอนศาสนาแบบที่เราเข้าใจกันอยู่ตามบทเรียน ตามศาสนสถานหรือเปล่า

          จริงๆ ผมเรียนปริญญาโทเรื่อง religious study เลย ก็คือศาสนศึกษา เวลาเรามองวิชาการด้านศาสนศึกษามันก็เป็นศาสตร์ตะวันตกที่พัฒนาขึ้นในช่วงที่มีการพัฒนาศาสตร์พวกมานุษยวิทยา สังคมวิทยา ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา ปรัชญา คือมันเป็นยุค enlightenment แล้วในโลกตะวันตกศาสนามันเคยสวมบทที่น่าตั้งคําถามบางอย่างในยุคมืด ยุคที่ศาสนาเรืองอำนาจ แต่วิชาการมันถดถอย เหมือนกับไม่มีที่ให้เติบโต พอในยุคที่มีการปฏิวัติทางความคิดเกิดขึ้น ศาสนาก็ต้องถอยร่นออกไป แล้วก็มีไอเดียเรื่อง secular (โลกวิสัย) เกิดขึ้น ศาสนาไม่ควรจะมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ศาสนจักรควรจำกัดขอบเขตอำนาจของตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องของการศึกษาเรียนรู้

          ทีนี้ อิทธิพลที่ผมได้รับ ผมมาเรียนกับอาจารย์ของผมชื่อ เรจินัลด์ เรย์ (Reginald Ray) เป็นนักประวัติศาสตร์ศาสนา จบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยชิคาโกสมัยประมาณช่วงปี 1960 ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่มีความโดดเด่นในเรื่องศาสนศึกษามาก เรียกว่าเป็นความล้ำหน้าของวิชาการด้านนี้ เขามีนักวิชาการเก่งๆ หลายคน มีการพัฒนาองค์ความรู้ ทำงานวิจัย งานวิชาการด้านนี้ที่ก้าวหน้ามากๆ คนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาวิชาการด้านศาสนาศึกษาในมหาวิทยาลัยชิคาโกชื่อ เมียร์เชีย เอเลียด (Mircea Eliade) ก็เป็นนักวิชาการชาวโรมาเนียและเป็นนักประวัติศาสตร์ศาสนา เขาเขียนหนังสือเรื่องศาสนาศึกษาในหลายเรื่องมาก จุดเด่นของเขาคือสามารถเขียนงานที่พูดถึงประสบการณ์ทางศาสนา พูดง่ายๆ ว่าเป็นประสบการณ์ของการเข้าถึงพระเจ้าหรือการเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์หรือการหลุดพ้นจากตัวตน แล้วมันเข้าไปถึงประสบการณ์ที่อธิบายในเชิงคําพูดหรือเหตุผลค่อนข้างยาก อาจารย์ผมก็เป็นลูกศิษย์ของเอเลียด แล้วก็คนที่พัฒนาเรื่องนี้ในชิคาโกก็กระจายออกไปทั่วสหรัฐอเมริกา ไปก่อตั้งภาควิชาศาสนาศึกษาตามที่ต่างๆ คนจำนวนมากก็จะมีอิทธิพลจากรูปแบบการเรียนการสอนจากชิคาโก

          ผมเล่าให้ฟังเพราะว่าเอเลียด ถ้ามองในมุมมองแบบหัวก้าวหน้าในบ้านเรา เขาอาจจะถูกมองว่าอนุรักษนิยมก็ได้ เพราะในยุคสมัยที่วิชาการค่อยๆ กระเถิบออกไปจากศาสนา เอเลียดเป็นคนที่พยายามจะชวนกลับเข้ามาให้คนสนใจพระเจ้าซึ่งมันเป็นอะไรที่ประหลาดมากในมุมมองของวิชาการในตะวันตก แต่อันนี้มันคือเป็นความล้ำหน้าของชิคาโกก็คือพาคนย้อนกลับไปหาประสบการณ์ทางศาสนา แล้วก็มองมันในแว่นประสบการณ์ที่เป็นมนุษย์มากๆ ที่คนสามารถจะเข้าถึงความจริงเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นในทางวิชาการหรือในการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นวิชาการพวกนี้มันพัฒนาขึ้นมาสอดคล้องกับยุคสมัยที่อาจจะมีจิตวิทยาแบบ Post-Freud แบบ คาร์ล ยุง (Carl Jung) เรื่องจิตวิทยาแบบต่างๆ หรือปรัชญาที่เริ่มจะเป็นโพสต์

          ผมคิดว่ามันมาสอดรับกันว่ามันมีประสบการณ์ของมนุษย์บางประเภทที่ไปพ้นจากตรรกะ เขาเรียกว่า transcendent คือมันสามารถเข้าถึงได้ แต่มันไปพ้นคําพูด พ้นภาษา แล้วเราจะอธิบายประสบการณ์เหล่านี้ได้ยังไง เอเลียดเขียนหนังสือที่ผมชอบมากชื่อ The Sacred and the Profane ก็คือการอธิบายประสบการณ์ที่เหมือนเป็นเรื่องโลกๆ กับประสบการณ์ศักดิ์สิทธิ์ เราจะเห็นความแตกต่างมันได้ยังไง ซึ่งถ้าเกิดว่าคุณสนใจเรื่องศาสนศึกษา คุณก็ต้องสนใจเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ มิติแห่งความศักดิ์สิทธิ์ มิติจิตวิญญาณ มิติที่ไปพ้นจากตรรกะทั่วๆ ไป แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ไม่ได้ตัดขาดจากโลก โลก profane มันก็เป็นสิ่งที่จําเป็น แต่คุณจะสามารถเห็นประตูที่เชื่อมต่อระหว่างโลก profane กับโลก sacred ยังไง

          อันนี้เราว่าเป็นเสน่ห์ของศาสนศึกษาในโลกตะวันตก แล้วผมก็เรียนศาสนศึกษาจากแง่มุมนี้ แต่ตอนที่ผมเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ ผมโฟกัสไปที่พุทธศาสน์ศึกษา แต่เป็นพุทธศาสน์ศึกษาที่ใช้วิธีวิทยาแบบ religious study ที่พัฒนาจากสายของชิคาโกซึ่งอาจารย์เรจินัลด์ เรย์ เป็นคนที่จบที่นั่นแล้วก็พาเอาวิธีวิทยานี้มาพัฒนาหลักสูตรพุทธศาสน์ศึกษาที่นาโรปะ คนที่จบนาโรปะผมคิดว่าก็จะมีวิธีวิทยาประมาณนี้ที่ทําให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา สังคมวิทยา จิตวิทยาในการเข้ามาศึกษาศาสนา

วิจักขณ์ พานิชและสถาบันวัชรสิทธา พุทธศาสน์ศึกษาที่เกลือกกลั้วกับความเป็นมนุษย์
Photo: Pooksarinya

แล้วศาสนศึกษาที่เป็นอยู่ในไทยเป็นแบบนี้หรือเปล่า

          ในไทย ผมก็คิดว่าก็น่าจะมีอาจารย์บางท่านที่พยายามทำอะไรแบบนี้ เพียงแต่ว่าพอเป็นพุทธศาสน์ศึกษาในบ้านเรา ผมคิดว่ามันไม่ได้เริ่มต้นจากบริบทแบบเดียวกัน ศาสนาในบ้านเราก็คล้ายๆ การเมืองในบ้านเรา มันยังข้ามไม่พ้นยุคกลางเลย มันยังข้ามไม่พ้นยุคศรัทธา ยุครวมสู่อำนาจ ยุคกษัตริย์นิยม ดังนั้น ตัวศาสนามันถูกตีความเพื่อรับใช้อำนาจนำอันนี้ ถ้าเรามองไม่เห็นข้อจํากัดในการตีความศาสนาแบบนี้ เราก็จะยังคงทำซ้ำอำนาจศาสนาในแบบยุคมืด ซึ่งมันคนละเรื่องเลยกับศาสนาศึกษาในโลกตะวันตกเพราะว่าศาสนศึกษาในโลกตะวันตกมองเห็นข้อจํากัดของศาสนาในยุคมืด บริบทสังคมแบบนั้นที่จํากัดทั้งสิทธิ เสรีภาพ ทั้งความคิดสร้างสรรค์ ทั้งความกล้าในการลองผิดลองถูก

          ในบ้านเราเหมือนกับมีความลักลั่นตรงนี้ คือวิชาการหรือมหาวิทยาลัยของเราก็พยายามไปสู่จุดนั้น ขณะที่สังคมเรายังติดอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นเวลาเรียนศาสนศึกษาในบ้านเราก็เลยดูเหมือนกับจะก้าวหน้า แต่มันก็ไม่ก้าวหน้า ดูเหมือนจะพยายามจะร่วมสมัย แต่ก็ยังโบร่ำโบราณหรืออนุรักษนิยม แล้วยิ่งในความเป็นพุทธศาสนาเถรวาทด้วยก็ยิ่งไปตอกย้ำความเป็นอนุรักษนิยมหรือปลูกสร้างพุทธศาสนาให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน มันก็เลยทำให้เกิดปัญหา ศาสนศึกษาในบ้านเราดูเหมือนหลายหลักสูตรของหลายที่จะพยายามทำให้ก้าวหน้า แต่สุดท้ายคนเรียนออกมากลับกลายเป็นคนที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม

          เท่าที่ผมเคยไปสอนมา ยกตัวอย่างที่หนึ่งที่คิดว่าเขาพยายามจะทำหลักสูตรศึกษาให้ก้าวหน้ามากๆ ก็คือวิทยาลัยศาสนศึกษาที่มหิดล ก่อตั้งด้วยแนวคิดที่อยากจะทำให้การเรียนรู้เรื่องศาสนาก้าวหน้าและร่วมสมัย สามารถสนทนากับต่างประเทศได้ อย่างอาจารย์ที่มีอิทธิพลมากในการทำหลักสูตรที่วิทยาลัยศาสนศึกษาก็คืออาจารย์พินิจ รัตนกุล แกก็จบจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แซนตา บาร์บารา ซึ่งอาจารย์เก่งๆ หลายคนที่นั่นจบจากชิคาโก ผมเห็นการออกแบบหลักสูตรของอาจารย์พินิจที่มหิดลรู้เลยว่าจบจากสำนักเดียวกัน วิชาที่ผมสอนคือวิชาพุทธศาสนาในโลกตะวันตก ลองคิดดูสิว่ามันจะมีวิทยาลัยศาสนศึกษาที่ไหนที่จะมีวิชานี้ ผมรู้สึกว่ามันมีความพยายามอยากให้มีการเรียนรู้ที่ก้าวหน้า

          ผมไปสอนแล้วก็เอนจอยระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงก็คือวิชาอื่นๆ ที่อยู่ในวิทยาลัยก็อนุรักษนิยมเหมือนกัน อย่างสอนแบบพุทธศาสนาดีที่สุดในโลก พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เหมือนกับเรียนตอนชั้นประถม ก็เลยรู้สึกว่ามันมีความขัดแย้งอะไรบางอย่างเวลาปฏิบัติจริงว่าศาสนศึกษาในประเทศไทยก็ยังมีเพดานบางอย่างที่เราไม่สามารถจะก้าวข้าม

การสอนในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยก็เป็นศาสนศึกษาเช่นกัน?

          ได้ๆ ทุกๆ ที่พยายามจะทำหลักสูตรศาสนศึกษาทั้งนั้น เพราะว่าในบริบทของการเรียนรู้แบบมหาวิทยาลัย มันเป็นการศึกษาระดับอุดมศึกษา มันเกิดขึ้นจากยุค enlightenment เพราะฉะนั้นมันพยายามจะเรียนทุกศาสตร์ในท่าทีที่เปิดกว้างและก้าวหน้า เพียงแต่ว่าพอคุณเรียน…โดยเฉพาะพุทธศาสน์ศึกษาในบริบทแบบนี้ แล้วคุณยังทำซ้ำตัวมันเองว่าพุทธศาสนาดีที่สุดในโลก คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ไม่ตั้งคําถาม ไม่มี critical thinking ไม่มีการเรียนรู้อย่างมีบริบท มันก็ไม่สามารถทำให้ศาสตร์พวกนี้ก้าวหน้าไปได้

          สมมติคุณจะเรียนศาสนาคริสต์ แล้วคุณยังแบบว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่ง คุณไม่สามารถลบหลู่พระเจ้าได้ ถ้าคุณลบหลู่พระเจ้าคุณตกนรกเลย แล้วคุณจะเรียนยังไง มันก็เป็นการเรียนที่ตอกย้ำความเชื่อบางอย่าง ไม่ใช่การเรียนจิตวิญญาณแบบการศึกษาที่ควรจะเป็น

          เวลาเราเรียนศาสนศึกษามันคือการเรียนศาสนา แต่คําถามคือวิธีวิทยาที่เราจะใช้ในการเรียน เราจะใช้อะไรถูกไหมฮะ ถ้าคุณเรียนศาสนาในแง่เทววิทยา ในแง่ของ religiosity มันก็เหมือนคุณอ่านพระไตรปิฎก เหมือนคุณอ่านไบเบิล ถ้าคุณไม่มีวิธีวิทยาที่น่าสนใจ มันก็หมายความว่าคุณเรียนยังไงก็ถูกหรือคุณอาจจะเรียนเพื่อการท่องจำ คุณอาจจะเรียนเพื่อเซนส์ของความถูกต้องทางศาสนา ซึ่งใครกำหนดความถูกต้องก็ไม่รู้

          แต่ว่าในรูปแบบที่ผมได้ไปเรียนมาแล้วเกิดแรงบันดาลใจ ผมรู้สึกว่าพอวิธีวิทยาเป็นลักษณะแบบประวัติศาสตร์ศาสนา คือคุณเข้าไปศึกษาศาสนานั้นโดยที่คุณสนใจบริบทของคำสอน บริบทของการสอน ของพระสาวก ของการสังคายนา ของการตีความ ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของการศึกษาตัวบริบทด้วยว่าตัวสาระสำคัญของคําสอนไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ เวลาคุณเข้าใจบริบทมันทำให้คุณเข้าใจตัวคําสอนลึกซึ้งขึ้น พอผมได้แว่นอันนี้มามันก็ทำให้เวลาเราเรียนอะไร เราก็จะเข้าไปสนใจบริบท

          สมมติเราอ่านพระไตรปิฎก เราไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกเพื่อความถูกต้อง แต่เรามองว่าพระไตรปิฎกคือวรรณกรรม คืองานเขียน โอเคล่ะพอเราเข้าไปอ่านตัวพระสูตรแต่ละอันนี้ เราต้องการรู้ เหมือนเราเข้าไปสวมบทสนทนาตรงนั้นว่าตัวละครที่สนทนากัน บริบทของการสนทนา บริบทชีวิตที่เกี่ยวข้องตรงนั้นคืออะไร เหมือนแบบว่าพระวินัยแต่ละบทที่เกิดขึ้น แทนที่เราจะศึกษาพระวินัยว่าเป็นความถูกต้องของพระวินัย แต่เราศึกษาว่าทําไมพระวินัยหัวข้อนี้ถึงเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าคิดอะไร พระสาวกทำอะไร แล้วมันก็เลยเป็นอะไรที่เป็นมนุษย์มากๆ เวลาที่เราศึกษาศาสนาในแบบนั้น มันทำให้เข้าถึงแก่นหรือความหมายที่สามารถตีความได้เรื่อยๆ ซึ่งอันนี้ผมก็เห็นตรงกันกับอาจารย์สุวรรณา สถาอานันท์ ที่บอกว่าศาสนศึกษาในเมืองไทยเราจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบการเรียนเพราะถ้าเรายังเรียนกันแบบนี้จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตทางปัญญาเลย

          สิ่งหนึ่งที่อาจารย์สุวรรณาเน้นย้ำมากก็คือศาสตร์ของการตีความ แกเน้นย้ำเสมอว่าเวลาที่เราจะเรียนอะไร เราต้องเข้าไปถึงตัวบริบทของคําสอนนั้นๆ อย่างที่ผมเล่ามาเมื่อตะกี้ว่ามันมีการสนทนากันด้วยบริบทยังไง ตัวละครแต่ละตัวมีความคิดอะไร มีประสบการณ์อะไร แล้วเราต้องการเข้าไปตีความจนถึงการร่วมอยู่ในประสบการณ์เหล่านี้

เป้าหมายของศาสนศึกษาในแบบของวัชรสิทธาคืออะไร หรือคือสิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมด?

          ใช่ ผมคิดว่ามันก็คือเรื่องนี้ มันจะทำยังไงให้เราเรียนศาสนศึกษาแล้วเข้าไปเชื่องโยงกับสิ่งที่เป็นประสบการณ์ทางศาสนาซึ่งเป็นสิ่งที่ผมสนใจที่สุด สมมติผมถามคุณว่าได้ยินคําว่าประสบการณ์ทางศาสนา คุณคิดถึงอะไร

วิจักขณ์ พานิชและสถาบันวัชรสิทธา พุทธศาสน์ศึกษาที่เกลือกกลั้วกับความเป็นมนุษย์
Photo: Pooksarinya

ผมคิดว่าตัวเองไม่ค่อยมีประสบการณ์ทางศาสนาซะด้วย

          เห็นมั้ย ปฏิกิริยาแรกที่ทุกคนจะรู้สึกจะเหมือนกับห่อๆ ไม่ค่อย empower ที่จะพูดเรื่องนี้ เราจะรู้สึกว่าเราเป็นฆราวาสหรือเรามีชีวิตโลกๆ ใช่ไหม เราจะมีประสบการณ์ทางศาสนาได้ยังไง เราจะมองศาสนาเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องสูงส่ง แล้วก็อาจมองว่าเป็นเรื่องของพระ คนจำนวนมากจะรู้สึกไม่มีส่วนร่วม แล้วคําถามคือว่า อ้าว แล้วเวลาคนไปเรียนศาสนา ไปเรียนมหาจุฬาฯ มหามกุฏฯ เวลาเราถามเขาว่าเขามีประสบการณ์ทางศาสนาอะไรจากการเรียน เขาก็จะแบบเหมือนกับฉันแค่ไปเรียน ฉันไม่ได้เรียนเพื่อเข้าถึงประสบการณ์ทางศาสนา อ้าว แล้วคุณเข้าไปเรียนทําไม คุณมองเป็นแค่ intellectual เหมือนกับบางอย่างที่มันไกลตัวอย่างนั้นเหรอ

          สิ่งที่เราสนใจมากในการทำหลักสูตรที่วัชรสิทธาก็คือเราอยากให้ทุกคนมองความหมายหรือคุณค่าของประสบการณ์ทางศาสนาว่าเป็นสิ่งที่ธรรมดาในมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ มนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์ทางศาสนา มนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์ในการเข้าถึงคุณค่าความหมาย ความดี ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถเอามาคุยและเอามาเรียนกันได้

          ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎก ถ้าเราอ่านคําสอนของมหายาน อ่านปรัชญาปารมิตา หรืออ่านคําสอนวัชรยาน แล้วเราไม่รู้สึกว่าพระสูตรหรือคําสอนเหล่านั้นเข้ามาสั่นสะเทือนหัวใจของเรา ชีวิตของเรายังไง แสดงว่าการเรียนศาสนานั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย มันก็เป็นแค่ตําราหรือเป็นแค่สิ่งที่อยู่ไกลตัวเรามากๆ ดังนั้น เราว่าทำยังไงให้การเรียนมันเกิด transformation ของผู้เรียน เกิดการเปลี่ยนมุมมอง พลิกเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการคิด ในการรู้สึก ในการมีประสบการณ์ และนั่นแหละคือสิ่งที่เราคิดว่ามีความหมายมากๆ ในการเรียนศาสนา

เวลาคุณพูดถึงประสบการณ์ทางศาสนาไม่ได้หมายถึงการนั่งสมาธิแล้วรู้สึกเข้าถึงฌาน

ไม่เกี่ยว ไม่ใช่

ช่วยขยายความนิดหนึ่งว่าประสบการณ์ทางศาสนาคืออะไร

          ผมยกตัวอย่างคนที่นั่งยานอวกาศไปนอกโลกแล้วมันก็มีหลายสตอรีที่นักบินอวกาศออกไปครั้งแรก เขาเหมือนกับเห็นโลกจากมุมข้างนอกแล้ว มันเป็นประสบการณ์ที่พ้นจากคําพูด มันเปลี่ยนมุมมองในการมองโลกของเขา คือพอเรามีวิธีการที่จะเข้าไปเหมือนกับอ้อยอิ่งในประสบการณ์นั้นหรือทำความเข้าใจประสบการณ์นั้นว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ก้าวข้ามมุมมองแบบเดิมๆ หรือตัวตนแบบเดิมๆ ของเรายังไง อันนั้นแหละคือประสบการณ์ที่เราเรียกว่าประสบการณ์ทางศาสนา

แม้ว่าจะไม่มีเรื่องศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม

          ใช่ๆ หรือคุณอาจจะเฉียดตาย แล้วคุณเข้าไปสู่ภาวะที่เหมือนหลุดออกไปจากกรอบของวิธีคิดแบบตัวตนของคุณและมีประสบการณ์อะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ หรือสมมติว่าเรามองวิธีการปฏิบัติของหลายศาสนา ของชนเผ่า เวลาเขาเต้นรำ เวลาเขามีพิธี หรือว่าวัยรุ่นเติบโตมาแล้วต้องผ่านพิธีกรรมหรือกระบวนการบางอย่าง ทั้งหมดนี้เป็นอะไรที่อยู่ในจิตวิญญาณของมนุษยชาติ ตั้งแต่ยุคสมัยที่เรายังเป็นชนเผ่าอยู่จนเราเริ่มพัฒนาศาสนาต่างๆ ขึ้นมา วิธีการต่างๆ ที่ทำให้เราเข้าถึงตัวประสบการณ์นี้ มันก็อาจจะหมายถึงการที่ปัจเจกบุคคลได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการนี้ แล้วก็เติบโตมากขึ้นกลายเป็นคนที่ใช้การได้มากขึ้น ศาสนาก็อาจจะให้วิถีทาง ให้แนวทางการปฏิบัติ

          แต่ว่าในศาสนาพุทธผมคิดว่ามันมีกระบวนการอธิบายที่ชัดเจนอันหนึ่งก็คือการอธิบายในรูปของปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติก็คือการเข้าใจในเชิงคอนเซปต์คําสอน สมมติอริยสัจ 4 พระพุทธเจ้าพูดถึงอะไร มุมมองการไม่มีตัวตนแบบอริยสัจ 4 ที่นําไปสู่การพ้นทุกข์ เมื่อเราเข้าใจแล้วมันก็จะเหมือนกับกำหนดตัวเส้นทางของการใช้ชีวิตหรือการปฏิบัติ การภาวนาของเรา แล้วสุดท้าย มันก็เรียกว่าปฏิเวธ ซึ่งก็คือผลของการปฏิบัติ คือประสบการณ์ตรงนี้แหละ ปฏิเวธจริงๆ คือประสบการณ์ทางศาสนา มันคือประสบการณ์ตรงที่เมื่อเราผ่านการปฏิบัติแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเรา แล้วตัวประสบการณ์นี้จะย้อนกลับมายืนยันความไม่มีตัวตนที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แล้วอาจพาเราไปสู่การปฏิบัติที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไปสู่ผลการปฏิบัติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มันก็จะเป็นลูปแบบนี้ที่ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ทางศาสนาพุทธ

เวลาที่วัชรสิทธาจะออกแบบหลักสูตรก็คือการคํานึงถึงการให้ผู้มาเรียนได้ผ่านประสบการณ์ทางศาสนา?

          ตอนนี้ที่วัชรสิทธาเราเพิ่งทำหลักสูตรของสถาบันมาได้สองปี ส่วนปีนี้เป็นปีที่เราปล่อยออกมาเป็นปีแรก หลักสูตรนี้เรียกว่าพุทธศาสน์นาลันทา เป็นหลักสูตรพุทธศาสน์ศึกษาซึ่งเราพัฒนาขึ้นจากประสบการณ์ที่ผมเรียนที่นาโรปะ คล้ายๆ ก๊อบหลักสูตรมานิดหนึ่ง มันก็อาจจะมีการปรับให้เข้ากับตัววิทยากร ตัวอาจารย์ผู้สอนที่เรามีอยู่

          ในพุทธศาสน์นาลันทาเราแบ่งเป็น 4 โมดูล โมดูลแรกเป็นโมดูลที่พูดถึงเรื่องวิชาการ เรื่อง hermeneutic แล้วก็ประวัติศาสตร์ ก็จะมีอาจารย์สุวรรณา มีผม มีอาจารย์ชาญณรงค์ บุญหนุน และมีอาจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่งมาสอนตัวโมดูลที่หนึ่งที่เป็นการปูรากฐานของการเรียนพุทธศาสน์ศึกษาในแบบร่วมสมัย แล้วก็เอาวิธีวิทยาหลายๆ อย่างมาจากอาจารย์สุวรรณาด้วย แล้วก็มาจากที่ผมเรียนกับอาจารย์เรจินัลด์ เรย์ ด้วย

โมดูลที่ 2 จะพูดถึงเรื่องพุทธปรัชญา คําสอนในพุทธศาสนาเราเรียกโมดูลที่ 2 ว่าไตรยานก็คือเราจะเรียนแบบหีนยาน มหายาน วัชรยาน เป็น progressive interpretation of Buddhist philosophy ในแบบทิเบตซึ่งมันค่อนข้างจะครอบคลุมทั้งแบบรูปแบบคําสอนแบบหีนยาน มหายาน และวัชรยาน ส่วนคนที่สนใจคําสอนแบบหีนยาน มหายาน เซ็น พุทธศาสนาทิเบต เราก็สามารถคุยเรื่องคําสอนในโมดูลนี้ได้

          แล้วโมดูลที่ 3 เราจะเน้นเรื่องการปฏิบัติ ก็คือ Buddhist practice ที่เราไปค้นหาเรื่องการทำสมาธิ วิธีการภาวนาในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมันจะสอดคล้องกับโมดูลที่ 2 ซึ่งเราเรียนเรื่องปรัชญาไปแล้วว่ามุมมองทางปริยัติเข้ามาสู่การปฏิบัติยังไงในหลากหลายรูปแบบ

          แล้วก็โมดูลสุดท้ายก็จะเป็นเรื่องประเด็นร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องสังคมการเมือง ความเท่าเทียม เพศสภาพ ภิกษุณี คือมันก็จะมีประเด็นที่เราสามารถหยิบยกมาของถกเถียงกันได้โดยเชื่อมโยงสิ่งที่เราเรียนมาจากสามโมดูลแรก

          อันนี้คือหลักสูตรพุทธศาสน์นาลันทาที่เราพัฒนาขึ้นที่วัชรสิทธา จะสังเกตว่ามันค่อนข้างวิชาการนิดหนึ่ง แต่สิ่งที่วัชรสิทธาพัฒนามาก่อนหน้านี้ ผมคิดว่ามันเกิดขึ้นมาจากกลุ่มคนที่สอนแล้วก็ทำคอร์สอบรมพวกนี้กันอยู่แล้ว มันอาจจะเรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวของการศึกษาทางเลือก การเคลื่อนไหวเรื่องเวิร์กชอป เรื่องกระบวนกรอะไรต่างๆ ที่มีมาสักระยะหนึ่งแล้ว คนเริ่มต้นการเคลื่อนไหวนี้ก็น่าจะเป็นอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์นี่แหละ ที่เหมือนกับนำเข้าองค์ความรู้พวกนี้หรือคุณค่าทางจิตวิญญาณเข้ามา แล้วก็ประสานกับตัวความเคลื่อนไหวในเรื่องการศึกษาทางเลือก มันก็เลยเกิดกระแสกระบวนกรขึ้น ก็เลยมีคอร์สอบรมพวกนี้เต็มไปหมด

          แล้วก็อิมพอร์ตศาสตร์ทางด้านจิตวิทยา การเข้าใจตัวเอง กระบวนการเรียนรู้พวกนี้เข้ามาเยอะแยะมากมาย ผมก็เลยพัฒนาตัววัชรสิทธาด้วยการเชื่อมโยงกับกระแสนี้ก่อน เพื่อที่ว่าเราจะได้มีห้องเรียนหรือว่าเป็นเวิร์กชอปที่หลากหลาย คนที่มาสอนส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนๆ กันนี่แหละอยู่ในวงการเดียวกัน แล้วเราก็อาจจะมีการพัฒนากิจกรรมในทิศทางที่เราสนใจ เราอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องการพัฒนาตัวเองขนาดนั้น แต่เราก็สนใจตัวเวิร์กชอปที่พูดถึงเรื่องประสบการณ์ทางศาสนาที่ไปพ้นจากคําพูดในรูปแบบต่างๆ และผมก็สนใจที่จะทำให้วัชรสิทธามีคอร์สอบรมห้องเรียนเชิงลึกสำหรับคนที่อาจจะไม่ได้เอาไปหากินอะไร แต่อยากจะเข้าใจในเชิงคุณค่าทางจิตวิญญาณมากกว่า ก็เลยอธิบายให้เห็นสองรูปแบบนี้

          คือเราเริ่มต้นด้วยการพัฒนารูปแบบที่สองมาก่อน เพื่อการอยู่รอดของตัวสถาบันเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ขายง่ายและคนมาเรียนง่าย แต่พอเราพัฒนาวัชรสิทธามาตอนปีนี้เป็นปีที่ 8 พอผ่านหลักประมาณปีที่ 5 เราก็เริ่มรู้สึกว่ามีคนที่ทำอะไรพวกนี้เยอะแล้ว โดยเฉพาะช่วงโควิดและหลังโควิดเป็นต้นมามันมีคนที่สนใจเรื่องจิตวิญญาณเยอะมาก คนที่ทำพื้นที่แบบวัชรสิทธาก็มีเยอะมากแล้ว เราเลยรู้สึกว่าไม่รู้จะไปแข่งกับเขาทำไม เลยอยากทำในสิ่งที่เราอยากทำตั้งแต่แรก แต่เราอาจจะยังไม่มีกําลังมากพอในตอนแรกก็คือหลักสูตร Buddhist study นี่แหละ ตอนนี้วัชระสิทธาก็เลยค่อนข้างมีเอกลักษณ์ที่เป็น Buddhist center มากกว่าที่จะเป็น spiritual center

Photo: Pooksarinya

คนนอกอย่างผมที่ฟังก็จะเข้าใจว่าประสบการณ์ทางศาสนาจะอยู่ตรงเฉพาะโมดูลการปฏิบัติ ผมน่าจะเข้าใจผิดหรือเปล่า

          จริงๆ ประสบการณ์ของการเข้าถึงเรื่องศาสนาต้องการการเรียนรู้เรื่องศาสนา สำหรับเรา เราคิดว่ามันก็เกิดขึ้นทั้งในด้านของการเรียนปริยัติและในด้านการปฏิบัติและในด้านที่เราแชร์ประสบการณ์ด้วย เหมือนกับว่าเราอาจจะคิดว่าการเข้าถึงของประสบการณ์ทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ เช่น การนั่งสมาธิ การภาวนา มันก็ถูกต้อง แต่ผมคิดว่าการอ่านพระสูตร การอ่านพระไตรปิฎก การอ่านไบเบิล การที่เราตีความมันล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าถึงประสบการณ์ทางศาสนาได้ทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะว่าถ้อยคําเหล่านี้เป็นถ้อยคําจากครูบาอาจารย์ จากคนที่ปฏิบัติทางศาสนามาก่อน อาจจะบอกได้ว่าถ้อยคําพวกนี้เป็นสิ่งที่นำเสนอตัวประสบการณ์ มันมีข้อจํากัดมากมายแต่ก็มีความพยายามที่จะจับตัวประสบการณ์นั้นออกมาในแต่ละเจเนอเรชัน

          โดยเฉพาะคัมภีร์คลาสสิกพวกนี้ มันเก่าแก่มาก มันอาจจะเหมือนกับไม่ค่อยเข้ากับยุคสมัยแล้วนะบางประเด็น แต่ด้วยความที่มันเป็นสิ่งที่สื่อประสบการณ์ของศาสดาหรือของคนที่เจอประสบการณ์นี้มาก่อน เวลาเราอ่านมันก็ยังมีเหมือนกับเป็น…อาจจะเรียกว่าเป็น blessing เป็นแบบประตูให้เราเข้าถึงประสบการณ์ทางศาสนาได้เช่นเดียวกัน

          ยกตัวอย่างง่ายๆ เราอ่านงานของอาจารย์พุทธทาสหรืออ่านงานของเชอเกียม ตรุงปะ (Chogyam Trungpa) ถ้อยคําเหล่านั้นของอาจารย์ก็สะท้อนถึงเส้นทางของเขา แล้วเมื่อเราอ่านเป็นมันจะทำให้เราเข้าไปถึงประสบการณ์ทางศาสนาหรือเราจะเข้าถึงประสบการณ์ของเขา เราจะเริ่มมีแว้บหนึ่งว่า เอ้ย ประสบการณ์ของคนที่เขาเขียนเรื่องพวกนี้หรือถ่ายทอดมันมีความรู้สึกออกมา การเรียนปริยัติผมคิดว่ามันก็เป็นสิ่งที่สำคัญ การอ่าน การตีความ พอถึงจุดนั้น พอเราเข้าใจแล้ว เราก็เอาสิ่งที่เราเข้าใจไปปฏิบัติ แล้วหลังจากนั้นมันกลายเป็นประสบการณ์ของเรา ประสบการณ์ตรงของเรา แล้วเราสามารถจะถ่ายทอดมันออกมาแชร์ ออกมาสะท้อน ออกมาถกเถียงหรือแลกเปลี่ยนกัน หรือกระทั่งเราเริ่มกลายเป็นคนที่แชร์ประสบการณ์ของเราเองได้ อาจจะในรูปแบบการเขียน ในรูปแบบของการสื่อสารทางคําพูด อันนี้ปริยัติก็เป็นส่วนที่สำคัญเช่นเดียวกัน แล้วมันก็เป็นเหมือนวงจรที่ทำให้ตัวประสบการณ์ทางศาสนาก็พาไปเรื่อยๆ

สมมติผมอ่านหนังสือ อ่านคัมภีร์ทางศาสนา แล้วผมรู้สึกเอ๊ะ อ๊ะ ตั้งคำถาม อันนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ทางศาสนามั้ย?

ใช่ๆ

ถ้าอย่างนั้นมันอาจไม่ได้ต่างจากสิ่งที่เรียกว่าความสงสัยหรือ critical thinking กับสิ่งที่อ่าน

          ใช่ๆ เราคิดว่าประสบการณ์ทางศาสนาบางทีเราอาจจะติดอยู่กับภาพอะไรบางอย่างของศาสนาว่ามันต้องจริงจัง เคร่งขรึม หรือสูงส่ง จริงๆ ประสบการณ์ทางศาสนาอาจจะเป็นประสบการณ์แบบความงามได้มั้ย เหมือนเราอ่านบทกวีสักบทหนึ่งแล้วรู้สึกถึงความหมายอะไรบางอย่าง เราอ่านงานปรัชญาบางเล่มแล้วเรารู้สึกว่าทำให้เรารู้สึกสับสน ทำให้เรารู้สึก เอ๊ะ กับชีวิตตัวเอง อะไรพวกนี้ในศาสนาเขาเรียกว่า transmission แปลว่าการส่งต่อประสบการณ์ซึ่งคัมภีร์ที่ลึกซึ้งหลายๆ เล่มมันก็คือ transmission ที่เวลาเราอ่านออกมา เราใคร่ครวญกับมันแล้วเกิดการส่งต่อประสบการณ์บางอย่าง

Photo: Pooksarinya

Product Price Place Promotion People ของวัชรสิทธา คืออะไร วางตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองไว้ตรงไหนในตลาดทางจิตวิญญาณของสังคมไทย

          จริงๆ แล้วการทำงานเรื่องศาสนา เราทำไม่เหมือนคนอื่น คือเราพยายามทำในสิ่งที่มันก้าวหน้า แล้วก็เราคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว อันนี้คือสาเหตุที่ทําไมเราถึงทำสถาบัน คําว่าสถาบันมีความหมายมากกว่าแค่การขายคอร์ส เพราะมันเป็นที่ที่เราสะสมและพัฒนาองค์ความรู้นี้ไปเรื่อยๆ การจัดห้องเรียนในแต่ละครั้งตัวสถาบันมี archive ของความรู้ที่เกิดขึ้น เราเอาองค์ความรู้นี้มาพัฒนาต่อในแต่ละปี แล้วมันก็กลายเป็นองค์ความรู้ของสถาบันไปเรื่อยๆ อันนี้คือสิ่งที่เรารู้สึกว่าเรามี passion กับการทำสถาบันการศึกษา

          แต่โจทย์ของการทำสถาบันการศึกษาแบบนี้ แน่นอนโจทย์สำคัญที่สุดก็คือแหล่งทุน เราจะอยู่รอดยังไงในตลาด ถ้าเกิดคุณคิดทำอะไรแบบนี้คุณอาจจะคิดขอทุน สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ใช่มั้ยฮะ คุณต้องขอทุนที่นู่นที่นี่ คุณอาจจะต้องทำเสื้อยืดขาย คุณอาจจะต้องทำโปรดักส์ขาย คุณอาจจะต้องควักเนื้อ คือมันก็มีหลายรูปแบบมากที่คนอยากจะทำอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น แล้วหา business model ที่จะทำให้มันอยู่รอดได้

          วัชระสิทธาก็คิดเรื่องนี้ เริ่มต้นเราก็ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบที่มีอยู่ก็คือสายกระบวนกร สายการจัดอบรม คนที่มาเรียนก็จ่ายตังค์มาเรียนในระดับที่เหมาะสมที่เราก็อยู่รอดแล้วก็ไม่ได้ชาร์จเขาแพงเกินไป อย่างในตลาดตรงนี้คือผมต้องอธิบายว่าวัชรสิทธาทำมา 8 ปี เราคิดค่าคอร์สเริ่มต้นอาจจะอยู่ที่พันนิดๆ จนตอนนี้คนหนึ่งก็ประมาณ 3,000 บาทต่อ 2 วันเต็มซึ่งจริงๆ แล้วมันถูกมากนะ เราขึ้นค่าคอร์สพวกนี้ได้ไม่ค่อยมากเพราะว่าคนก็จะบ่นตลอด มันคล้ายๆ ว่าเขาจะมีความคาดหวังว่าความรู้พวกนี้ต้องฟรี แล้วมันควรจะราคาถูก

          พอเป็นความเชื่อแบบนี้ มันทำให้ตัวสถาบันการเรียนรู้ที่เป็นเอกชนอยู่ยากมาก ทีนี้เราก็พัฒนาต่อไปพอมีคนที่เข้าใจสิ่งที่เราทำมากขึ้นเราก็ทำระบบของแบบ supporting member เป็น membership ของตัวสถาบัน แทนที่เราจะพยายามจะทำให้เกิดแฟนคลับที่อิงกับตัวบุคคล เราทำให้เกิดแฟนคลับของตัวสถาบัน คือคนที่เขาศรัทธาในแนวทางของการทำสถาบันแบบนี้ แล้วเขารู้สึกอยากสนับสนุน ซึ่งในแง่นี้จริงๆ ตัววัชรสิทธาก็ไม่ต่างกับวัด เหมือนกับว่าเป็นวัดในรูปแบบใหม่ที่เราเอาตัวกิจกรรมทางศาสนาเป็นกิจกรรมของการเรียนรู้ แล้วเราก็พยายามสื่อสารให้คนเข้าใจว่าอันนี้คือวิสัยทัศน์ของเราที่ถ้าศาสนาจะอยู่รอดมันจะต้องมีสถานที่อย่างวัชรสิทธาเกิดขึ้น แล้วสถานที่นี้จะอยู่รอดไม่ได้ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนที่เห็นคุณค่าของสิ่งนี้ เราก็เลยตั้งระบบสมาชิกนี้ขึ้น

          แบบว่าสนับสนุนรายเดือนเดือนละ 500 เป็น supporting membership เขาก็ได้ความรู้สึกที่ดีเพราะว่าเขาเห็นคุณค่า มันเหมือนคุณบริจาคเข้าวัด อันนี้ก็คือสนับสนุนโดยไม่ได้คิดถึงผลตอบแทน แล้วก็มีรูปแบบสมาชิกอีกรูปแบบหนึ่งเรียกว่าเป็น activity membership ก็จะสมัคร 5,000 บาทต่อปีแล้วคุณจะได้เข้าคอร์สสุดสัปดาห์ 1 คอร์ส  หลังจากคอร์สนั้นคุณเข้าคอร์สอะไรก็ลด 10 เปอร์เซ็นต์ คุณจะเข้ากี่คอร์สก็ได้ ถ้าเกิดคุณอาจจะไม่ได้ศรัทธาวัชรสิทธาในแบบนั้น แต่คุณแค่อยากจะมาร่วมกิจกรรมเยอะ คุณก็สมัคร activity membership อันนี้ก็จะเป็นแบบ product หน่อย เป็นเชิงการตลาดนิดหนึ่ง แต่ว่าถ้าเกิดว่าคุณมาในแนวศรัทธา คุณก็มาสนับสนุนแบบ supporting membership

กลุ่มเป้าหมายของวัชรสิทธาเป็นใครบ้าง

          ก็เป็นคนที่สนใจเรื่องศาสนาในแบบร่วมสมัย เป็นคนที่สนใจใคร่รู้ ตั้งคําถาม หัวก้าวหน้า แล้วก็อาจจะมีแนวคิดแบบมนุษยนิยม สนใจสังคม สนใจความเป็นไปของโลก เขาอาจจะรู้สึกว่าไปวัดแล้วไม่ตอบคําถามเขาและอาจจะรู้สึกว่าโครงการที่เขาเห็นศาสนาทำมันไม่ตอบโจทย์เขา เขาอาจจะรู้สึกว่ามาในสถานที่แบบวัชรสิทธาแล้วใช่ที่ของเขามากกว่า มันก็เป็นรูปแบบของ Buddhist center ที่ในตะวันตกมีมากมาย เราก็ทำให้ดูว่าเวลาที่คนอยากจะทำศูนย์ของการปฏิบัติทางศาสนาสามารถอยู่รอดได้ มันสามารถมีโมเดลบางอย่างที่อยู่รอดได้

คุณคิดว่าอะไรเป็นอุปสรรคให้ศาสนศึกษาในไทยไม่เปิดกว้าง ไม่หลากหลาย มันอาจจะมีแนวทางอื่นที่ไม่ใช่วัชรสิทธาก็ได้ซึ่งมันควรจะมีเยอะแยะมากมาย แต่มันไม่เกิดขึ้น

          เพราะว่าศาสนาพุทธในบ้านเราถูกเอามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง มันเป็นการเมืองมาก แล้วก็เป็นการเมืองแบบอนุรักษนิยม แล้วก็เป็นการเมืองแบบสถาบัน พอมันเป็นแบบนี้ปุ๊บการเรียนศาสนศึกษาก็เลยไม่พัฒนาเพราะเราตั้งคําถามไม่ได้ เชื่อมโยงกับสังคมการเมืองไม่ได้ เชื่อมโยงกับประชาธิปไตยไม่ได้ เชื่อมโยงกับศาสตร์ที่ก้าวหน้าไม่ได้ เราเรียนศาสนศึกษาในแง่ของความเชื่อ ในแง่ของศรัทธาที่คุณห้ามลบหลู่ คุณมองพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ คุณมองพระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในระดับที่ตั้งคําถามไม่ได้ แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่เป็นมนุษย์ของผู้เรียนได้ มันไม่เกิดการพัฒนาศาสตร์หรือการตีความการเรียนอย่างเป็นเหตุเป็นผล

          คือมันมีหลายปัจจัยมากที่เริ่มต้นจากการที่คุณจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของศาสนาพุทธในแบบนี้ แล้วคุณก็ไม่สามารถจะเคลื่อนมันได้เพราะเป็นสิ่งที่คุณตั้งไว้บนหิ้ง เพราะฉะนั้นเราคิดว่ามันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นปัญหาที่ต้องแก้ที่รากฐานเลย แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือว่าเมื่อศาสนศึกษาไปอยู่ในมหาวิทยาลัยแล้ว คุณยังไม่สามารถจะเรียนด้วยสายตาที่เปิดกว้างได้ อันนี้เป็นสิ่งที่น่าเศร้า หรือว่าคนที่เป็นอาจารย์สอนศาสนศึกษาที่มีความตั้งใจดี พยายามจะทำในสิ่งที่เปิดกว้าง กลายเป็นว่าเขาถูกจับจ้องเพ่งเล็ง ไม่มีความก้าวหน้าทางวิชาการ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าเศร้า มันไม่มีบรรยากาศทางวิชาการในวงการศึกษาเท่าที่ควร อาจารย์สุวรรณา ผม หรืออาจารย์หลายๆ ท่านก็มองเห็นแล้วรู้สึกว่าการทำในระบบอาจมีเงื่อนไขข้อจํากัดหลายอย่าง แล้วเนื่องจากผมก็อยู่นอกระบบอยู่แล้ว ผมก็เลยเหมือนชวนอาจารย์เหล่านี้ออกมาทำด้วยกันนอกระบบซึ่งมันก็ท้าทาย มันก็เป็นปัญหาเรื่องงบประมาณที่ไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่ แต่ว่าเราก็ทำเล็กๆ ของเราไปก่อน

พูดได้มั้ยว่าวัชรสิทธาพยายามดึงพุทธศาสนาลงมาจากหิ้ง

ใช่

เหมือนภารกิจอันหนึ่งของวัชรสิทธาก็คือการเชื่อมโยงศาสนากับประเด็นร่วมสมัยต่างๆ ซึ่งพุทธศาสนาไทยค่อนข้างจะเป็นจุดอ่อน ทำไมวัชรสิทธาจึงคิดว่าควรจะต้องนำศาสนศึกษาหรือพุทธศาสนากับประเด็นสังคมมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

          จริงๆ เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นวาระของตัวสถาบันหรือตัวหลักสูตรขนาดนั้นนะที่จะต้องเอามาเชื่อมโยงกับประเด็นทางสังคมการเมือง แต่ว่าเราคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียนตัวคําสอนพุทธเองให้แตกฉาน แล้วเราจะเห็นว่ามุมมองแบบอนัตตาหรือการไม่มีตัวตนทรงพลังยังไง วันที่คุณเข้าใจเรื่องการไม่มีตัวตนในแบบพุทธ คุณจะเข้าใจเรื่องการที่เราไม่เคยแยกขาดจากสรรพสิ่งหรือสังคมหรือผู้คน มันไม่มีสิ่งที่เป็นตัวตนหรือปัจเจกบุคคลที่แยกขาด อันนี้เป็นเป็นความเข้าใจที่ผิดที่ว่าเรามีตัวตนที่แยกขาดจากคนอื่น และเมื่อเราเข้าใจมุมมองนี้แล้วนําไปสู่การปฏิบัติ นําไปสู่ผลของการปฏิบัติที่แต่ละคนเริ่มมีศรัทธากับมัน เราจะเริ่มมองเห็นว่าคําสอนพุทธเรื่องการไม่มีตัวตนเป็นคําสอนที่มาเชื่อมโยงกับความรักต่อเพื่อนมนุษย์ยังไง หรือมาเชื่อมโยงกับองค์รวมหรือความเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง องค์รวมของสิ่งแวดล้อม สังคม หรือความทุกข์ของคนอื่นที่ก็เหมือนความทุกข์ของเรา มันจะทำให้เห็นความเป็นทั้งหมดนี้ชัดเจนขึ้น

          เราคิดว่าตัวจิตสํานึกแบบนี้จะเกิดขึ้นเองจากการเรียนพุทธศาสนาอย่างแตกฉาน เราจะเห็นว่ามหายานกับหีนยานไม่ใช่สิ่งที่แยกขาดจากกัน แต่เป็นเหมือนกับ progressive เป็น maturity ของการที่เราศึกษาและปฏิบัติตามคําสอน อาจจะเริ่มจากการทำงานกับตัวเองก่อน เข้าใจตัวเองก่อน และเมื่อเราเข้าใจว่าตัวตนแบบนั้นไม่ได้มีอยู่จริง มันก็เป็นอีกจุดที่เราเริ่มเปิดไปสู่การเข้าใจผู้อื่น เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง อันนี้เราคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญของหลักสูตรที่เกิดขึ้นที่วัชรสิทธาเพราะเราเป็นสถาบันที่ได้แรงบันดาลใจจากพุทธศาสนามหายาน แต่เราไม่เห็นความแตกต่างหรือเห็นความแยกขาดกับพุทธศาสนาแบบเถรวาท พุทธศาสนาทุกสายก็มีจิตวิญญาณแบบนี้เหมือนกันหมด คือปัญญาและกรุณา ถ้าเราเข้าใจคําสอนแบบแตกฉาน เราว่ามันก็จะมาที่เดียวกันคือพัฒนาทั้งปัญญาและความกรุณา เราคิดว่ามิติทางสังคมหรือมิติเพื่อเพื่อนมนุษย์เกิดขึ้นจากการที่เราทำหลักสูตรที่ทำให้คนเข้าใจคำสอนที่แตกฉาน เราว่าประเด็นนั้นสำคัญมากกว่า

          ถ้าเรายังศึกษาพุทธศาสนาแบบมหายานก็เป็นนิกายหนึ่ง เถรวาทก็เป็นนิกายหนึ่ง วัชรยานก็เป็นนิกายหนึ่งที่มีคุณสมบัติอันนี้ๆๆ ท่องจำแบบนี้ ไม่ได้ประโยชน์เลย แต่ถ้าทำให้คนที่มาเรียนเห็นว่าจริงๆ แล้วพุทธศาสนาทุกนิกายพูดถึงเรื่องเดียวกันคือเรื่องการไร้ตัวตนและพัฒนาไปสู่จุดเน้นแบบมหายานที่พูดถึงความกรุณา วิถีโพธิสัตว์ การทำประโยชน์เพื่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ได้ยังไง มันก็จะยิ่งทำให้ความเข้าใจเรื่องศาสนาพุทธของเราเข้าถึงเพื่อนมนุษย์กับสังคมโดยอัตโนมัติ

          ถ้ามองในแง่พุทธศาสนาบ้านเรา เวลามองมาที่วัชระสิทธาเขาอาจจะรู้สึกว่าพวกนี้เป็นมหายาน ถูกมั้ยครับ เพราะว่าเชื่อในมหายาน แต่ในความเป็นสถาบันเราไม่ได้มองแบบนั้น เรามองว่าเรากําลังทำสถาบันพุทธศาสนา เราเรียนหมด เราเรียนเถรวาท อาจารย์ชาญณรงค์มาสอนเถรวาทก็ทำให้เราเห็นว่าเถรวาทที่แตกฉานพาเราไปสู่จุดที่เชื่อมโยงกับเพื่อนมนุษย์และสังคมยังไง มีความแหลมคมทางปัญญาในการตีความตัวบท แล้วมันมาเชื่อมโยงกับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณหรือประสบการณ์ทางศาสนาของเรายังไง สุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องเดียวกันหมดเลยถ้าคุณมีการศึกษาศาสนาพุทธที่ดี คุณก็จะมาสู่จุดที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้หมด

วิจักขณ์ พานิชและสถาบันวัชรสิทธา พุทธศาสน์ศึกษาที่เกลือกกลั้วกับความเป็นมนุษย์
Photo: Pooksarinya

ปัจจุบันมีการพูดถึงพื้นที่การเรียนรู้ที่ไม่ได้หมายถึงแค่ในโรงเรียน แต่เท่าที่สังเกตเวลาพูดถึงพื้นที่การเรียนรู้ไม่ค่อยมีการพูดถึงการนําศาสนศึกษา คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไร ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะชวนให้ทะเลาะกัน?

          เราว่านี่เป็นประเด็น เป็นโจทย์สำคัญว่าทําไมเราถึงไม่สามารถทำให้คนเห็นได้ว่าศาสนาเป็นเรื่องของการเรียนรู้ เรามักจะมองว่าศาสนาเป็นเรื่องความเชื่อแล้วพอพูดถึงปุ๊บก็ทะเลาะกัน แล้วมันน่าเศร้าก็คือเรายังไม่สามารถมองเห็นเลยว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องการเรียนรู้ทั้งที่จริงๆ ศาสนาพุทธพูดถึงเรื่องความตื่นรู้ มันเลยต้องการการตีความชุดภาษาหรือการเฟรมตัวคําสอนบางอย่างใหม่ อาจารย์ผมเคยพูดนิดหนึ่งว่าไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธในนิกายไหนหรือในวัฒนธรรมไหน เมื่อมาถึงยุคนี้ตัวรูปแบบจะต้องไปให้พ้นแล้วดูว่าจะมีอะไรที่สามารถจินตนาการขึ้นมาใหม่ที่เหมาะกับการสื่อสารในโลกทุกวันนี้

          พูดง่ายๆ ก็คือว่ามันอาจจะต้องยอมปล่อยให้บางอย่างตายไป แล้วก็หารูปแบบหรือภาษาในการสื่อสารแบบใหม่ที่สามารถทำให้ศาสนาพุทธได้รับการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ตัวอย่างอันนี้ก็ดีมากเลยว่าจะทำยังไงให้เราสามารถพูดให้คนเข้าใจได้ว่าศาสนาพุทธ พุทธธรรมเป็นเรื่องของการเรียนรู้ หรือว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องการเข้าใจตัวเองยังไง เป็นเรื่อง self-awareness ยังไง พอมันเปลี่ยนภาษาปุ๊บมันก็น่าสนใจขึ้นมาเลย ทุกวันนี้เวลาเราพูดถึงเรื่อง mental health เขาก็จะพูดเรื่อง self-awareness  ให้เรามี awareness กับความคิดของเรา กับอารมณ์ของเรา กับอาการทางร่างกายของเรา ซึ่งถ้าฝึกตรงนี้เราว่าศาสนาพุทธก็จะเป็นอะไรที่ทรงพลังมากๆ เลยนะในการที่จะเข้ามาเชื่อมโยงกับเรื่องนี้

แล้วเราจะเอาศาสนาเข้าไปในพื้นที่การเรียนรู้ต่างๆ ได้ยังไง

          เราว่าจุดเด่นหนึ่งของศาสนาพุทธเป็นเรื่องของการเรียนรู้ความทุกข์ เรียนรู้ประสบการณ์ความทุกข์ และความทุกข์ก็เกิดขึ้นจากมีตัวตน ไม่ใช่แค่ความทุกข์อย่างเดียว แต่เข้าไปถึงการวิพากษ์ตัวตนด้วย เราคิดว่าถ้าเราเข้าใจแบบนี้มันก็เป็นอะไรที่สนุกมากเลยนะที่จะเอาศาสนาพุทธเข้าไปทำงานกับประสบการณ์ของผู้คน อย่างที่วันนี้มีความต้องการการบำบัด การให้คำปรึกษาเยอะมาก แล้วเราเป็นประเทศพุทธ แต่เรากลับมองไม่เห็นว่าเราจะสามารถเอาปัญญาญาณจากศาสนาพุทธเข้ามาจับกับเรื่องนี้ได้ยังไง ทั้งที่จริงๆ แล้วมันคือเรื่องที่ตรงที่สุดเลย

          ตอนนี้เราก็พยายามจะนำเข้าแนวคิดแบบจิตวิทยาตะวันตกเข้ามา การให้คำปรึกษา การบำบัดแบบตะวันตกเยอะแยะมากมาย ตอนนี้ใครๆ ก็ต้องไปเรียนเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวนี้คณะอันดับหนึ่งของประเทศไทยที่สอบเข้ายากที่สุดก็คือคณะจิตวิทยาเพราะเป็นอะไรที่คนต้องการมาก แต่เรารู้สึกว่าจริงๆ เรามีของดีอยู่ เรายังรู้สึกว่าพุทธศาสนาเป็นอะไรที่โคตรจิตวิทยาเลย แล้วมันสอนเรื่อง awareness สอนเรื่องการตื่นรู้อยู่กับประสบการณ์ในทุกขณะ การฝึกปฏิบัติแบบศาสนาพุทธช่วยทำให้เกิดการรู้ตัวได้ ช่วยทำให้เกิดการเรียนรู้ตัวเองได้ ช่วยทำให้เรารู้จักความทุกข์ได้ ซึ่งตรงนี้เราคิดว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างมาช่วย transform ที่ทำให้คนเข้าถึงแก่นของพุทธธรรมนี้ แล้วเอาไปใช้ประโยชน์ได้ หรืออย่างที่เราพูดเมื่อตะกี้ว่าอาจต้องปล่อยให้รูปแบบเดิมมัน fall apart แล้วก็หาภาษาหรือวิธีการนําเสนอแบบที่สอดรับกับสิ่งที่คนต้องการ

เวลาเราพูดถึงการนำศาสนศึกษาเข้าสู่พื้นที่การเรียนรู้ สังคมไม่ได้มีพุทธศาสนาอย่างเดียว วัชระสิทธามองความสัมพันธ์ของพุทธศาสนากับศาสนาอื่นๆ อย่างไร

          ความสัมพันธ์เกิดขึ้นจากตัวประสบการณ์ตรง คือถ้าเราเรียนศาสนา เข้าถึงตัวประสบการณ์ทางศาสนาหรือเรียกว่าเป็นประสบการณ์ตรง แล้วทะลุจากฟอร์ม จากคอนเซปต์ จากรูปแบบ จากวัฒนธรรม จากพิธีกรรม แล้วไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของเราได้ พูดออกมาจากประสบการณ์ได้ เราว่ามันเชื่อมได้หมด มันเป็นเพื่อนกันได้หมด หลายคนก็ตั้งคําถามว่าเราทำสถาบันนี้มาทําไมเราดูเหมือนกว้าง สามารถที่จะไปเชิญวิทยากรได้หลากหลาย และก็ดูเหมือนมีเพื่อนที่ก็ทำงานอยู่ในหลายสายงาน และก็บางทีก็นับถือศาสนาอื่นด้วย อย่างล่าสุดก็มีอาจารย์ซูฟี (ซูฟีเป็นลัทธิความเชื่อหนึ่งของศาสนาอิสลาม) มา

          เรามองว่าทุกศาสนาหรือทุกวัฒนธรรมจะมีคนลักษณะคล้ายๆ เรา เป็นคนที่สนใจศาสนาแล้วฝึกตัวเองไปถึงจุดที่กลายเป็นประสบการณ์ตรงของเรา แล้วมันคุยกันง่ายนะเวลาที่คุยกันแบบหนักๆ จะไม่เหมือนมีกําแพงที่ตั้งไว้ก่อนว่าฉันเป็นพุทธ เธอเป็นมุสลิม เธอเป็นคริสต์ แต่เราเริ่มต้นพูดกันด้วยประสบการณ์ว่าคุณสนใจอะไร คุณปฏิบัติอะไรอยู่ แล้วคําสอนที่คุณสนใจเขาพูดถึงเรื่องอะไร แล้วคุณรู้สึกกับมันยังไง คุณมีประสบการณ์กับมันยังไง คุณฝึกกับมันยังไง พอคุยกันแบบนี้มันเชื่อมกันหมดเลย

          วัชระสิทธาก็เลยเป็นเหมือนเซ็นเตอร์ที่รวมคน อาจจะเรียกว่าแปลกๆ เนาะ เป็นคนที่เหมือนกับว่าไม่ได้สนใจเรื่องความถูกต้องในแบบที่เป็นทางการของศาสนา แต่เรารู้สึกได้ว่ามันถูกต้องในประสบการณ์ของเรา เรียกว่ามัน genuine มันจริงแท้ หรือว่า authentic ในแง่ที่ว่ามันจริงกับเรา แทนที่เราจะต้องไปหาว่าใครเป็นคนอนุมัติว่าอันไหนจริง อันไหนแท้ พุทธแท้ พุทธเทียม เราไม่ได้สนใจตรงนั้น เราไม่สนใจ authority จากข้างนอก แต่เราสนใจตัว inner authority ของผู้ปฏิบัติที่เมื่อเราไปถึงตรงนั้น เรารู้สึกได้ว่าเข้าใจมันจริงๆ แล้วก็เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจ จากประสบการณ์ของเรา ซึ่งผมมองว่าแต่ละศาสนาเมื่อไปถึงตรงนั้นแล้วมันไม่มีความขัดแย้งกัน

กลุ่มคนที่ไม่นับถือศาสนาซึ่งเขาว่าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ศาสนศึกษากับผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาจะวางตําแหน่งแห่งที่กันยังไง ซึ่งผมเข้าใจคนที่ไม่นับถือศาสนาก็เรียนศาสนศึกษาได้

          ได้สิๆ เราคิดว่าเป็นเรื่องของคนธรรมดาๆ เราพยายามจะเอาศาสนาให้กลายเป็นเรื่องของคนธรรมดา ถึงขนาดที่เราบอกว่าทุกคนเป็น spiritual being ทุกคนมีศักยภาพในการเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณได้ แล้วก็เราก็มองว่าศาสนาอาจจะถูกใช้ด้วยภาษาจิตวิญญาณมากขึ้น คือมองว่าเป็นเรื่อง spiritual เป็นเรื่องประสบการณ์ตรง

          แล้วพอมองแบบนี้ก็จะทำให้เห็นว่าประสบการณ์พวกนี้มันอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา อยู่ในความสัมพันธ์ อยู่ในเรื่องราวที่เราเจอ ผู้คนที่เราพบเจอ อยู่ในความขัดแย้ง เอาจริงคนที่มาที่วัชรสิทธาก็คือคนที่สนใจการเรียนรู้ พอสนใจการเรียนรู้ปุ๊บ เราคิดว่าการที่เราจะมาถามว่าคุณนับถือศาสนาอะไรในยุคนี้มันเชย แต่เรากลับรู้สึกว่าถ้ามันมีที่ที่เราไปเรียนรู้ได้ แล้วรู้สึกว่ามีบรรยากาศของการเรียนรู้ที่ไปอยู่ตรงนั้นแล้วเราได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง เพราะว่าไม่ว่าคุณจะเข้าเวิร์กชอปอันไหนหรือไปเรียนจากคนไหน คุณก็จะได้ประโยชน์ มันก็กลับมาเชื่อมโยงที่ประสบการณ์ตรง

          สมมติว่าคุณไปเรียนกับอาจารย์ซูฟี ไปเรียนกับมิงยูร์ ริมโปเช เรียนวัชรยาน ไปเรียนเซนที่ฝรั่งเศส แล้วก็ไปปฏิบัติโกเอ็นก้า ถามว่าคุณนับถือศาสนาอะไร คุณเป็นชาวพุทธนิกายอะไร มันตอบไม่ได้ไงเพราะว่าคุณคือคนที่ชอบการเรียนรู้ คุณคือคนที่สนใจการปฏิบัติทางศาสนา ทางจิตวิญญาณ คือคุณสนใจการเรียนรู้ตัวเอง เราก็เลยรู้สึกว่าถ้ามันเป็นแบบนี้มันก็ดีกว่าซะอีกที่เราจะมานั่งแปะป้ายกันว่าคุณนับถือศาสนาอะไร เราคิดว่าคนแบบนี้จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ

          แต่ในขณะเดียวกันเราก็รู้ว่าอาจจะมีคนบางประเภทที่รู้สึก turn off กับเรื่องศาสนาพุทธไปเลย ในบ้านเราก็มีเยอะที่สมาทานว่าเป็นคนไม่มีศาสนาเพราะอาจจะมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีกับการเจอพุทธแบบที่มีอำนาจที่จะมาบงการชีวิตตัวเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นปุ๊บ เราก็หวังว่าสิ่งที่วัชรสิทธานําเสนออาจจะเปลี่ยนมุมมองของเขา อาจจะทำให้เขารู้สึกว่ามันก็มีทางเลือกอื่นๆ ที่พุทธไม่ได้เป็นแบบเดียวกันหมด

วิจักขณ์ พานิชและสถาบันวัชรสิทธา พุทธศาสน์ศึกษาที่เกลือกกลั้วกับความเป็นมนุษย์
Photo: Pooksarinya

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก