มีคอร์สการเขียนเล่าเรื่องหรือ storytelling ไหลเวียนอยู่มากมายในโลกออนไลน์และออนไซต์ คุณอาจเคยเป็นคนหนึ่งที่อยากประสบความสำเร็จในการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะด้านการเขียน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าถ้าข้อเขียนของคุณติดอกติดใจชนชั้นกลาง งานนั้นจะกลายเป็นสินทรัพย์ทำเงินได้ตราบเท่าที่ยังได้รับความนิยม
ชีวิตมนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยเรื่องเล่าหรือ story เรื่องเล่าของเพื่อนทำให้เราสนิทกันมากขึ้น เรื่องเล่าทางศาสนาในชั่วโมงเรียนเป็นตัววัดผลสอบของเราพร้อมกับกล่อมเกลาความเชื่อและคำสอนลงสู่เนื้อสมอง หรือเมื่อถึงจุดเปลี่ยนผ่านของชีวิต เป็นต้นว่าการแต่งงาน การมีลูก หรือการตาย ก็ล้วนแต่มีเรื่องเล่ารองรับพิธีกรรมเหล่านั้นอยู่
ตลาดหนังสือมีหนังสือเล่าเรื่องราวดีๆ อยู่มากมาย มันคอยปลอบประโลม ให้กำลังใจแก่ผู้อ่านอย่างอ่อนโยนและขยันขันแข็ง…
แต่มีคนน้อยมากที่จะมองเห็นอันตรายแอบแฝง (หรือโจ่งแจ้ง) ของเรื่องเล่า
ไม่ว่าผู้เขียนจะตั้งใจดีเพียงใด เรื่องเล่าทุกเรื่องล้วนส่งเนื้อหาอำพรางที่ไม่ปรากฏในรูปตัวอักษร ไม่ใช่แม้แต่ตัวเนื้อหาด้วยซ้ำ แต่เป็นส่วนที่แฝงเร้นซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมและส่วนรวมชนิดที่คาดไม่ถึง
ยกตัวอย่างเรื่องเล่าคิดบวกและโลกสวย ด้านหนึ่งช่วยให้เรามีพละกำลังต่อสู้กับโลกและชีวิตที่โหดร้ายเหลือเกิน เหรียญอีกด้านมันอาจผลักคุณสู่โลกแห่งความสวยงามส่วนบุคคลที่ตัดขาดจากรากเหง้าปัญหาจริงๆ ที่คุณเผชิญอยู่ ตกอยู่ในหลุมพรางของการเรียกร้องให้คุณต้องมีความสุขตลอดเวลา และมองโลกบางส่วนบิดเบี้ยวจากความเป็นจริง
(อ่านเพิ่มเติมได้ที่ บวกเป็นพิษ ‘Toxic Positivity’)

ท่ามกลางกองทัพหนังสือเล่าเรื่องสวยๆ ดีๆ หรือหนังสือฮาวทูแนะนำวิธีการเล่าเรื่อง หนังสือของ โจนาธาน ก็อตชอลล์ (Jonathan Gottschall) อาจารย์แห่งภาควิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยวอชิงตันแอนด์เจฟเฟอร์สัน ที่ชื่อ ‘THE STORY PARADOX’ หรือ ‘ด้านมืดของพลังแห่งการเล่าเรื่อง’ จึงเป็นหนังสือแทงสวนที่ควรวางไว้บนตราชั่งแห่งการอ่านของเรา
เรื่องเล่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล มันถูกใช้เป็นเครื่องมือร้อยรัดผู้คนในกลุ่มหรือชนเผ่าเข้าด้วยกัน มันจึงสร้าง ‘ความเป็นเรา’ และ ‘ความเป็นอื่น’ ‘พวกเรา’ และ ‘พวกเขา’ ขึ้นโดยปริยาย มันส่งชุดศีลธรรมชุดหนึ่งออกไปและมักสร้างผู้ร้ายที่จับต้องได้ เป็นต้นว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตเพราะถูกมังกรจีนรุกรานขับไล่
ศีลธรรมคือความเป็นไทยอันศักดิ์สิทธิ์ ศัตรูคือจักรวรรดิจีน
แต่เรื่องเล่านั้นมีพลวัต มันมักไม่มีศัตรูถาวร มันสลับปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ทางสังคม ที่สำคัญคือเมื่อเราหลงเข้าไปในเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง มันสามารถก่อรูปความคิดและสร้างความสับสนให้คนคนหนึ่งปรับเปลี่ยนความเป็นปีศาจกับความเป็นวีรบุรุษ โจนาธานเล่าถึงกรณีของ โรเบิร์ต โบว์เออร์ (Robert Bowers) มือปืนกราดยิงศาสนสถานของชาวยิวที่ชื่อ Tree of life เมื่อปี 2561 มีผู้เสียชีวิต 11 คนจากเหตุการณ์นี้ โพสต์สุดท้ายของ โรเบิร์ต ในโซเชียลมีเดียก่อนลงมือ เขาเขียนว่า
“HIAS [สมาคมให้ความช่วยเหลือผู้อพยพแห่งฮีบรู] ชอบนำตัวผู้รุกรานที่ฆ่าคนของพวกเราเข้ามา ผมไม่อาจนั่งอยู่เฉยๆ และดูคนของผมถูกสังหารได้ ใครจะมองยังไงก็ช่างหัวเขา ผมจะเข้าไปข้างใน”
ดูเหมือนว่า โรเบิร์ต ไปได้ยินได้ฟังเรื่องเล่าทฤษฎีสมคบคิดอะไรบางอย่างมาก่อนลงมือ โจนาธาน ชวนให้เราสังเกตข้อความของ โรเบิร์ต อย่างถี่ถ้วน มันสื่อความคนละด้านโดยสิ้นเชิงกับที่เราเข้าใจ จริงๆ แล้ว เขากำลังบอกกับโลกว่า…
“ผมไม่ใช่คนโง่ ผมรู้ว่ามันไม่ได้ดีที่เข้าไปสาดกระสุนใส่กลุ่มผู้มาสักการะบูชาที่ไร้ทางสู้และส่วนใหญ่เป็นคนชรา ผมรู้ว่าผมจะต้องดูเหมือนสัตว์ประหลาด แต่มองดูให้ดี ผมไม่ใช่สัตว์ประหลาด ผมเป็นคนดีที่เสียสละทุกสิ่งเพื่อสังหารสัตว์ประหลาด” (หน้า 31)
คุณจะเห็นว่าเรื่องเล่าที่ทรงพลังเปลี่ยนมนุษย์เป็นปีศาจได้ โดยยังเชื่อมั่นว่าตนคือวีรบุรุษ มันไม่แตกต่างเลยกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวเยอรมันส่วนใหญ่เชื่อว่าตนเองกำลังปกป้องประเทศและความบริสุทธิ์ของเชื้อสายอารยัน หรือชาวฮูตูสังหารหมู่ชาวทุตซีในรวันดาที่คาดว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ล้านศพ
นี่คือพลังด้านมืดของเรื่องเล่า
โจนาธาน กล่าวว่าเรื่องเล่ามีไวยากรณ์สากลที่ช่วยให้มันตรึงใจคนทั้งโลก องค์ประกอบแรกคือมันต้องเริ่มจากปัญหาอะไรสักอย่าง ส่วนองค์ประกอบที่ 2 เรื่องเล่ามักจะแฝงแง่มุมทางศีลธรรม เขายังบอกอีกว่า
“การเปลี่ยนแปลงไปมาไม่แน่นอนของเรื่องราว ผลกระทบต่อชีวิตทางสังคมจากพวกมันที่มักจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย มาจากความจริง 3 อย่างที่เชื่อมโยงกัน คือ ผู้คนต้องการเรื่องราว เรื่องต้องการปัญหา และปัญหาต้องการตัวร้ายมาทำให้พวกมันเกิดขึ้น” (หน้า 164)
ทบทวนสิ่งที่ โจนาธาน พูดก็คล้อยตาม มนุษย์ถูกกระตุ้นด้วยปัญหาต่างๆ และถ้าปัญหานั้นมีตัวปัญหาให้เห็นชัดเจน มันก็ยิ่งง่ายที่จะพุ่งเป้าโจมตีไปที่ตัวปัญหานั้น และนี่คือปัญหา เขาบอกว่าไม่ว่าที่ใดที่เกิดการทำลายล้างแบบเป็นหมู่คณะแสดงว่าต้องมีเรื่องเล่าอยู่เบื้องหลัง ซึ่งผมก็เห็นด้วยอีกเช่นกัน
“สัตว์ประหลาดทำตัวแบบสัตว์ประหลาดอยู่ตลอดเวลา แต่การจะทำให้คนดีทำตัวแบบสัตว์ประหลาดได้นั้น คุณต้องเริ่มจากการเล่าเรื่องราวให้พวกเขาฟังก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโกหกครั้งใหญ่ การสมคบคิดชั่วร้าย ตำนานการเมืองหรือศาสนาที่ครอบงำทุกอย่าง” (หน้า 188) เขายังอธิบายอย่างเสียดสีต่ออีกว่า
“และเพื่อให้เราเข้าถึงความสุขจากความเกลียดได้อย่างเต็มที่ ตัวละครร้ายตามแบบแผนมักจะถูกสร้างให้ไร้มิติ ไม่ซับซ้อน และไม่เปลี่ยนแปลง และความชั่วช้าที่แบนราบตามแบบฉบับของตัวละครร้ายนี่เองที่ช่วยให้เราโอนถ่ายความเกลียดชังที่มีต่อตัวละครเหล่านี้ไปสู่กลุ่มคนที่ตัวละครเหล่านี้เหมือนจะเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะเป็นตัวร้ายตามขนบอย่างไอ้หนุ่มในแก๊งนักศึกษา เด็กสลัมอันธพาล หญิงเจ้ามารยา นายธนาคารจากวอลล์สตรีต หรือชาวทุตซีที่ร่ำรวย”
แล้วคุณรู้มั้ย? เรื่องเล่าเกี่ยวกับอะไรที่ทรงอานุภาพต่อชีวิตมนุษย์ที่สุด ดูเหมือน โจนาธาน จะยกให้กับเรื่องเล่าทางศาสนา ศาสนาหลักๆ ของโลกล้วนมีเรื่องเล่าของตนตามไวยากรณ์และไม่มีเรื่องเล่าใดที่ทรงพลังยืนยาวนานได้ขนาดนี้อีกแล้ว
ผมคิดว่ายังมีเรื่องเล่าอีกประเภทหนึ่งที่มีอำนาจทำลายล้างไม่แพ้กัน นั่นคือเรื่องเล่าเกี่ยวกับชนชาติอันยิ่งใหญ่ของตนและอุดมการณ์ที่ผูกพ่วงกันมา สงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ตัวอย่างที่เห็นตำตาเมื่อเรื่องเล่าทางศาสนาและชนชาติมาผนวกรวมกันแล้วสร้างพลังทำลายล้างอันน่าสยดสยอง
ที่น่าเศร้าก็คือเรื่องเล่าลักษณะนี้กระจัดกระจายอยู่ทุกที่ มันอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คุณคิด มันทำงานตลอดเวลา ที่สำคัญ มีคนจำนวนไม่น้อยติดตังอยู่ในวังวนของเรื่องเล่า หาทางออกไม่เจอ หรือไม่ก็ไม่อยากออกมา การสมาทานเรื่องเล่าใดเรื่องเล่าหนึ่งจะไม่น่ากลัวนัก หากเรายอมรับฟังเรื่องเล่าของคนอื่น โดยไม่มองว่าเรื่องเล่าที่แตกต่างจากเราเป็นศัตรูผู้สร้างปัญหา ศัตรูผู้รุกรานเข้ามาทำลางเรื่องเล่าของฉัน แล้วทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามโดยไม่เลือกวิธีการหรือกฎกติกาใดๆ
แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ศาสนา อุดมการณ์ทางการเมือง วัฒนธรรม ตำนาน ฯลฯ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จาบจ้วงมีโทษถึงตาย
โลกกำลังท่วมท้นด้วยเรื่องเล่าจากพลังของโลกโซเชียลมีเดีย คุมยาก และแพร่ระบาดเร็ว คำแนะนำของโจนาธาน ในโลกประเภทนี้คือการใช้ข้อเท็จจริงเข้าสู้ ฟังดูง่ายและตรงไปตรงมาดี แต่ยากเหลือเกินที่จะปฏิบัติจริง เพราะข้อเท็จจริงหนึ่งก็มีองศาให้มองได้หลากหลายและตีความไปตามความเชื่อส่วนบุคคล
ทั้งการพิสูจน์ข้อเท็จจริงยังต้องการเสรีภาพและพลังในการเข้าถึงและตรวจสอบ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าในยุคนี้เรามีมากเพียงพอจะทำได้หรือไม่ ในทางกลับกัน เสรีภาพก็เป็นช่องโหว่ให้นักเล่าเรื่องร้ายๆ สร้างเรื่องราวได้ไม่จำกัด การจำกัดการเล่าเรื่องร้ายๆ ก็หมิ่นเหม่ต่อการลิดรอนเสรีภาพ
ปัญหามันยุ่งยากกว่าที่คิด
ผมแนะนำว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากรู้เรื่องราวด้านมืดของการเล่าเรื่องราวต่างๆ ซึ่งแพร่ระบาดอยู่ตอนนี้ มันทำงานอย่างไร? มันมีไวยากรณ์อย่างไร? เราจะสังเกตเรื่องเล่าร้ายๆ ได้อย่างไร? ฯลฯ
แต่ถามว่ามีทางออกหรือเปล่า? ผมไม่แน่ใจ ตอบแบบมักง่ายที่สุดก็คงตอบว่า เวลารับรู้ รับฟัง เรื่องเล่าสักเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าโลกสวยหรือโลกร้าย ความยิ่งใหญ่ของศาสนา ชนชาติ หรือใดๆ ก็ตาม…
มีสติเข้าไว้ครับ
