The KOMMON
TK Park website
No Result
View All Result
The KOMMON
TK Park website
No Result
View All Result
The KOMMON
No Result
View All Result
 
Read
Book of Commons
“On Failure” วิชาความผิดพลาดจาก ‘โรงเรียนแห่งชีวิต’
Book of Commons
  • Book of Commons

“On Failure” วิชาความผิดพลาดจาก ‘โรงเรียนแห่งชีวิต’

252 views

 5 mins

2 MINS

March 7, 2023

Last updated - April 6, 2023

          ถ้าไม่เลือกหนังสือจากปก

          แล้วคุณเลือกหนังสือจากอะไร?

          “I know, I know…”

          เข้าใจ เข้าใจ…) 

          บางครั้ง หลายครั้ง อาจเป็นคำไม่กี่คำที่เราพลิกไปเจอ คำที่อาลัน เดอ บัททัน (Alain de Botton) นักเขียน นักปรัชญา ชาวอังกฤษ-สวิส ผู้ก่อตั้ง The School of Life สถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่มุ่งมั่นพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ผ่านการอบรม การบำบัด การเล่าเรื่องรูปแบบต่างๆ รวมทั้งหนังสือเนื้อหาว่าด้วยอารมณ์สากลที่มนุษย์ล้วนเผชิญ ทั้งความรัก ความสุข และความล้มเหลวอย่างเล่มนี้

          เดอ บัททัน เคยเขียนไว้ในหนังสือ How Proust Can Change Your Life ว่าหนังสือและความสัมพันธ์คล้ายกันอยู่อย่างตรงที่บางครั้งเวลาใครคนหนึ่ง หรือหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งพูดได้ตรงใจเรา ราวกับว่าเขาอ่านใจเราได้ นั่นหาใช่เพราะความวิเศษ เก่งกาจแต่อย่างใด หากเพราะข้อความนั้นเป็นสิ่งที่เราอยากได้ยิน เป็นความรู้สึกขมุกขมัวในใจที่เราไม่สามารถหาถ้อยคำเอ่ยมันออกมา

          หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่เช่นนั้น หนังสือเล่มหนาปรากฏเพียงสัน ซ่อนตัวไว้มิดชิดในซอกชั้น ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญ หรือเป็นความตั้งใจอันน่าขัน ก็หนังสือชื่อสั้นๆ ว่าด้วยความล้มเหลว ‘On Failure’ จะดึงดูดใครกันในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ที่ใครต่อใครต่างใฝ่ฝันถึงความสุขสมหวังดั่งใจ

          “เมื่อพิจารณาว่ามีความทุกข์และความโศกมากเพียงใด ช่างน่าแปลกใจที่มีหนังสือเพียงไม่กี่เล่มถูกเขียนเพื่อปลอบประโลมเราให้หลุดพ้นจากขุมนรกได้” 

          เงยหน้าขึ้นมาจากคำนำ และหันไปดูชั้นหนังสือก็พบว่ายืนอยู่ท่ามกลางหนังสือคู่มือช่วยให้ประสบความสำเร็จ หนังสือว่าด้วยความล้มเหลวดูจะเป็นปีศาจร้ายในบรรดาเรื่องเล่าว่าด้วยความสุขสมอารมณ์หมาย แน่นอนว่าใครต่อใครต่างไขว่คว้าหาชีวิตที่สมบูรณ์ หาหนทางให้ทำสิ่งใดก็สำเร็จดังหวัง แต่เคยไหมที่บางครั้งความล้มเหลว ทรงจำถึงฝันที่พังครืนก็ฉุดรั้งเราไว้ ราวกับว่าความรู้สึกผิด ความอับอาย ความเสียดายเรียกร้องให้เรารับรู้ถึงมันก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อน ไล่ล่าความฝันใหม่ เพียงเพราะไม่อยากหันไปรับรู้ถึงสิ่งที่ผ่านมาอีกต่อไป

          “แน่นอนว่า ยิ่งเราเข้าใกล้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจริงมากเท่าไร ยิ่งยากที่ถ้อยคำใดจะมีช่วยแก้ไขอะไรได้ เราจะพูดอะไรได้กับคนที่เพิ่งสูญเสียวิถีชีวิตไป คนที่เพิ่งเห็นคนรักจากไป คนที่กำลังคร่ำครวญกับการพังทลายของวิชาชีพหรือคนที่ไม่อาจเหยียบเท้ากลับไปในเมืองที่คนอยู่ได้อีก?”

          ดังที่เดอ บัททันว่าไว้ หนังสือราวกับจะรู้ทัน ใจหนึ่งก็สบประมาทว่าใครเลยจะเข้าใจความผิดหวังที่เกิดขึ้นได้ การที่หนังสือรีบออกตัวแต่เนิ่นว่าไม่ได้จะแก้ไขสิ่งผิด พลิกฟื้นชีวิตให้กลับมาดีขึ้นได้แต่อย่างใด ยิ่งหนังสือไม่อวดอ้างมากเท่าไร ใจดูจะเปิดกว้าง น้อมรับถ้อยคำเข้ามามากขึ้นเท่านั้น ก็ไม่ใช่หรือที่เรามีกูรู ผู้รู้มากมาย คอยบอกว่าเราควรทำอย่างไรกับชีวิต คิดแบบไหนจะดีต่อตนเอง ต้องปรับพฤติกรรม สร้างกิจวัตรแบบไหนชีวิตถึงจะเปลี่ยนไป

          ใช่ เรารู้ เราได้ยินมามาก แต่บางครั้ง…หลายครั้ง…ในวันเวลาที่เราสบตาตัวเองได้ไม่เท่าไรก็ต้องเบือนหน้าหนี

          ใช่หรือไม่ที่ในช่วงเวลาเช่นนั้น เรายังไม่ต้องการรับรู้ ถูกพร่ำสอนอะไร

          ใช่หรือไม่ที่ในห้วงเวลาแบบนั้นเราเพียงต้องการความเข้าใจ ไม่ต้องถูกกด กด กด ดัน ดัน ดันให้ดีขึ้นเร็วไว้ ขอแค่เวลา และพื้นที่ปลอดภัยให้เราพออยู่กับตัวเองได้ก่อน

          หนังสือเล่มนี้หวังว่าจะเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างในโมงยามมืดหม่น และนานๆ ครั้งก็เอ่ยคำบางคำที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้บ้าง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เรารู้สึกไม่เดียวดาย

          ไม่รู้ว่าเป็นเจตนาของหนังสือหรืออย่างไร แต่เมื่อได้นั่งลงอ่านในช่วงเวลาหมองหม่น ช่วงที่เราหยุดร้องไห้ไม่ได้ ช่วงที่ความหวังเลือนหาย และเราอาจอับอายเกินกว่าจะไขว่คว้าขอความช่วยเหลือใดความล้มเหลวก็เริ่มไม่แปลกหน้าเท่าไร ไม่น่ากลัวอีกต่อไป และก็จริงเช่นที่หนังสือกล่าวไว้ว่าตรงข้ามกับความแปลกหน้า ความล้มเหลวช่างเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันมา เพียงแค่เมื่อความล้มเหลวถูกผลักให้แปลกแยก ออกห่าง ทุกครั้งที่เพื่อนคุ้นเคยคนนี้ปรากฏตัวขึ้นก็พลันดูประหลาด เกิดคำถามต่างๆ นานา

          ‘ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับฉัน?ทำไมฉันถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว?’

          ทั้งที่เราต่างรู้ว่าไม่จริงเลย ความล้มเหลวไม่ได้เลือกปฏิบัติเลย นี่คือปรากฏการณ์สามัญธรรมดา เราต่างหากที่ปฏิบัติต่อความล้มเหลวราวกับว่ามันคือสิ่งแปลกปลอม ไม่ยอมให้มันปรากฏตัว ไม่ยอมให้ปนเปื้อนเรื่องเล่าชีวิตเรา

“On Failure” วิชาความผิดพลาดจาก ‘โรงเรียนแห่งชีวิต’

          ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ The School of Life จึงทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อนิยามความล้มเหลวเสียใหม่ว่านี่ไม่ใช่ฉากชีวิตที่ต้องหาทางเลี่ยง หากเป็นฉากสำคัญ เป็นจุดเปลี่ยนของตัวละคร เป็นการพังทลายของตัวตนเดิมๆ เพื่อประกอบสร้างขึ้นใหม่ สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่การเลี่ยง หากคือการเรียนรู้จากฉากนี้ให้มากที่สุด ไม่ใช่การหลบตา หากสบตากับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา บอกกับตัวเองว่าใช่ ฉันพลาดไป ไม่เป็นไร และจะปฏิบัติตัวต่างไปจากเดิมอย่างไร 

          นอกจากน้ำเสียงคล้ายเพื่อนชวนสนทนา เรื่องเล่าต่างๆ ที่ถูกนำมาบอกเล่า ประเภทความล้มเหลวในรูปแบบต่างๆ ทั้งหน้าที่ความฝัน (Personal)  ความสัมพันธ์ (Interpersonal) การงาน (Occupational) ชื่อเสียง (Societal) หนังสือยังรวบรวมหนทางเยียวยา (เมื่อพร้อม) ที่มีทั้งวิธีการทางศาสนาอย่างการสารภาพบาป (ต่อตนเอง) การถอดถอนจากวาระทางสังคมเพื่อกลับมาสู่เจตนาที่แท้จริงของตน และท้ายที่สุดที่ดูจะไม่ใช่แค่วิธีการรับมือกับความผิดพลาด หากคือพื้นฐานการมีชีวิต นั่นคือการเพาะบ่มความเมตตากรุณา เพราะแม้เราจะได้ยินมานักต่อนักว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ แต่หากจิตใจเราปราศจากความเมตตาแล้ว ความผิดพลาดใดๆ ก็ย่อมใหญ่โต ควรแก่การคาดโทษ

          “เรากลายเป็นคนหวาดกลัวความผิดพลาด เพราะเมื่อเรายังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็ถูกทำให้เสียขวัญแล้วเมื่อถูกดุด่าว่ากล่าว ใครบางคนบอกว่าเราจะเป็นที่ยอมรับก็ต่อเมื่อเราทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้สำเร็จเท่านั้น ไม่มีใครช่วยปลอบขวัญเราเมื่อเราตกใจและเสียใจเมื่อเติบใหญ่ คนพวกนี้อาจไม่ได้ตั้งใจแต่ถึงอย่างไรเราก็เจ็บช้ำอยู่ดี…”

          “กล่าวโดยทั่วไปแล้ว เรากลัวความผิดพลาดเพราะเราไม่ได้รับความรักอย่างเหมาะสม เราไม่ได้ถูกดูแล ปลอบใจ ใส่ใจ ทำให้อุ่นใจ และยอมรับอย่างไร้เงื่อนไข”

          ทว่า หนังสือเล่มนี้ได้ค่อยๆ เผยทางให้เห็น ไม่ใช่ผ่านคำแนะนำ หากผ่านบทสนทนา คล้ายเพื่อนที่นั่งเล่าเรื่องราวอยู่ข้างๆ จนเราค่อยๆ รู้สึกว่าเราไม่ต้องรอให้ใครมาคอยฟังเราสารภาพบาปก็ได้ หากเราสามารถฟังเสียง สบตา ขอโทษ และให้อภัยตัวเองได้ สามารถสื่อสารกับเด็กน้อยในตัวเรา (Inner Child) ได้ว่าเราเห็น เรารับรู้ถึงความเสียใจ ผิดหวัง รับฟังให้ถึงที่สุด แล้วค่อยๆ บอกกับเขาว่า

          “เข้าใจ…ไม่เป็นไร”

          ต่อจากนี้ขอให้วางใจได้ว่าเพียงเป็นเธอก็พอแล้ว เธอไม่ต้องพยายามเพื่อพิสูจน์ใครแล้ว แน่นอนว่าความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาของชีวิต แต่เมื่อไม่มีความคาดหวัง ไม่มีความคาดโทษ เราจะเริ่มมองความผิดพลาดเป็นหนึ่งเหตุการณ์ของชีวิต หาใช่จุดจบของชีวิตไม่

          หนังสือหาได้อวดอ้างว่าความล้มเหลวจะไม่ปรากฏเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ หากความล้มเหลวจะยังคงโผล่มาวนเวียนอยู่ร่ำไป เพียงแค่สายตาของเราที่เปลี่ยนไป จะไม่มองความล้มเหลวว่าโหดร้าย น่ากลัว – เมื่อเราไม่โหดร้าย น่ากลัวต่อตนเอง

          เช่นที่เดอ บัททันว่าไว้ ว่าความงาม ความน่ากลัวหาใช่เป็นสิ่งภายนอกที่เรามองเห็นไม่ (What) หากเรามองโลกอย่างไรเท่านั้นเอง (How)


สามารถสั่งซื้อหนังสือได้ที่ : theschooloflife.com

Tags: แนะนำหนังสือ

เรื่องโดย

225
VIEWS
พชร สูงเด่น เรื่อง

อ่าน เขียน เรียนรู้ตลอดชีวิต

          ถ้าไม่เลือกหนังสือจากปก

          แล้วคุณเลือกหนังสือจากอะไร?

          “I know, I know…”

          เข้าใจ เข้าใจ…) 

          บางครั้ง หลายครั้ง อาจเป็นคำไม่กี่คำที่เราพลิกไปเจอ คำที่อาลัน เดอ บัททัน (Alain de Botton) นักเขียน นักปรัชญา ชาวอังกฤษ-สวิส ผู้ก่อตั้ง The School of Life สถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่มุ่งมั่นพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ผ่านการอบรม การบำบัด การเล่าเรื่องรูปแบบต่างๆ รวมทั้งหนังสือเนื้อหาว่าด้วยอารมณ์สากลที่มนุษย์ล้วนเผชิญ ทั้งความรัก ความสุข และความล้มเหลวอย่างเล่มนี้

          เดอ บัททัน เคยเขียนไว้ในหนังสือ How Proust Can Change Your Life ว่าหนังสือและความสัมพันธ์คล้ายกันอยู่อย่างตรงที่บางครั้งเวลาใครคนหนึ่ง หรือหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งพูดได้ตรงใจเรา ราวกับว่าเขาอ่านใจเราได้ นั่นหาใช่เพราะความวิเศษ เก่งกาจแต่อย่างใด หากเพราะข้อความนั้นเป็นสิ่งที่เราอยากได้ยิน เป็นความรู้สึกขมุกขมัวในใจที่เราไม่สามารถหาถ้อยคำเอ่ยมันออกมา

          หนังสือเล่มนี้ทำหน้าที่เช่นนั้น หนังสือเล่มหนาปรากฏเพียงสัน ซ่อนตัวไว้มิดชิดในซอกชั้น ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญ หรือเป็นความตั้งใจอันน่าขัน ก็หนังสือชื่อสั้นๆ ว่าด้วยความล้มเหลว ‘On Failure’ จะดึงดูดใครกันในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ที่ใครต่อใครต่างใฝ่ฝันถึงความสุขสมหวังดั่งใจ

          “เมื่อพิจารณาว่ามีความทุกข์และความโศกมากเพียงใด ช่างน่าแปลกใจที่มีหนังสือเพียงไม่กี่เล่มถูกเขียนเพื่อปลอบประโลมเราให้หลุดพ้นจากขุมนรกได้” 

          เงยหน้าขึ้นมาจากคำนำ และหันไปดูชั้นหนังสือก็พบว่ายืนอยู่ท่ามกลางหนังสือคู่มือช่วยให้ประสบความสำเร็จ หนังสือว่าด้วยความล้มเหลวดูจะเป็นปีศาจร้ายในบรรดาเรื่องเล่าว่าด้วยความสุขสมอารมณ์หมาย แน่นอนว่าใครต่อใครต่างไขว่คว้าหาชีวิตที่สมบูรณ์ หาหนทางให้ทำสิ่งใดก็สำเร็จดังหวัง แต่เคยไหมที่บางครั้งความล้มเหลว ทรงจำถึงฝันที่พังครืนก็ฉุดรั้งเราไว้ ราวกับว่าความรู้สึกผิด ความอับอาย ความเสียดายเรียกร้องให้เรารับรู้ถึงมันก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อน ไล่ล่าความฝันใหม่ เพียงเพราะไม่อยากหันไปรับรู้ถึงสิ่งที่ผ่านมาอีกต่อไป

          “แน่นอนว่า ยิ่งเราเข้าใกล้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจริงมากเท่าไร ยิ่งยากที่ถ้อยคำใดจะมีช่วยแก้ไขอะไรได้ เราจะพูดอะไรได้กับคนที่เพิ่งสูญเสียวิถีชีวิตไป คนที่เพิ่งเห็นคนรักจากไป คนที่กำลังคร่ำครวญกับการพังทลายของวิชาชีพหรือคนที่ไม่อาจเหยียบเท้ากลับไปในเมืองที่คนอยู่ได้อีก?”

          ดังที่เดอ บัททันว่าไว้ หนังสือราวกับจะรู้ทัน ใจหนึ่งก็สบประมาทว่าใครเลยจะเข้าใจความผิดหวังที่เกิดขึ้นได้ การที่หนังสือรีบออกตัวแต่เนิ่นว่าไม่ได้จะแก้ไขสิ่งผิด พลิกฟื้นชีวิตให้กลับมาดีขึ้นได้แต่อย่างใด ยิ่งหนังสือไม่อวดอ้างมากเท่าไร ใจดูจะเปิดกว้าง น้อมรับถ้อยคำเข้ามามากขึ้นเท่านั้น ก็ไม่ใช่หรือที่เรามีกูรู ผู้รู้มากมาย คอยบอกว่าเราควรทำอย่างไรกับชีวิต คิดแบบไหนจะดีต่อตนเอง ต้องปรับพฤติกรรม สร้างกิจวัตรแบบไหนชีวิตถึงจะเปลี่ยนไป

          ใช่ เรารู้ เราได้ยินมามาก แต่บางครั้ง…หลายครั้ง…ในวันเวลาที่เราสบตาตัวเองได้ไม่เท่าไรก็ต้องเบือนหน้าหนี

          ใช่หรือไม่ที่ในช่วงเวลาเช่นนั้น เรายังไม่ต้องการรับรู้ ถูกพร่ำสอนอะไร

          ใช่หรือไม่ที่ในห้วงเวลาแบบนั้นเราเพียงต้องการความเข้าใจ ไม่ต้องถูกกด กด กด ดัน ดัน ดันให้ดีขึ้นเร็วไว้ ขอแค่เวลา และพื้นที่ปลอดภัยให้เราพออยู่กับตัวเองได้ก่อน

          หนังสือเล่มนี้หวังว่าจะเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างในโมงยามมืดหม่น และนานๆ ครั้งก็เอ่ยคำบางคำที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้บ้าง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เรารู้สึกไม่เดียวดาย

          ไม่รู้ว่าเป็นเจตนาของหนังสือหรืออย่างไร แต่เมื่อได้นั่งลงอ่านในช่วงเวลาหมองหม่น ช่วงที่เราหยุดร้องไห้ไม่ได้ ช่วงที่ความหวังเลือนหาย และเราอาจอับอายเกินกว่าจะไขว่คว้าขอความช่วยเหลือใดความล้มเหลวก็เริ่มไม่แปลกหน้าเท่าไร ไม่น่ากลัวอีกต่อไป และก็จริงเช่นที่หนังสือกล่าวไว้ว่าตรงข้ามกับความแปลกหน้า ความล้มเหลวช่างเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันมา เพียงแค่เมื่อความล้มเหลวถูกผลักให้แปลกแยก ออกห่าง ทุกครั้งที่เพื่อนคุ้นเคยคนนี้ปรากฏตัวขึ้นก็พลันดูประหลาด เกิดคำถามต่างๆ นานา

          ‘ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับฉัน?ทำไมฉันถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว?’

          ทั้งที่เราต่างรู้ว่าไม่จริงเลย ความล้มเหลวไม่ได้เลือกปฏิบัติเลย นี่คือปรากฏการณ์สามัญธรรมดา เราต่างหากที่ปฏิบัติต่อความล้มเหลวราวกับว่ามันคือสิ่งแปลกปลอม ไม่ยอมให้มันปรากฏตัว ไม่ยอมให้ปนเปื้อนเรื่องเล่าชีวิตเรา

“On Failure” วิชาความผิดพลาดจาก ‘โรงเรียนแห่งชีวิต’

          ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ The School of Life จึงทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อนิยามความล้มเหลวเสียใหม่ว่านี่ไม่ใช่ฉากชีวิตที่ต้องหาทางเลี่ยง หากเป็นฉากสำคัญ เป็นจุดเปลี่ยนของตัวละคร เป็นการพังทลายของตัวตนเดิมๆ เพื่อประกอบสร้างขึ้นใหม่ สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่การเลี่ยง หากคือการเรียนรู้จากฉากนี้ให้มากที่สุด ไม่ใช่การหลบตา หากสบตากับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา บอกกับตัวเองว่าใช่ ฉันพลาดไป ไม่เป็นไร และจะปฏิบัติตัวต่างไปจากเดิมอย่างไร 

          นอกจากน้ำเสียงคล้ายเพื่อนชวนสนทนา เรื่องเล่าต่างๆ ที่ถูกนำมาบอกเล่า ประเภทความล้มเหลวในรูปแบบต่างๆ ทั้งหน้าที่ความฝัน (Personal)  ความสัมพันธ์ (Interpersonal) การงาน (Occupational) ชื่อเสียง (Societal) หนังสือยังรวบรวมหนทางเยียวยา (เมื่อพร้อม) ที่มีทั้งวิธีการทางศาสนาอย่างการสารภาพบาป (ต่อตนเอง) การถอดถอนจากวาระทางสังคมเพื่อกลับมาสู่เจตนาที่แท้จริงของตน และท้ายที่สุดที่ดูจะไม่ใช่แค่วิธีการรับมือกับความผิดพลาด หากคือพื้นฐานการมีชีวิต นั่นคือการเพาะบ่มความเมตตากรุณา เพราะแม้เราจะได้ยินมานักต่อนักว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ แต่หากจิตใจเราปราศจากความเมตตาแล้ว ความผิดพลาดใดๆ ก็ย่อมใหญ่โต ควรแก่การคาดโทษ

          “เรากลายเป็นคนหวาดกลัวความผิดพลาด เพราะเมื่อเรายังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราก็ถูกทำให้เสียขวัญแล้วเมื่อถูกดุด่าว่ากล่าว ใครบางคนบอกว่าเราจะเป็นที่ยอมรับก็ต่อเมื่อเราทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้สำเร็จเท่านั้น ไม่มีใครช่วยปลอบขวัญเราเมื่อเราตกใจและเสียใจเมื่อเติบใหญ่ คนพวกนี้อาจไม่ได้ตั้งใจแต่ถึงอย่างไรเราก็เจ็บช้ำอยู่ดี…”

          “กล่าวโดยทั่วไปแล้ว เรากลัวความผิดพลาดเพราะเราไม่ได้รับความรักอย่างเหมาะสม เราไม่ได้ถูกดูแล ปลอบใจ ใส่ใจ ทำให้อุ่นใจ และยอมรับอย่างไร้เงื่อนไข”

          ทว่า หนังสือเล่มนี้ได้ค่อยๆ เผยทางให้เห็น ไม่ใช่ผ่านคำแนะนำ หากผ่านบทสนทนา คล้ายเพื่อนที่นั่งเล่าเรื่องราวอยู่ข้างๆ จนเราค่อยๆ รู้สึกว่าเราไม่ต้องรอให้ใครมาคอยฟังเราสารภาพบาปก็ได้ หากเราสามารถฟังเสียง สบตา ขอโทษ และให้อภัยตัวเองได้ สามารถสื่อสารกับเด็กน้อยในตัวเรา (Inner Child) ได้ว่าเราเห็น เรารับรู้ถึงความเสียใจ ผิดหวัง รับฟังให้ถึงที่สุด แล้วค่อยๆ บอกกับเขาว่า

          “เข้าใจ…ไม่เป็นไร”

          ต่อจากนี้ขอให้วางใจได้ว่าเพียงเป็นเธอก็พอแล้ว เธอไม่ต้องพยายามเพื่อพิสูจน์ใครแล้ว แน่นอนว่าความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาของชีวิต แต่เมื่อไม่มีความคาดหวัง ไม่มีความคาดโทษ เราจะเริ่มมองความผิดพลาดเป็นหนึ่งเหตุการณ์ของชีวิต หาใช่จุดจบของชีวิตไม่

          หนังสือหาได้อวดอ้างว่าความล้มเหลวจะไม่ปรากฏเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ หากความล้มเหลวจะยังคงโผล่มาวนเวียนอยู่ร่ำไป เพียงแค่สายตาของเราที่เปลี่ยนไป จะไม่มองความล้มเหลวว่าโหดร้าย น่ากลัว – เมื่อเราไม่โหดร้าย น่ากลัวต่อตนเอง

          เช่นที่เดอ บัททันว่าไว้ ว่าความงาม ความน่ากลัวหาใช่เป็นสิ่งภายนอกที่เรามองเห็นไม่ (What) หากเรามองโลกอย่างไรเท่านั้นเอง (How)


สามารถสั่งซื้อหนังสือได้ที่ : theschooloflife.com

Tags: แนะนำหนังสือ

พชร สูงเด่น เรื่อง

อ่าน เขียน เรียนรู้ตลอดชีวิต

Related Posts

ชีวิตเร้นลับของต้นไม้ – ความซับซ้อนของต้นไม้ และชีวิตซ่อนเร้นอีกมากมายบนโลกนี้
Book of Commons

‘ชีวิตเร้นลับของต้นไม้’ ต้นไม้ซับซ้อน ชีวิตซ่อนเร้น

June 6, 2023
0
Crying in H Mart อาหาร วัฒนธรรม และความทรงจำถึงแม่ที่จากไป
Book of Commons

Crying in H Mart อาหาร วัฒนธรรม และความทรงจำถึงแม่ที่จากไป

May 24, 2023
3
เปลี่ยน ‘ศาสนาของรัฐ’ เป็น ‘ศาสนาของผู้คน’ ดึง ‘อำนาจรัฐ’ ออกจาก ‘ศรัทธา’
Book of Commons

เปลี่ยน ‘ศาสนาของรัฐ’ เป็น ‘ศาสนาของผู้คน’ ดึง ‘อำนาจรัฐ’ ออกจาก ‘ศรัทธา’

May 16, 2023
39

Related Posts

ชีวิตเร้นลับของต้นไม้ – ความซับซ้อนของต้นไม้ และชีวิตซ่อนเร้นอีกมากมายบนโลกนี้
Book of Commons

‘ชีวิตเร้นลับของต้นไม้’ ต้นไม้ซับซ้อน ชีวิตซ่อนเร้น

June 6, 2023
0
Crying in H Mart อาหาร วัฒนธรรม และความทรงจำถึงแม่ที่จากไป
Book of Commons

Crying in H Mart อาหาร วัฒนธรรม และความทรงจำถึงแม่ที่จากไป

May 24, 2023
3
เปลี่ยน ‘ศาสนาของรัฐ’ เป็น ‘ศาสนาของผู้คน’ ดึง ‘อำนาจรัฐ’ ออกจาก ‘ศรัทธา’
Book of Commons

เปลี่ยน ‘ศาสนาของรัฐ’ เป็น ‘ศาสนาของผู้คน’ ดึง ‘อำนาจรัฐ’ ออกจาก ‘ศรัทธา’

May 16, 2023
39
ABOUT
SITE MAP
PRIVACY POLICY
CONTACT
Facebook-f
Youtube
Soundcloud
icon-tkpark

Copyright 2021 © All rights Reserved. by TK Park

  • READ
    • ALL
    • Common WORLD
    • Common VIEW
    • Common ROOM
    • Book of Commons
    • Common INFO
  • PODCAST
    • ALL
    • readWORLD
    • Coming to Talk
    • Read Around
    • WanderingBook
    • Knowledge Exchange
  • VIDEO
    • ALL
    • TK Forum
    • TK Common
    • TK Spark
  • UNCOMMON
    • ALL
    • Common INFO
    • Common EXPERIENCE
    • Common SENSE

© 2021 The KOMMON by TK Park.

Welcome Back!

Login to your account below

Forgotten Password?

Retrieve your password

Please enter your username or email address to reset your password.

Log In

Add New Playlist

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่า อนุญาต
Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก
Privacy Preferences