ภาพอนาคตการศึกษาไทย-ฝันให้ไกล…ทำอย่างไรจะไปให้ถึง

457 views
7 mins
October 18, 2024

          กว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา…ไม่ว่าจะผลัดเปลี่ยนผู้บริหารประเทศไปกี่รัฐบาล สิ่งที่ถูกกล่าวถึงและยกขึ้นเป็นวาระแห่งชาติอยู่เสมอคือ ‘การปฏิรูปการศึกษา’ อย่างเช่นปี 2542 ที่มุ่งเน้นการปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับศตวรรษที่ 21 และปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการให้คล่องตัวมากขึ้น หรือปี 2552-2561 ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา เพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้เกิดความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารจัดการการศึกษา ไล่มาจนถึงแผนปี 2560 เป็นต้นมา ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ

          ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) แสดงให้เห็นว่าสัดส่วนงบประมาณด้านการศึกษาต่องบประมาณรวมของไทยนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในเอเชียอย่างสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิ่งที่ภาครัฐได้พยายามทำเพื่อปฏิรูปการศึกษามีทั้ง การส่งเสริมให้ปรับหลักสูตรเป็นฐานสมรรถนะ (Competency-based) จนถึงพัฒนาส่งเสริมเครื่องมือการเรียนรู้ใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดแรงงานในศตวรรษที่ 21 ตลอดจนสร้างโอกาสในการเข้าถึงความรู้ แต่ต้องยอมรับว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นยังไม่เป็นที่พอใจเท่าไรนัก และการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม หากวัดจากเสียงสะท้อนของผู้เรียน ผู้ปกครอง จำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาที่มากขึ้นเรื่อยๆ หรือแม้กระทั่งจากผลการทดสอบมาตรฐานสากลต่างๆ เช่น การทดสอบ PISA

          ต้นสายปลายเหตุของปัญหาคืออะไรกันแน่? การศึกษาไทยควรดำเนินไปในทิศทางไหน? คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเพื่อเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิผลของการปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมา เช่นกันกับบนเวทีเสวนา ‘มองภาพอนาคตการศึกษาไทย’ ในงานครบรอบสิบปีแห่งการสถาปนาคณะ ‘วิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์’ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีหลากหลายประเด็นจากวิทยากรที่น่าสนใจ ผ่านการวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งในมุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ทั้งยังนำผลงานวิจัยด้านการศึกษาและประสบการณ์ของแต่ละท่านมาเล่าขยายผล

          ความท้าทายของการศึกษาไทยในช่วงที่ผ่านมา เกิดขึ้นทั้งในฝั่งผู้เรียน สถานศึกษา และระบบการศึกษา เมื่อผนวกกับปัจจัยภายนอกอย่างการแพร่ระบาดของโควิดที่ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจ และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วซึ่งอาจเป็นดาบสองคมที่เปิดช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำให้กว้างขึ้น ก็ยิ่งทำให้ภาพปัญหาต่างๆ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

ภาพอนาคตการศึกษาไทย-ฝันให้ไกล...ทำอย่างไรจะไปให้ถึง
Photo: IPST Thailand, CC BY-SA 4.0

ภาพอนาคตการศึกษาไทย-ฝันให้ไกล...ทำอย่างไรจะไปให้ถึง
Photo: IPST Thailand, CC BY-SA 4.0

ปรากฏการณ์ในแวดวงการศึกษาไทยฝั่งผู้เรียน

          ปัญหาที่ถูกกล่าวถึงมากเป็นพิเศษในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คือเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา รายงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2562-2567 เปิดเผยว่าเด็กและเยาวชนอายุตั้งแต่ 3–18 ปี หรือเทียบเท่าระดับอนุบาล 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 กว่า 1.02 ล้านคน ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษา ส่วนใหญ่เป็นเด็กในครัวเรือนที่มีการอพยพแรงงานเข้ามาในประเทศไทยและอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล โดยความยากจนเป็นสาเหตุอันดับหนึ่ง คิดเป็นร้อยละ 46.70 เด็กเกือบ 1 ใน 5 หรือร้อยละ 16.37 มีปัญหาสถานะทางทะเบียนคือยังไม่มีบัตรประชาชน โดยเยาวชนส่วนใหญ่หลุดจากระบบในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น

          เมื่อผนวกกับอัตราการเกิดที่ลดลงจนประเทศไทยเข้าสู่สภาวะ ‘สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์’ ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ จำนวนผู้เรียนในสถานศึกษาลดลง โรงเรียนเอกชนหลายแห่งต้องปิดตัวไป ส่วนโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หลายแห่งก็มีจำนวนผู้เรียนลดน้อยลง จนต่ำกว่า 120 คน กลายเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนตำแหน่งผู้บริหารและครู ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากรในสถานศึกษาตามมา

          แม้ความขาดแคลนทรัพยากรจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา แต่ประเด็นที่วงเสวนาได้ฝากเอาไว้คือ นอกจากเด็กกลุ่มเปราะบางแล้วยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ขาดแคลนโอกาส แต่สมัครใจที่จะออกจากระบบด้วยตนเอง เพราะการเรียนรู้ในสถานศึกษาทั่วไปไม่อาจทำให้เยาวชนกลุ่มนี้รู้สึกว่าได้เรียนรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต จึงออกไปแสวงหาช่องทางที่ตอบโจทย์ตนเองมากกว่า เด็กกลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มที่มีโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้มากกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งภาพสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา คือการเพิ่มขึ้นของโรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนทางเลือกต่างๆ ที่พยายามตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและผู้ปกครองกลุ่มนี้

          ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงปรากฏการณ์ทางฟากฝั่ง ‘ผู้เรียน’ จึงต้องบอกว่าแบ่งออกเป็นสองกลุ่มก้อน โดยช่องว่างที่เกิดขึ้นนั้นกว้างใหญ่นัก ประเทศไทยมีทั้งนักเรียนที่สามารถเดินทางไปเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกในต่างประเทศ และมีทั้งกลุ่มนักเรียนที่ขาดแคลนจนไม่อาจเข้าเรียนในระดับการศึกษาภาคบังคับได้เลย

ปรากฏการณ์ในแวดวงการศึกษาไทยฝั่งสถานศึกษา

          ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในฝั่งผู้เรียนย่อมส่งผลต่อการปรับตัวในฝั่งสถานศึกษา ประการแรกคือ เกิดการดิ้นรนของฟากฝั่งผู้ให้บริการอย่างโรงเรียนต่างๆ ที่จะสร้างแรงจูงใจในการเลือกเข้าเรียน เช่น จำนวนผู้สอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย กลายมาเป็น KPI ที่โรงเรียนหลายแห่งให้ความสำคัญและต้องพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมายเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้เรียนและผู้ปกครอง บางส่วนพยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการใหม่ๆ ของผู้เรียน ด้วยการสรรหานวัตกรรมการเรียนการสอนมาใช้ จึงมีโอกาสได้เห็นคำว่า Active Learning, Problem-based Learning, Project-based Learning และ Inquiry-based Learning มากขึ้น ในแวดวงการศึกษา แม้ว่าในหลายโอกาส ผู้สอนจะนำมาใช้แค่เพียงวิธีการ แต่ลืมไปว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของรูปแบบการเรียนรู้เหล่านั้นคือการส่งเสริมให้เด็กๆ สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองต่อไปในอนาคตและตลอดชีวิต

          ดังนั้น สิ่งที่วงเสวนาตั้งข้อสังเกตก็คือ เป็นไปได้ที่จะเกิด ‘แรงตึง’ ระหว่างสองกระแส ซึ่งหมายถึงผู้ให้บริการหรือสถานศึกษากลุ่มหนึ่งพยายามจะปรับเปลี่ยนมุมมอง จากให้ความสำคัญกับความรู้ (Knowledge) มาเป็นให้ความสำคัญกับการฉลาดรู้ (Literacy) และติดอาวุธทักษะที่จำเป็นต่อตลาดแรงงานโลกในศตวรรษที่ 21 แต่การปรับตัวของระบบการศึกษาก็น่าจะยังเป็นไปในทิศทางเดิม ทำให้การเรียนการสอนดำเนินไปในแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกรอบมาตรฐานคุณวุฒิต่างๆ ที่สร้างข้อจำกัดให้กับหลักสูตรมากกว่าที่จะสร้างความหลากหลาย การกำหนดจริยธรรมการวิจัยที่หลายครั้งเป็นข้อจำกัดในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรือการพัฒนารูปแบบประกันคุณภาพการศึกษาที่ล้วนทำให้การเรียนการสอนและการวิจัยพัฒนาแบบอยู่ในกรอบต่อไป

          อีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในฟากฝั่งสถานศึกษาคือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนออนไลน์ หรือ AI ที่ช่วยประมวลผลข้อมูล และสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ เข้ามามีอิทธิพลต่อการเรียนรู้มากขึ้น ซึ่งมีโอกาสเป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย หากผู้สอนรู้เท่าทัน และเทคโนโลยีทำให้การเรียนรู้มีต้นทุนที่ถูกลง ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน แต่ถ้าเทคโนโลยีมีราคาสูงจนมีเพียงแค่บางกลุ่มเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง อีกทั้งถ้าผู้สอนไม่ได้รู้เท่าทัน และรู้วิธีใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ดีพอ ช่องว่างและความเหลื่อมล้ำก็มีโอกาสที่จะขยายขนาดกว้างใหญ่ยิ่งขึ้น

ภาพอนาคตการศึกษาไทย-ฝันให้ไกล...ทำอย่างไรจะไปให้ถึง
Photo: Ron Lach on Pexels

มองภาพระบบการศึกษาไทย

          วิทยากรในวงเสวนาจึงเห็นพ้องต้องกันว่า ‘Spectrum’ ของการศึกษาไทยนั้นกว้างใหญ่นัก ผู้เรียนมีภูมิหลังที่แตกต่างกัน ความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรการเรียนรู้ที่ต่างกัน อีกทั้งมีความต้องการที่ต่างกันอีกด้วย ดังนั้น สิ่งที่เป็นความท้าทายของระบบการศึกษาคือ  

1. ระบบการศึกษาไทยยังขาดความรู้ในการจัดรูปแบบการศึกษาให้เกิดประสิทธิผล

          ประเด็นแรกคือ ขาดความรู้ว่าเด็กแต่ละกลุ่มมีความต้องการอะไร เด็กบางกลุ่มอาจมีโอกาสเข้าถึงความรู้อย่างง่ายดายจนสิ่งที่ต้องการจากระบบคือการฝึกฝนและพัฒนาทักษะในการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ มากกว่าที่จะต้องการรูปแบบการสอนแบบบรรยาย บ้างก็ขาดความรู้เกี่ยวกับรากเหง้าภูมิปัญญาพื้นถิ่น บางกลุ่มมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรแต่ขาดโอกาสในการทำความเข้าใจและรู้จักตนเองในการเลือกเส้นทางการศึกษาและอาชีพในอนาคต บางกลุ่มขาดโอกาสในการเข้าถึงความรู้ เนื่องเพราะปัญหาความยากไร้ ในขณะที่บางกลุ่มประสบกับปัญหาทางสังคมอย่างหนักหน่วงจนมีผลต่อสุขภาวะทางกายและใจ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเรียนรู้ เด็กแต่ละกลุ่มมีความต้องการรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกันในขณะที่การศึกษาไทยมักจะสร้างมาตรฐานให้ทุกคนเรียนรู้ในแบบเดียวกัน

          ประเด็นที่สองคือ ขาดความรู้ที่จำเป็นต่อการผลิตคนที่มีประสิทธิภาพสู่อุตสาหกรรม หากพิจารณาในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ ระบบการศึกษาเป็นเสมือน ‘เทคโนโลยี’ ที่จะช่วยเพิ่ม ‘ผลิตภาพ’ ให้กับระบบอุตสาหกรรม แต่ระบบการศึกษาไทยยังไม่ตอบโจทย์ คือสอนในสิ่งที่เป็นความรู้ มากกว่าที่จะสอนเรื่องระบบการเรียนรู้ และในขณะเดียวกันก็ขาดความรู้เกี่ยวกับการแบ่งประเภทของอาชีพ (Classification) ให้ครอบคลุม เช่น ผู้ประกอบอาชีพด้าน UX/UI ในประเทศไทยถูกจัดกลุ่มรวมอยู่กับโปรแกรมเมอร์ และ อาชีพอิสระทุกประเภทที่อาจจะต้องการทักษะแตกต่างกันถูกรวมอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทั้งที่ความจริงแล้วมีหลากหลายอาชีพในกลุ่มก้อนนี้ จึงเป็นการยากที่จะวิเคราะห์ว่าจะเสริมทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานได้อย่างไร

2.ระบบการศึกษากับการเมืองมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด  

          หนึ่งในวิทยากรของวงเสวนาเห็นว่า ระบบการศึกษายากที่จะเปลี่ยนแปลง หากไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมือง การปฏิรูปการศึกษาไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเห็นผลได้ในระยะเวลาสั้นๆ ขณะที่หลายปีผ่านมาอายุของรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีไม่ได้ยาวนานพอที่จะเห็นผลว่า นโยบายสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ นโยบายก็ปรับเปลี่ยนตามไปด้วย ดังนั้น ทางออกคือต้องมีนโยบายการปฏิรูปที่สามารถอยู่ได้ยาวจนเห็นผล

          อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เมื่อพิจารณาสถานะของกระทรวงศึกษาธิการจะพบว่าเป็นกระทรวงที่มีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงได้น้อย แม้จะได้รับการจัดสรรงบประมาณของประเทศค่อนข้างมาก แต่งบประมาณเหล่านั้นคือค่าตอบแทนบุคลากรหรือค่าใช้จ่ายประจำ ไม่มีโครงการใหญ่ที่ทำให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการจึงเป็นกระทรวงที่มีอิทธิพลทางการเมืองค่อนข้างน้อย หากจะส่งเสริมให้มีอำนาจในการสร้างความเปลี่ยนแปลง อาจต้องผลักดันให้ผู้สอนและสถานศึกษารวมตัวกันเป็นเครือข่ายหรือกลุ่มก้อนที่มีอิทธิพลทางการเมืองและมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น

3.การสร้างสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้

          อีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือ พื้นที่เรียนรู้สาธารณะในประเทศไทยมีจำนวนน้อยไป ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หรือแหล่งเรียนรู้ประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ วัฒนธรรมการเรียนรู้ของคนไทยยังให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เป็นทางการ มีหลักสูตรเสริมทักษะหรือคอร์สเรียนระยะสั้นมากมาย แต่แหล่งเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถค้นคว้าได้ตามอัธยาศัยหายากยิ่ง หากระบบการศึกษาปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้เป็นไปในแนวทาง ‘Learn how to learn’ เด็กไทยก็มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้อิสระ ที่เขาจะสามารถเลือกเรียนรู้ในรูปแบบของตัวเองได้อยู่ดี

ข้อเสนอเพื่ออนาคตของการศึกษาไทย

          ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาไทยจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีความพยายามของรัฐบาลมาหลายต่อหลายครั้ง นโยบายที่เกิดขึ้นมักจะมุ่งเน้นส่งเสริมการเรียนฟรีมากกว่าที่จะเจาะลึกลงไปถึงคุณภาพการศึกษา และถึงแม้ว่าจะมีความพยายามในการยกระดับคุณภาพการศึกษา โครงสร้างทางการเมืองก็ไม่ค่อยเอื้อต่อการผลักดันให้ประสบความสำเร็จอยู่ดี  วงเสวนาจึงมีข้อเสนอที่อาจช่วยให้การปฏิรูปการศึกษาเกิดขึ้นได้จริง

  • ทำวิจัยเรื่องความต้องการของผู้เรียนจนได้ข้อมูลเกี่ยวกับอย่างเพียงพอ เพื่อนำมาเป็นฐานตั้งต้นการปฏิรูปการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนอย่างแท้จริง พร้อมรับกับแนวโน้มทางสังคมที่จะเกิดขึ้น เช่น เด็กที่มาจากผู้ปกครองเพศเดียวกัน  เพื่อให้การวางแผนงานไม่ติดอยู่กับคำใหญ่ๆ ตามแนวโน้มโลก

  • ปัจจุบันโรงเรียนอาจต้องทำหน้าที่มากกว่าสถานศึกษาที่มุ่งสอนความรู้หรือทักษะ แต่อาจต้องทำหน้าที่เป็นสถานที่เติมเต็มความต้องการพื้นฐานเพื่อให้เยาวชนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจจะต้องช่วยติดเครื่องมือในการพัฒนาตนเองให้กับเด็กในหลายๆ ด้าน เช่น SEL (Social Emotional Learning) เป็นต้น

  • ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ทำให้ความแตกต่างของการเรียนรู้ และเวลาที่ใช้ในการเรียนรู้น้อยลง (เช่น การใช้ AI เพื่อศึกษาความรู้เฉพาะทาง) เพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

  • Lifelong Learning ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการเรียนรู้ในระบบเท่านั้น คนที่ต้องการการเรียนรู้นอกห้องเรียน หรือนอกวัยเรียนมีจำนวนมาก วัยทำงานและผู้สูงอายุล้วนต้องการการเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตนเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

  • เมื่อระบบการเรียนการสอนเปลี่ยนไป คุณสมบัติ ‘ผู้สอน’ ควรจะเปลี่ยนไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกแบบการสอนและการประเมินผลให้สอดรับกับการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ ที่สำคัญคือ มีกลไกที่ช่วยให้บุคลากรรุ่นใหม่มีที่ทางอยู่ในระบบ ไม่ถูกเบียดบังหรือบีบคั้นให้ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง

  • พัฒนากลไกส่งเสริมและจัดระเบียบพื้นที่เรียนรู้สาธารณะ โดยเอื้อให้เกิดความร่วมมือ (Cooperation) และการแข่งขัน (Competition) ตามความเหมาะสม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการบริการในด้านความรู้

          เสริมทัศนคติให้ประชาชนยอมรับในความหลากหลาย เพื่อให้เกิดมุมมองที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับการเรียนการสอนและค่านิยมเดิม

          แม้การปฏิรูปการศึกษาอาจจะเป็นเรื่องยาก จนบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้สึกหมดหวัง แต่สิ่งที่วงเสวนาเชื่อว่าจะค่อยๆ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ คือ การสร้างตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม ‘ทางเลือก’ อาจกลายเป็น ‘ทางหลัก’ ได้สักวันหนึ่ง

ภาพอนาคตการศึกษาไทย-ฝันให้ไกล...ทำอย่างไรจะไปให้ถึง
งานเสวนา ‘มองภาพอนาคตการศึกษาไทย’


ที่มา

เสวนา “มองภาพอนาคตการศึกษาไทย” ในงานครบรอบสิบปีแห่งการสถาปนาคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Online)

บทความ “ปฏิรูปการศึกษา เส้นทางยังอีกยาวไกล” จาก thaipbs.or.th (Online)

บทความ “แผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา (ฉบับปรับปรุง)” จาก nscr.nesdc.go.th (Online)

บทความ “รายงานพิเศษ กสศ. ชี้เด็กไทยกว่า 1.02 ล้านคน หลุดออกนอกระบบการศึกษา พร้อมเสนอมาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน” จาก sdgmove.com (Online)

Cover Photo: Ron Lach on Pexels

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก