The KOMMON
TK Park website
No Result
View All Result
The KOMMON
TK Park website
No Result
View All Result
The KOMMON
No Result
View All Result
 
Read
Book of Commons
‘STOP READING THE NEWS’ สาระของข่าวไร้สาระ
Book of Commons
  • Book of Commons

‘STOP READING THE NEWS’ สาระของข่าวไร้สาระ

186 views

 4 mins

2 MINS

January 17, 2023

          เริ่มต้นอย่างนี้แล้วกัน ผมไม่เห็นด้วยกับ ROLF DOBELLI ว่าเราควรหยุดอ่านข่าวโดยสิ้นเชิง

          ไม่ใช่เพราะขาของผมย่ำเดินอยู่ในวิชาชีพสื่อสารมวลชนอะไรหรอก ที่ทำให้ผมต้องปกป้องผลผลิตของมัน วงการนี้มีความฟอนเฟะทั้งในระดับตัวบุคคลและสถาบันเช่นเดียวกับวิชาชีพอื่นๆ หาได้สูงส่งกว่า หรือต่ำต้อยกว่า และไม่ใช่เพราะข่าวที่ผลิตกันออกมาทุกวันนี้คุณภาพเต็มล้นควรค่าแก่การเสพรับ

          ROLF DOBELLI เป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ จบปริญญาเอกด้านปรัชญา และเจ้าของหนังสือขายดี ‘The Art of Thinking Clearly’ เล่ม 1 และ 2 ทั้งสองเล่มได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว หนังสือดังกล่าวอธิบายอคติ และกับดักความคิดที่ทำให้มนุษย์ตกหลุมพรางตัวเอง ไม่สามารถพินิจพิจารณาสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผลเต็มที่

          มนุษย์สามารถมีเหตุผลอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกการตัดสินใจได้หรือ?

          ส่วน ‘STOP READING THE NEWS’ ในชื่อภาษาไทยว่า ‘มืดบอดเพราะอ่านข่าว’ เป็นผลงานของเขาที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2019 หัวใจของหนังสือเล่มนี้มีเพียงประการเดียวคือโน้มน้าวให้ผู้อ่านหยุดเสพข่าว พร้อมทั้งยกเหตุผลจำนวนมากมาสนับสนุน

          ROLF DOBELLI เริ่มด้วยการเล่าประสบการณ์ของเขาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น เขาอ่านข่าวเพื่อรับรู้ความเป็นไปของโลกอย่างกระหายใคร่รู้ ด้วยความเชื่อว่าสักวันเขาจะเป็นชายหนุ่มผู้เฉลียวฉลาดและรอบรู้ (ผมก็เคยเป็น) อาการเสพติดข่าวหนักหนาขึ้นตามอายุและเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาขึ้น เขาสมัครบริการข่าวนับไม่ถ้วน อ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เว็บไซต์ จดหมายข่าว สารพัดจะมี โชคดีที่เขารู้ตัวก่อน เขาสังเกตเห็นว่าเขาไม่มีสมาธิมากพอจะอ่านเนื้อหายาวๆ สมาธิแตกซ่าน ถ้าปล่อยปละละเลย มันอาจลุกลามเกินกว่าจะยอมรับได้ แล้วเขาก็ค่อยๆ อ่านข่าวน้อยลงๆ กระทั่งหยุดอ่านข่าวไปเลยในปี 2010

          ขนาดว่าชีวิตวัยหนุ่มของ ROLF DOBELLI เติบโตในช่วงที่อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดียยังไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันเท่าปัจจุบัน ยังทำให้เขาอาการหนักเพียงนั้น มิพักต้องพูดถึงยุคนี้ที่อาการโฟโมหรือ FOMO-Fear Of Missing Out หรืออาการกลัวตกกระแส กลัวพลาดเรื่องราว กลัวตกข่าว กลัวตกเทรนด์ กลายเป็นปัญหาสุขภาพจิต

          ROLF DOBELLI ให้คำจำกัดความข่าวว่า “ข้อมูลสั้นๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้” สำหรับคนในแวดวงวิชาชีพสื่อสารมวลชนย่อมไม่ใช่ความหมายที่ครอบคลุมเพียงพอ ถึงกระนั้น มิได้หมายความว่าข้อสังเกตของเขาผิด หลายเรื่องถูกต้องและจี้ลงไปที่แกนกลางปัญหาของวิชาชีพสื่อมวลชน

STOP READING THE NEWS

          ลองดูพาดหัวข่าวที่ผมยกมา

          “บุญกุศลยิ่งใหญ่! แม่เปิดใจลูกชายบริจาคอวัยวะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้ 7 คน”

          “อวสานไส้กรอกอีสาน สาวเจอแมลงวันตัวเบิ้ม”

          ถ้าว่ากันตามเหตุผลของ ROLF DOBELLI ต้องยอมรับว่าข่าวเหล่านี้เราไม่จำเป็นต้องรู้เลย บางชิ้นไม่มีคุณค่าพอเป็นข่าวด้วยซ้ำ บางชิ้นแม้ว่ามีนัย แต่ก็ไม่ได้สลักสำคัญสักเท่าไหร่ ขณะที่บางชิ้นก็ซ่อนซุกการกล่อมเกลามายาคติทางศีลธรรมชนิดเปิดเผย

          หรือข่าวประเภทสัตว์เลี้ยงสุดโปรดของดาราตาย เมียทิ้งผัวหลังถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ลูกหลานเศรษฐีใช้ชีวิตเรียบง่าย (แบบเศรษฐี) การเปลี่ยนผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเป็นเซเลบฯ การสร้าง Influencer จากความสวยหล่อ พฤติกรรม ความร่ำรวย ชาติตระกูล โดยที่ไม่มี Content อะไรเลย แต่ความไม่มี Content นั่นแหละกลายเป็น Content ฯลฯ

          ROLF DOBELLI เรียกว่า ‘ข่าวก่อให้เกิดชื่อเสียงกำมะลอ’ แทนที่จะใส่ใจกับเนื้อหาสาระ การทำงาน หรือคุณค่าที่แท้จริงของคน

          ผมขอยกตัวอย่างข้อเสียของการอ่านข่าวอีกสักหน่อย

          ‘ข่าวส่งเสริมอคติจากการรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว’ ในข่าวชิ้นหนึ่งไม่ว่าจะเป็นข่าวอุบัติเหตุธรรมดาหรือวิกฤตการเมืองระดับประเทศ มีเหตุปัจจัยซับซ้อนท่วมท้น ข่าวมีหน้าที่ให้หรือสร้างคำอธิบาย มันทำให้เรารู้สึกว่าสาเหตุช่างกระจ่างชัดเสียเหลือเกิน เราสามารถสาธยายได้เป็นฉากๆ ชนิดที่ว่าถ้าย้อนกลับไปแก้ไขสาเหตุเหล่านั้น ก็แก้ไขเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ อารมณ์เดียวกับอาการฉลาดหลังเหตุการณ์

          ความเป็นจริงคือ ข่าวไม่มีทางเสนอสาเหตุของเหตุการณ์หนึ่งๆ ได้ครบถ้วน ต่อให้ยืมปากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญก็ตาม ROLF DOBELLI บอกว่าข่าวเพียงแค่ให้คำอธิบายที่เรียบง่ายที่สุดหนึ่งหรือสองสาเหตุท่ามกลางปัจจัยเป็นหมื่นเป็นพัน แต่เพราะผู้อ่านชอบความเรียบง่ายจึงส่งผลให้การตัดสินใจจากข้อมูลที่ถูกย่อยจนง่ายดายมักผิดพลาด

          นำมาสู่ ‘ข่าวทำให้พายุแห่งความคิดเห็นก่อตัวขึ้นมาทันใด’ เราเห็นชัดในโลกโซเชียลมีเดีย ที่แค่อ่านพาดหัว ทุกคนก็ดูจะกลายเป็นผู้รู้ขึ้นมาทันที แสดงความคิดเห็น พิพากษา ตัดสินเหตุการณ์หรือบุคคลในข่าวโดยไม่ต้องคำนึงถึงบริบทความซับซ้อนใดๆ เป็นอาการมือลั่นที่พบได้บ่อย หลายครั้งลุกลามเป็นความขัดแย้งที่ไม่ควรต้องเกิด ผมเองก็เคยเป็น

          การพาดหัวข่าวจัดเป็นเทคนิคสำคัญของสำนักข่าวในการเพิ่มยอดคลิก เพิ่มยอดความคิดเห็น อย่างที่เรียกว่า คลิกเบต หรือการพาดหัวข่าวให้สอดคล้องกับวาระหรืออคติของสำนักข่าวที่แม้จะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน แค่บิดผันการใช้ถ้อยคำเล็กน้อยจากเรื่องดีก็เป็นร้าย เรื่องร้ายก็เป็นดีได้ ลักษณะนี้จะเห็นบ่อยในข่าวการเมือง

          ROLF DOBELLI จึงสนับสนุนให้ หยุดอ่านข่าว เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิต ซ้ำร้ายยังสร้างผลเสีย แต่เขาไม่ได้บอกให้ หยุดอ่าน นะครับ เขาเสนอให้เราหันไปอ่านหนังสือ ข่าวสืบสวนสอบสวน หรืองานเขียนเชิงอธิบายในประเด็นที่เราสนใจผ่านการค้นคว้าศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดี

          น่าเศร้าว่าสำนักข่าวส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน เพราะมันใช้ทรัพยากรสูงและไม่ตอบโจทย์ทางธุรกิจสื่อที่เน้นความเร็ว ความฉาบฉวย ความฉูดฉาด และยอดไลก์

          อย่างไรก็ตาม ผมมีความเชื่อว่าอาชีพสื่อจะมากหรือน้อยย่อมผูกพันกับเสรีภาพในการแสดงออกและการตรวจสอบอำนาจรัฐในระบอบประชาธิปไตย ทว่า ROLF DOBELLI เสนอว่าข่าวไม่มีความสำคัญใดๆ ต่อประชาธิปไตยและบางครั้งยังบ่อนทำลาย

          “ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าคุณภาพของวาทกรรมทางการเมืองตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับช่วงขาขึ้นของแวดวงข่าว…” ดูเหมือนว่า ROLF DOBELLI จะติดกับดักการสร้างคำอธิบายให้ง่ายเกินไป

           (ส่วนตัวผมกลับเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเราไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ใดๆ ได้ครอบคลุมทุกมิติหรอก)

          ผมมีมุมมองที่ประนีประนอมกว่า ROLF DOBELLI เราไม่จำเป็นต้องอ่านข่าวมากมาย ผมเองอ่านข่าวน้อยมาก (ถือเป็นบาปของคนในอาชีพนี้) ส่วนใหญ่อ่านเฉพาะพาดหัวเหมือนคนอื่นๆ แต่จะไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เลือกอ่านเนื้อข่าวเฉพาะประเด็นที่สนใจจริงๆ หรือต้องทำงานต่อในประเด็นนั้นซึ่งผมใช้วิธีค้นหาและอ่านภายหลัง

          ต่อให้เป็นประเด็นร้อนแรงแค่ไหนผมก็ไม่สนใจ ตัวกรองง่ายๆ คือถ้าไม่จำเป็นต้องรู้ก็ไม่จำเป็นต้องอ่าน ซึ่งตัวกรองชนิดนี้แตกต่างกันไปในแต่ละคน

          โลกปัจจุบันเราตัดตัวเองออกจากข่าวสารได้ยากมาก เว้นเสียแต่คุณจะตัดตัวเองออกจากเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด เนื่องจากปัจจุบันข่าวไม่ได้มาในรูปของรายงานโดยสื่อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาในรูปของโพสต์ที่ทำให้ทุกคนกลายเป็นสื่อ ไหนยังจะต้องห้ามคนรอบตัวไม่ให้พูดถึงข่าวด้วย

          ดังนั้น ประเด็นที่คนในแวดวงสื่อและนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนใส่ใจไม่ใช่การเสนอให้หยุดอ่านข่าว  แต่คือการสร้างการรู้เท่าทันสื่อหรือ Media Literacy สามารถวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความเห็น อคติหรือวาระที่สื่อต้องการเสนอ การตรวจสอบข้อมูล ฯลฯ และยังต้องรู้เท่าทันอคติหรือจุดยืนของตนด้วยเพราะมนุษย์เรามักเลือกเสพสื่อที่สอดคล้องกับความเชื่อ เพื่อตอกย้ำความเชื่อ และยืนยันว่าความเชื่อของตนถูกต้องสัมบูรณ์

          มีประเด็นหนึ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็น ต่อให้ข่าวไร้สาระเพียงใด หากครุ่นคิดให้ลึกลงไป มันมักเผยเรื่องราวหรือปัญหาที่ใหญ่โตกว่าเสมอ เช่น เราเห็นอิทธิพลความเชื่อทางศาสนาพุทธจากข่าว “บุญกุศลยิ่งใหญ่! แม่เปิดใจลูกชายบริจาคอวัยวะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้ 7 คน” หลายครั้งที่ความเชื่อทางศาสนาทั้งมีประโยชน์และบิดผันคุณค่าอื่นที่ควรเป็น หรือ “อวสานไส้กรอกอีสาน สาวเจอแมลงวันตัวเบิ้ม” ก็กำลังบอกมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร ความหละหลวมด้านการกำกับดูแลของรัฐ และอีกมากมายหลายข่าวที่เปิดเปลือยประเด็นความเหลื่อมล้ำแสนอัปลักษณ์ในสังคม

          ข่าวไร้สาระกำลังบ่งบอกความไร้สาระร่วมกันบางประการของสังคม

          ถึงที่สุดแล้ว ความไร้สาระร่วมกันบางอย่างของสังคมโดยตัวมันเอง คือเนื้อหาสาระที่ควรแก่การพิจารณา…มิใช่หรือ?

Tags: highlightMedia Literacyการรู้เท่าทันสื่อ

เรื่องโดย

185
VIEWS
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล เรื่อง

แอดมินเพจ WanderingBook และสื่อมวลชน

          เริ่มต้นอย่างนี้แล้วกัน ผมไม่เห็นด้วยกับ ROLF DOBELLI ว่าเราควรหยุดอ่านข่าวโดยสิ้นเชิง

          ไม่ใช่เพราะขาของผมย่ำเดินอยู่ในวิชาชีพสื่อสารมวลชนอะไรหรอก ที่ทำให้ผมต้องปกป้องผลผลิตของมัน วงการนี้มีความฟอนเฟะทั้งในระดับตัวบุคคลและสถาบันเช่นเดียวกับวิชาชีพอื่นๆ หาได้สูงส่งกว่า หรือต่ำต้อยกว่า และไม่ใช่เพราะข่าวที่ผลิตกันออกมาทุกวันนี้คุณภาพเต็มล้นควรค่าแก่การเสพรับ

          ROLF DOBELLI เป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ จบปริญญาเอกด้านปรัชญา และเจ้าของหนังสือขายดี ‘The Art of Thinking Clearly’ เล่ม 1 และ 2 ทั้งสองเล่มได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว หนังสือดังกล่าวอธิบายอคติ และกับดักความคิดที่ทำให้มนุษย์ตกหลุมพรางตัวเอง ไม่สามารถพินิจพิจารณาสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีเหตุผลเต็มที่

          มนุษย์สามารถมีเหตุผลอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกการตัดสินใจได้หรือ?

          ส่วน ‘STOP READING THE NEWS’ ในชื่อภาษาไทยว่า ‘มืดบอดเพราะอ่านข่าว’ เป็นผลงานของเขาที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2019 หัวใจของหนังสือเล่มนี้มีเพียงประการเดียวคือโน้มน้าวให้ผู้อ่านหยุดเสพข่าว พร้อมทั้งยกเหตุผลจำนวนมากมาสนับสนุน

          ROLF DOBELLI เริ่มด้วยการเล่าประสบการณ์ของเขาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น เขาอ่านข่าวเพื่อรับรู้ความเป็นไปของโลกอย่างกระหายใคร่รู้ ด้วยความเชื่อว่าสักวันเขาจะเป็นชายหนุ่มผู้เฉลียวฉลาดและรอบรู้ (ผมก็เคยเป็น) อาการเสพติดข่าวหนักหนาขึ้นตามอายุและเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาขึ้น เขาสมัครบริการข่าวนับไม่ถ้วน อ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เว็บไซต์ จดหมายข่าว สารพัดจะมี โชคดีที่เขารู้ตัวก่อน เขาสังเกตเห็นว่าเขาไม่มีสมาธิมากพอจะอ่านเนื้อหายาวๆ สมาธิแตกซ่าน ถ้าปล่อยปละละเลย มันอาจลุกลามเกินกว่าจะยอมรับได้ แล้วเขาก็ค่อยๆ อ่านข่าวน้อยลงๆ กระทั่งหยุดอ่านข่าวไปเลยในปี 2010

          ขนาดว่าชีวิตวัยหนุ่มของ ROLF DOBELLI เติบโตในช่วงที่อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดียยังไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันเท่าปัจจุบัน ยังทำให้เขาอาการหนักเพียงนั้น มิพักต้องพูดถึงยุคนี้ที่อาการโฟโมหรือ FOMO-Fear Of Missing Out หรืออาการกลัวตกกระแส กลัวพลาดเรื่องราว กลัวตกข่าว กลัวตกเทรนด์ กลายเป็นปัญหาสุขภาพจิต

          ROLF DOBELLI ให้คำจำกัดความข่าวว่า “ข้อมูลสั้นๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้” สำหรับคนในแวดวงวิชาชีพสื่อสารมวลชนย่อมไม่ใช่ความหมายที่ครอบคลุมเพียงพอ ถึงกระนั้น มิได้หมายความว่าข้อสังเกตของเขาผิด หลายเรื่องถูกต้องและจี้ลงไปที่แกนกลางปัญหาของวิชาชีพสื่อมวลชน

STOP READING THE NEWS

          ลองดูพาดหัวข่าวที่ผมยกมา

          “บุญกุศลยิ่งใหญ่! แม่เปิดใจลูกชายบริจาคอวัยวะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้ 7 คน”

          “อวสานไส้กรอกอีสาน สาวเจอแมลงวันตัวเบิ้ม”

          ถ้าว่ากันตามเหตุผลของ ROLF DOBELLI ต้องยอมรับว่าข่าวเหล่านี้เราไม่จำเป็นต้องรู้เลย บางชิ้นไม่มีคุณค่าพอเป็นข่าวด้วยซ้ำ บางชิ้นแม้ว่ามีนัย แต่ก็ไม่ได้สลักสำคัญสักเท่าไหร่ ขณะที่บางชิ้นก็ซ่อนซุกการกล่อมเกลามายาคติทางศีลธรรมชนิดเปิดเผย

          หรือข่าวประเภทสัตว์เลี้ยงสุดโปรดของดาราตาย เมียทิ้งผัวหลังถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ลูกหลานเศรษฐีใช้ชีวิตเรียบง่าย (แบบเศรษฐี) การเปลี่ยนผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเป็นเซเลบฯ การสร้าง Influencer จากความสวยหล่อ พฤติกรรม ความร่ำรวย ชาติตระกูล โดยที่ไม่มี Content อะไรเลย แต่ความไม่มี Content นั่นแหละกลายเป็น Content ฯลฯ

          ROLF DOBELLI เรียกว่า ‘ข่าวก่อให้เกิดชื่อเสียงกำมะลอ’ แทนที่จะใส่ใจกับเนื้อหาสาระ การทำงาน หรือคุณค่าที่แท้จริงของคน

          ผมขอยกตัวอย่างข้อเสียของการอ่านข่าวอีกสักหน่อย

          ‘ข่าวส่งเสริมอคติจากการรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว’ ในข่าวชิ้นหนึ่งไม่ว่าจะเป็นข่าวอุบัติเหตุธรรมดาหรือวิกฤตการเมืองระดับประเทศ มีเหตุปัจจัยซับซ้อนท่วมท้น ข่าวมีหน้าที่ให้หรือสร้างคำอธิบาย มันทำให้เรารู้สึกว่าสาเหตุช่างกระจ่างชัดเสียเหลือเกิน เราสามารถสาธยายได้เป็นฉากๆ ชนิดที่ว่าถ้าย้อนกลับไปแก้ไขสาเหตุเหล่านั้น ก็แก้ไขเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ อารมณ์เดียวกับอาการฉลาดหลังเหตุการณ์

          ความเป็นจริงคือ ข่าวไม่มีทางเสนอสาเหตุของเหตุการณ์หนึ่งๆ ได้ครบถ้วน ต่อให้ยืมปากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญก็ตาม ROLF DOBELLI บอกว่าข่าวเพียงแค่ให้คำอธิบายที่เรียบง่ายที่สุดหนึ่งหรือสองสาเหตุท่ามกลางปัจจัยเป็นหมื่นเป็นพัน แต่เพราะผู้อ่านชอบความเรียบง่ายจึงส่งผลให้การตัดสินใจจากข้อมูลที่ถูกย่อยจนง่ายดายมักผิดพลาด

          นำมาสู่ ‘ข่าวทำให้พายุแห่งความคิดเห็นก่อตัวขึ้นมาทันใด’ เราเห็นชัดในโลกโซเชียลมีเดีย ที่แค่อ่านพาดหัว ทุกคนก็ดูจะกลายเป็นผู้รู้ขึ้นมาทันที แสดงความคิดเห็น พิพากษา ตัดสินเหตุการณ์หรือบุคคลในข่าวโดยไม่ต้องคำนึงถึงบริบทความซับซ้อนใดๆ เป็นอาการมือลั่นที่พบได้บ่อย หลายครั้งลุกลามเป็นความขัดแย้งที่ไม่ควรต้องเกิด ผมเองก็เคยเป็น

          การพาดหัวข่าวจัดเป็นเทคนิคสำคัญของสำนักข่าวในการเพิ่มยอดคลิก เพิ่มยอดความคิดเห็น อย่างที่เรียกว่า คลิกเบต หรือการพาดหัวข่าวให้สอดคล้องกับวาระหรืออคติของสำนักข่าวที่แม้จะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน แค่บิดผันการใช้ถ้อยคำเล็กน้อยจากเรื่องดีก็เป็นร้าย เรื่องร้ายก็เป็นดีได้ ลักษณะนี้จะเห็นบ่อยในข่าวการเมือง

          ROLF DOBELLI จึงสนับสนุนให้ หยุดอ่านข่าว เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิต ซ้ำร้ายยังสร้างผลเสีย แต่เขาไม่ได้บอกให้ หยุดอ่าน นะครับ เขาเสนอให้เราหันไปอ่านหนังสือ ข่าวสืบสวนสอบสวน หรืองานเขียนเชิงอธิบายในประเด็นที่เราสนใจผ่านการค้นคว้าศึกษาข้อมูลมาเป็นอย่างดี

          น่าเศร้าว่าสำนักข่าวส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน เพราะมันใช้ทรัพยากรสูงและไม่ตอบโจทย์ทางธุรกิจสื่อที่เน้นความเร็ว ความฉาบฉวย ความฉูดฉาด และยอดไลก์

          อย่างไรก็ตาม ผมมีความเชื่อว่าอาชีพสื่อจะมากหรือน้อยย่อมผูกพันกับเสรีภาพในการแสดงออกและการตรวจสอบอำนาจรัฐในระบอบประชาธิปไตย ทว่า ROLF DOBELLI เสนอว่าข่าวไม่มีความสำคัญใดๆ ต่อประชาธิปไตยและบางครั้งยังบ่อนทำลาย

          “ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าคุณภาพของวาทกรรมทางการเมืองตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับช่วงขาขึ้นของแวดวงข่าว…” ดูเหมือนว่า ROLF DOBELLI จะติดกับดักการสร้างคำอธิบายให้ง่ายเกินไป

           (ส่วนตัวผมกลับเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเราไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ใดๆ ได้ครอบคลุมทุกมิติหรอก)

          ผมมีมุมมองที่ประนีประนอมกว่า ROLF DOBELLI เราไม่จำเป็นต้องอ่านข่าวมากมาย ผมเองอ่านข่าวน้อยมาก (ถือเป็นบาปของคนในอาชีพนี้) ส่วนใหญ่อ่านเฉพาะพาดหัวเหมือนคนอื่นๆ แต่จะไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เลือกอ่านเนื้อข่าวเฉพาะประเด็นที่สนใจจริงๆ หรือต้องทำงานต่อในประเด็นนั้นซึ่งผมใช้วิธีค้นหาและอ่านภายหลัง

          ต่อให้เป็นประเด็นร้อนแรงแค่ไหนผมก็ไม่สนใจ ตัวกรองง่ายๆ คือถ้าไม่จำเป็นต้องรู้ก็ไม่จำเป็นต้องอ่าน ซึ่งตัวกรองชนิดนี้แตกต่างกันไปในแต่ละคน

          โลกปัจจุบันเราตัดตัวเองออกจากข่าวสารได้ยากมาก เว้นเสียแต่คุณจะตัดตัวเองออกจากเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด เนื่องจากปัจจุบันข่าวไม่ได้มาในรูปของรายงานโดยสื่อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาในรูปของโพสต์ที่ทำให้ทุกคนกลายเป็นสื่อ ไหนยังจะต้องห้ามคนรอบตัวไม่ให้พูดถึงข่าวด้วย

          ดังนั้น ประเด็นที่คนในแวดวงสื่อและนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนใส่ใจไม่ใช่การเสนอให้หยุดอ่านข่าว  แต่คือการสร้างการรู้เท่าทันสื่อหรือ Media Literacy สามารถวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความเห็น อคติหรือวาระที่สื่อต้องการเสนอ การตรวจสอบข้อมูล ฯลฯ และยังต้องรู้เท่าทันอคติหรือจุดยืนของตนด้วยเพราะมนุษย์เรามักเลือกเสพสื่อที่สอดคล้องกับความเชื่อ เพื่อตอกย้ำความเชื่อ และยืนยันว่าความเชื่อของตนถูกต้องสัมบูรณ์

          มีประเด็นหนึ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็น ต่อให้ข่าวไร้สาระเพียงใด หากครุ่นคิดให้ลึกลงไป มันมักเผยเรื่องราวหรือปัญหาที่ใหญ่โตกว่าเสมอ เช่น เราเห็นอิทธิพลความเชื่อทางศาสนาพุทธจากข่าว “บุญกุศลยิ่งใหญ่! แม่เปิดใจลูกชายบริจาคอวัยวะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้ 7 คน” หลายครั้งที่ความเชื่อทางศาสนาทั้งมีประโยชน์และบิดผันคุณค่าอื่นที่ควรเป็น หรือ “อวสานไส้กรอกอีสาน สาวเจอแมลงวันตัวเบิ้ม” ก็กำลังบอกมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร ความหละหลวมด้านการกำกับดูแลของรัฐ และอีกมากมายหลายข่าวที่เปิดเปลือยประเด็นความเหลื่อมล้ำแสนอัปลักษณ์ในสังคม

          ข่าวไร้สาระกำลังบ่งบอกความไร้สาระร่วมกันบางประการของสังคม

          ถึงที่สุดแล้ว ความไร้สาระร่วมกันบางอย่างของสังคมโดยตัวมันเอง คือเนื้อหาสาระที่ควรแก่การพิจารณา…มิใช่หรือ?

Tags: highlightMedia Literacyการรู้เท่าทันสื่อ

กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล เรื่อง

แอดมินเพจ WanderingBook และสื่อมวลชน

Related Posts

‘ประวัติศาสตร์ซอมบี้ฯ’ เพราะฉันหิว ฉันจึงมีอยู่
Book of Commons

‘ประวัติศาสตร์ซอมบี้ฯ’ เพราะฉันหิว ฉันจึงมีอยู่

December 20, 2022
135
‘เปเรย์รายืนยัน’ ว่าเขาตายและเกิดใหม่อีกครั้ง
Book of Commons

‘เปเรย์รายืนยัน’ ว่าเขาตายและเกิดใหม่อีกครั้ง

November 15, 2022
667
ไกด์…ไม่ไร้สาระสู่อาหารโลก: กินอาหารหนึ่งจาน สะเทือนถึงเกษตรกร แรงงาน และอนาคตของอาหารโลก
Book of Commons

ไกด์…ไม่ไร้สาระสู่อาหารโลก: กินอาหารหนึ่งจาน สะเทือนถึงเกษตรกร แรงงาน และอนาคตของอาหารโลก

October 23, 2022
176

Related Posts

‘ประวัติศาสตร์ซอมบี้ฯ’ เพราะฉันหิว ฉันจึงมีอยู่
Book of Commons

‘ประวัติศาสตร์ซอมบี้ฯ’ เพราะฉันหิว ฉันจึงมีอยู่

December 20, 2022
135
‘เปเรย์รายืนยัน’ ว่าเขาตายและเกิดใหม่อีกครั้ง
Book of Commons

‘เปเรย์รายืนยัน’ ว่าเขาตายและเกิดใหม่อีกครั้ง

November 15, 2022
667
ไกด์…ไม่ไร้สาระสู่อาหารโลก: กินอาหารหนึ่งจาน สะเทือนถึงเกษตรกร แรงงาน และอนาคตของอาหารโลก
Book of Commons

ไกด์…ไม่ไร้สาระสู่อาหารโลก: กินอาหารหนึ่งจาน สะเทือนถึงเกษตรกร แรงงาน และอนาคตของอาหารโลก

October 23, 2022
176
ABOUT
SITE MAP
PRIVACY POLICY
CONTACT
Facebook-f
Youtube
Soundcloud
icon-tkpark

Copyright 2021 © All rights Reserved. by TK Park

  • READ
    • ALL
    • Common WORLD
    • Common VIEW
    • Common ROOM
    • Book of Commons
    • Common INFO
  • PODCAST
    • ALL
    • readWORLD
    • Coming to Talk
    • Read Around
    • WanderingBook
    • Knowledge Exchange
  • VIDEO
    • ALL
    • TK Forum
    • TK Common
    • TK Spark
  • UNCOMMON
    • ALL
    • Common ROOM
    • Common INFO
    • Common EXPERIENCE
    • Common SENSE

© 2021 The KOMMON by TK Park.

Welcome Back!

Login to your account below

Forgotten Password?

Retrieve your password

Please enter your username or email address to reset your password.

Log In

Add New Playlist

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่า อนุญาต
Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก
Privacy Preferences
https://www.thekommon.co/network/cache/breeze-minification/js/breeze_f4a3a93689e16209a2daa880b404507d.js