ในฐานะรุ่นที่ 2 แห่งร้านหนังสือดวงกมล หรือ D.K. Bookstore สมบูรณ์ สกุลสุทธวงศ์ น่าจะเป็นผู้บริหารดวงกมลรุ่นที่ยืนอยู่ตรงรอยต่อระหว่างการตายและการเกิด ความรุ่งโรจน์และล้มเหลว บาดแผลและการผ่าตัด
ร้านหนังสือดวงกมลยืนหยัดผ่านกาลเวลามายาวนาน ผ่านทั้งความรุ่งเรืองและตกต่ำ ปรับตัวไปกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม
ในยุคที่เศรษฐกิจประเทศรุ่งเรือง ศูนย์การค้าชั้นนำที่เปิดใหม่ต่างก็มาเชื้อเชิญให้ดวงกมลเข้าไปเปิดร้านหนังสือภายในศูนย์การค้า ร้านดวงกมลเคยขยายสาขามากถึงกว่า 100 แห่ง และสร้างประวัติศาสตร์ทำร้านหนังสือขนาดใหญ่เท่าสนามฟุตบอล จนกระทั่งเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ดวงกมลก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤติในคราวนั้น และกลายเป็นบริษัทล้มละลาย ก่อนที่จะฟื้นฟูและกลับมายืนหยัดใหม่อีกครั้ง
“ตอนนี้เรากำลังส่งต่อให้รุ่นที่ 3 แต่รุ่น 3 รู้สึกจะทำงานง่าย” สมบูรณ์ เล่าถึงช่วงการผลัดใบของดวงกมล แน่นอนว่าภูมิทัศน์ของวงการหนังสือในปัจจุบันไม่ได้เหมือนวันวานในขวบปีแรกที่ดวงกมลถือกำเนิด ปีนั้นเป็นปี 2516
“สุข สูงสว่าง เป็นผู้ก่อตั้ง D.K. Bookstore โดยมีผู้ร่วมชะตากรรมคือคุณพ่อของผม ลุง อา เรียกว่ารุ่นที่ 1 ส่วนรุ่นที่ 2 จะเป็นพวกลูกหลานและพี่น้องของคุณสุข ผมนี่ถือว่าเป็นรุ่นที่ 2 ส่วนรุ่นที่ 3 คือรุ่นลูกของผม พวกเราทั้ง 3 รุ่นก็ยังสามัคคีกันดีอยู่ ทำงานอยู่บนพื้นฐานของสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุด เราถือตามอาวุโส ร่ำรวยหรือจนไม่สำคัญ แต่ถ้าใครทำอะไรที่รู้สึกว่าผิดหูผิดตา ก็จะมีผู้ใหญ่หรือรุ่นซีเนียร์มาเตือน นี่เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ D.K. ยังอยู่ได้ถึงแม้ว่าจะมีสถานการณ์เลวร้ายรุนแรงผ่านเข้ามา
“คุณสุข เป็นคนแรกในครอบครัวที่จบเมืองนอก สาขาสื่อสารมวลชนหนังสือพิมพ์ แต่เขากลับมามือเปล่า คือปริญญาไม่ได้ แต่ได้ภรรยามากลับมาคนหนึ่ง เมียคุณสุขพยายามจะหาเงินช่วยครอบครัว ก็เลยเปิดสอนพิเศษ สอนภาษาอังกฤษ สอนภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน แต่ช่วงเปิดเทอมไม่มีคนมาเรียนพิเศษ เวลาว่างเยอะแกก็จะหาหนังสือมาอ่าน แกอ่านจนหมด ในที่สุดก็บอกคุณสุขว่า ไอเบื่อ เมืองไทยไม่มีหนังสือให้อ่าน คุณสุขเลยบอกว่าโอเคเดี๋ยวจัดการให้
“คุณสุขจัดการทำจดหมายโรเนียวส่งไปหาสำนักพิมพ์ในอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา เขียนว่าข้าพเจ้าเป็นคนไทยที่กรุงเทพฯ มีความสนใจอยากจะซื้อหนังสือของท่านเพื่อมาวางจำหน่าย แต่เจตนาจริงๆ คือต้องการหาหนังสือให้เมียอ่าน สมัยนั้นฝรั่งเปิดจดหมายดูก็งงว่ามีประเทศนี้ด้วยเหรอ แต่เชื่อไหมว่า 6 เดือนต่อมาก็มีหนังสือส่งมากองถึงที่บ้าน 5-6 ร้อยกล่อง” สมบูรณ์ เล่า
ร้านหนังสือดวงกมลตั้งต้นมาจากจุดนี้ หนังสือต่างประเทศที่ส่งเข้ามาถูกนำมาวางขายที่ห้องแถวเช่าเดือนละ 3,000 บาท ริมถนนสุขุมวิท ย่านที่มีชาวต่างประเทศพลุกพล่าน
“แฟนคุณสุขเป็นผู้จัดการร้าน คุณสุขก็เป็น Office Boy คอยกวาดคอยเช็ด ทำอย่างนี้อยู่ประมาณ 3 ปี จนกระทั่งมีการสร้างศูนย์การค้าที่สยามสแควร์ยุคแรก ทางศูนย์การค้าก็ชวน D.K. มาเปิดร้านขายหนังสือด้วย”
แต่ตอนนั้นยังไม่มีชื่อร้าน สุข สูงสว่าง จึงนึกถึงชื่อที่เพราะที่สุด ซึ่งมาจากชื่อรักแรกของเขา – เธอชื่อซิมลั้ง
“คุณสุขก็เอามาตีความเป็นภาษาไทยเป็นคำว่า ดวงกมล แล้วก็ใช้ชื่อย่อเป็น D.K.” สมบูรณ์ เผยที่มา
ในปีนั้น เป็นปีที่สังคมไทยกำลังตื่นตัวนำเข้าความคิดใหม่ๆ สมบูรณ์เล่าว่า ที่ร้านดวงกมลเป็นแหล่งพบปะสมาคมของนักอ่านที่มีแนวคิดค่อนไปทางสังคมนิยม มีบุคลิกแบบปัญญาชนฝ่ายซ้าย
“นักอ่านกลุ่มนี้จะมาอาศัยร้านดวงกมลเป็นที่นัดพบ มากันเต็มเลย”
ในมุมมองของสมบูรณ์ ช่วงประมาณสิบปีนับตั้งแต่ปี 2528 ร้านดวงกมลอยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด เพราะเศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยศูนย์การค้า และศูนย์การค้าต้องการร้านหนังสือเข้ามาตั้งในห้างเพื่อเป็นแม่เหล็กดึดดูดให้คนเข้ามาเดินห้าง ทำให้ร้านหนังสือดวงกมลสามารถขยายสาขาได้มากที่สุดถึง 107 สาขา
“ปีนั้นมีทั้ง มาบุญครอง ริเวอร์ซิตี้ พันธุ์ทิพย์พลาซ่า โรบินสันสีลม แถวเพชรบุรีก็มีซิตี้เซ็นเตอร์ ใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย ร้านหนังสือถือเป็นแม่เหล็กอันหนึ่งของศูนย์การค้า เหมือนตอนที่ร้านแมคโดนัลเข้ามาใหม่ๆ” สมบูรณ์ ย้อนเล่าถึงวันวานของความรุ่งเรือง
“เราขยายสาขาไปเรื่อยๆ จนได้ 100 กว่าสาขา วันหนึ่งก็คิดว่าทำไมต้องเดือดร้อนไปเปิดตั้งร้อยกว่าสาขา ถ้าเรามีสาขาใหญ่ที่ใหญ่กว่าร้านทั่วไป 100 เท่าล่ะ น่าจะดี ก็เลยเจรจากับทางซีคอนสแควร์ ขอเช่าพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร ธนาคารก็สนับสนุนปล่อยให้กู้ ภายหลังผมถึงมาเสียใจที่ไปกู้เงินมาเยอะ เพราะการไปเอาเงินเขามาเยอะๆ ทำให้เราเหนื่อย”
ร้านดวงกมล สาขาซีคอนสแควร์ มีพื้นที่ขนาดใหญ่เท่าสนามฟุตบอล น่าจะเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย แต่เปิดได้เพียงแค่ 6 เดือน สมบูรณ์ก็มองเห็นอนาคตว่าร้านขนาดใหญ่นี้ไม่น่าจะประสบความสำเร็จ และร้านดวงกมลอาจยืนระยะอยู่ต่อไปได้ไม่ถึง 1 ปี เพราะเงินเข้าไม่สมดุลกับเงินที่ไหลออก เขาจึงเริ่มมองหาที่ทางสำหรับเก็บหนังสือ เพราะมีหนังสือจำนวนมากที่ใช้วิธีซื้อขาด ไม่ใช่การฝากขาย
“เรารู้ว่าเวลาถอยมันยากกว่าตอนที่สร้าง ถ้าคุณเปิดร้านหนังสือ 5,000 ตารางเมตร เวลาคุณถอยคุณก็ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่เช่นกันสำหรับเอาหนังสือไปกองเป็นที่เก็บ”
ร้านดวงกมลถูกเชิญให้ออกจากพื้นที่เพราะไม่ได้จ่ายค่าเช่า หนังสือกว่า 2 ล้านเล่มถูกขนย้ายไปยังโกดังหนังสือที่เพิ่งสร้างเสร็จเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ที่อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์
แต่ชีวิตก็เหมือนการหนีเสือเพื่อมาสบตากับจระเข้ หลังออกจากพื้นที่ที่ซีคอนสแควร์ วิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่เรียกว่า ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’ ในปี 2540 ก็ทำให้สมบูรณ์ในฐานะผู้บริหารดวงกมล กลายเป็นบุคคลล้มละลาย เฉกเช่นเดียวกับผู้ประกอบการทั้งรายเล็กรายใหญ่ที่พึ่งพาเงินกู้จากธนาคาร
“ธุรกิจร้านหนังสือแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ใช้เงินพ่อเงินแม่ กับใช้เงินกู้จากธนาคาร ดวงกมลใช้เงินที่กู้เขามา ดังนั้นหนังสือของเราที่ทยอยไปเก็บไว้ที่พยุหะคีรีจึงนับเป็นทรัพย์ที่ต้องถูกยึด หนังสือในร้านที่อยู่ในห้างทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ก็ถูกธนาคารยึด”
“ถามว่าตอนแรกอายไหม ตอนแรกอายนะ แต่พอมันเกิดขึ้น กลับรู้สึกว่าทำไมมันง่ายอย่างนี้ คือเป็นบุคคลล้มละลาย 3 ปี แล้วจบกันไป”
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ทั้งที่ดูเหมือนว่าพายุร้ายได้พัดผ่านไปแล้ว แต่ผลพวงของหนี้สินจากวิกฤติในคราวนั้นยังเดินทางมาหาเขาอีกครั้งในปี 2560
“มันเป็นเรื่องที่ผูกพันกันมาตั้งแต่ตอนวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ศาลพึ่งจะมีคำสั่งออกมาในปี 60 ทางเจ้าหนี้เขาจะขอยึดตึกพร้อมกับหนังสือหลายล้านเล่มในโกดัง ผมบอกว่าคุณจะยึดหนังสือไปทำไม คุณไม่มีปัญญาบริหารหรอก เขาเลยบอกว่าถ้างั้นเอาแค่ตึกก็พอ จากนั้นไม่นานศาลก็สั่งให้ย้ายหนังสือทั้งหมดออกไปภายใน 30 วัน ถ้าไม่ดำเนินการย้ายของออก คุณก็มีโอกาสจะถูกจับคุมขัง
“ผมอายุ 70 แล้วจะให้ผมไปติดคุกตอนแก่ทำไม ผมเลยบอกลูกน้องให้ไปตามเถ้าแก่โรงหลอมกระดาษมาดูว่าเขาตีราคาให้กิโลละเท่าไหร่ มันมีหนังสืออยู่ทั้งหมด 12 ล้านเล่ม ผมให้คัดแล้วดึงออกมาได้ประมาณ 4 ล้านเล่ม เลือกเอาเฉพาะหนังสือดีๆ ที่เหลืออีก 8 ล้านเล่มปล่อยให้โรงหลอมกระดาษเอาไปจัดการ”
นี่คือเหตุการณ์ที่เป็นดราม่าในโลกโซเชียลมีเดียอยู่พักหนึ่งในเวลานั้น
ในส่วนของหนังสือสภาพดี 4 ล้านเล่มที่สมบูรณ์เก็บรักษาไว้ในวันที่โดนไล่ที่เมื่อปี 2560 จึงเป็นภารกิจส่งไม้ต่อให้กับทายาทรุ่นที่ 3 ซึ่งจะต้องช่วยกันคิดค้นกลยุทธ์ขายหนังสือในยุคที่ผู้คนอาจจะอ่านหนังสือกระดาษกันน้อยลง และธุรกิจร้านหนังสือไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนกับยุคที่ร้านดวงกมลถูกเชิญไปเปิดในศูนย์การค้าอีกต่อไปแล้ว แต่สมบูรณ์เชื่อว่าอย่างไรเสียก็ยังมีคนเปิดหนังสืออ่านและร้านหนังสือไม่มีวันล้มหายตายจาก
“รุ่นที่ 2 อย่างผมนี่เป็นรุ่นที่น่าเห็นใจที่สุด เราหาเงินกันทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าจะสบาย แต่รุ่นต่อไปจะสบาย เพราะเขาไม่ต้องหา เขาจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขาแล้ว”
“สำหรับผม เรื่องราวที่ผ่านมาผมได้วิธีคิดอย่างหนึ่งคือ ขอให้ใจเย็นและอดทนเวลาเผชิญกับปัญหา เพราะเวลาที่คุณมีปัญหา ไม่มีใครมาฆ่าคุณหรอก นอกจากคุณจะฆ่าตัวเองหรือไปแก้ปัญหาผิด เช่นถ้าคุณมีปัญหาหนี้สิน ก็เลยไปขายยาบ้า แบบนี้คุณก็ฆ่าตัวเอง คนในวงการธุรกิจหนังสือที่เขามีหนี้มีสิน ผมไม่เห็นตายกันสักคน สักประเดี๋ยวหนึ่งมันก็กลับฟื้นคืนขึ้นมาได้เอง”
บทความนี้ปรับปรุงจากการสัมภาษณ์ในรายการ Coming to Talk เผยแพร่ครั้งแรกทาง TK Podcast เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2562 ฟังบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่ https://www.thekommon.co/comingtotalk-ep19/