สฤณี อาชวานันทกุล ส่งต่อมุมมองเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อม ผ่านงานหนังสือ

910 views
6 mins
January 21, 2025

          ในแวดวงการเขียนการอ่านของประเทศไทย ชื่อของ สฤณี อาชวานันทกุล เป็นที่รู้จักมานานแล้ว กับหลากหลายบทบาท ทั้งนักเขียน นักแปล นักวิจัย และนักวิชาการอิสระ ที่มีผลงานมากมาย

          ด้วยความที่จบการศึกษาปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ และปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ เคยคลุกคลีอยู่ในแวดวงการเงินกว่า 8 ปี ทั้งในและต่างประเทศ มีประสบการณ์ร่วมในห้วงวิกฤตเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยในอดีต รวมถึงกระแสการชุมนุมทางการเมืองที่เริ่มก่อร่าง ประกอบกับความสนใจในการอ่านการเขียน ทำให้สฤณีมีจุดเริ่มต้นงานเขียนจากการ ‘เปิดบล็อก’ ซึ่งเป็นแหล่งรวมงานเขียนในยุคที่โซเชียลมีเดียยังไม่บูม โดยเฉพาะงานเขียนของเหล่านักวิชาการไทยที่สฤณีชอบตามอ่าน

          งานเขียนของสฤณีมุ่งไปที่ประเด็นธุรกิจการเมือง ผ่านมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ ก่อนที่การเปิดบล็อกจะนำพาเธอมาสู่การเป็นคอลัมนิสต์เขียนบทความประจำในสื่อต่างๆ อาทิ โอเพ่นออนไลน์, ประชาชาติธุรกิจ และ กรุงเทพธุรกิจ ก่อนขยายไปสู่การแปลหนังสือ และร่วมทำงานวิจัย

          เป็นการลากจุดเชื่อมต่อสู่ประตูบานใหม่ๆ โดยมีจุดเริ่มต้นจากการเขียนบล็อก

          นอกจากนี้สฤณียังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิ เครือข่ายอีกมากมาย รวมถึงสำนักพิมพ์ ซอลท์ ที่ตีพิมพ์งานด้านวิทยาศาสตร์ปรัชญา และบริษัท ป่าสาละ ที่ดำเนินโครงการวิจัยสาธารณะ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน

          ปัจจุบัน บทบาทและผลงานของสฤณีที่หลากหลายมีส่วนเปิดพรมแดนแวดวงการอ่านของไทยอย่างมาก โดยเฉพาะการนำความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ มาจับกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ทำให้ประเด็นที่หลายคนมองว่า ‘เป็นเรื่องหนัก’ และ ‘ไกลตัว’ สามารถจับต้องได้มากขึ้น

สฤณี อาชวานันทกุล ส่งต่อมุมมองเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อม ผ่านงานหนังสือ

ทำไมคุณสนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์กระทั่งเลือกเรียนต่อปริญญาตรีด้านนี้ที่ต่างประเทศ

          ความจริงเราสนใจเรื่องปรัชญามาตั้งแต่ ม.ปลาย พอเข้ามหาวิทยาลัยที่ฮาร์วาร์ด ก็ยังสนใจและได้ไปลงเรียนวิชาปรัชญา ทีนี้มีเพื่อนมาสะกิดว่า เรียนจบกลับไปจะทำอะไร เพราะหากดูเส้นทางโดยตรงก็คงกลับมาเป็นอาจารย์สอนปรัชญา เพราะคิดตั้งแต่เรียนว่าจะกลับมาทำงานเมืองไทย เรามานั่งคิดว่าปรัชญาเป็นรากฐานที่ดีมาก แต่ในแง่อาชีพมันจำกัด จึงไปลงเลือกเอกวิชาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเราคิดว่ามันคือปรัชญาประยุกต์ 

          วิชาเศรษฐศาสตร์มีหลักๆ สองอย่างคือ เศรษฐศาสตร์มหภาคกับเศรษฐศาสตร์จุลภาค เศรษฐศาสตร์มหภาคจะพูดถึงภาพใหญ่ เช่น ระบบเศรษฐกิจระดับชาติ อัตราเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย แต่เศรษฐศาสตร์จุลภาคจะพูดในกรอบที่เล็กกว่า คือเรื่องอุตสาหกรรม พฤติกรรมของบริษัท ของผู้บริโภค เศรษฐศาสตร์จุลภาคมีฐานคิด หรือสมมติฐานที่มาจากปรัชญาเยอะ เช่น สมมติฐานว่ามนุษย์มีเหตุมีผล เราเลยสนใจวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาค เพราะชอบการนำสมมติฐานต่างๆ เกี่ยวกับระดับความมีเหตุมีผล หรือไม่มีเหตุมีผล ไปใช้ในโลกจริง 

หลังเรียนจบคุณกลับมาทำงานในเมืองไทย บรรยากาศตอนนั้นเป็นอย่างไร

          เรากลับมาทำงานในธนาคารที่เมืองไทยปี 1996 ช่วงที่ทำงาน คือช่วงที่ได้เห็นเศรษฐกิจที่เหมือนฟ้ากับดิน เพราะเป็นจุดสุดยอดของฟองสบู่ มันคือปีสุดท้ายก่อนฟองสบู่แตก ดังนั้นช่วงหนึ่งปีเศษๆ ระหว่างเริ่มทำงาน ก็จะได้เห็นทั้งภาวะที่ทุกอย่างไปได้ดี มีลูกค้ามานำเสนอโปรเจกต์ให้ธนาคาร ได้ประสบการณ์แบบหนึ่ง แต่พอลอยตัวค่าเงินบาทตอนปี 1997 ช่วงเวลาหลังจากนั้นหนึ่งปีกลายเป็นเหวเลย มันเป็นภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรง หลายบริษัทต้องปิดตัว ธนาคารก็ต้องไปยึดหลักประกันมา มีการฟ้องร้องขึ้นศาล เราคิดว่าในแง่ประสบการณ์ชีวิตก็ได้เห็นทั้งขาขึ้นและขาลง

          พออยู่กับวิกฤตเศรษฐกิจมาปีเศษ มันก็เป็นภาวะที่หดหู่ จากที่เคยคิดว่าจะทำงานสักสามสี่ปีก่อนที่จะไปเรียนต่อบริหารธุรกิจ ก็ไปเรียนต่อบริหารธุรกิจเอกการเงินที่นิวยอร์กเลยในปี 1998 และจบปริญญาโทปี 2000 พอดี หลังจากนั้นก็ไปทำงานที่ฮ่องกงประมาณเกือบสามปี และตัดสินใจกลับไทยตอนปี 2003 เพราะถึงที่สุดแล้วก็คิดตลอดเวลาว่าอยากทำงานที่ไทย พอกลับมาก็อยู่ตำแหน่งวาณิชธนกิจที่บริษัทหลักทรัพย์ และก็ย้ายไปอยู่ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร

จุดเริ่มต้นในแวดวงการเขียนของคุณเป็นอย่างไร

          ช่วงปี 2003 เริ่มมีกระแสการชุมนุมพันธมิตรฯ โดยเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรของ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่สวนลุม ซึ่งบังเอิญอยู่ติดกับบริษัทพอดี เราก็เดินไปฟัง รู้สึกสนุกดี เขาพูดเรื่องธุรกิจเยอะ เช่น เรื่องดีลซื้อหุ้นชินคอร์ป ซึ่งเรารู้สึกว่าที่พูดกันอยู่ก็มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป๊ะ จึงไปเขียนบทความลงบล็อกของตัวเองชื่อ คนชายขอบ ตอนนั้นสนใจประเด็นเรื่องของธุรกิจการเมือง หลังจากนั้นสักพักอาจารย์ปกป้อง จันวิทย์ ก็เชิญไปเขียนคอลัมน์ โอเพ่นออนไลน์ พอเราเริ่มเขียนประเด็นเศรษฐกิจ ก็ได้เป็นคอลัมนิสต์เพิ่มในประชาชาติธุรกิจ และกรุงเทพธุรกิจ หลังจากนั้น อาจารย์สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ก็ชวนมาทำวิจัยเรื่องการใช้นอมินีในตลาดหลักทรัพย์ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของงานในฝั่งวิจัย ที่เรามองว่ามีจุดร่วมกับงานเขียน ถ้าเขียนเชิงสารคดีคือใช้ข้อเท็จจริง แต่ถ้าเป็นงานวิจัยก็ต้องมีกรอบ มีโจทย์ มีคำถามตั้งต้นที่ชัดมากว่าจะไปหาคำตอบเรื่องอะไร

          ตอนนั้น คุณพลอยแสง เอกญาติ บ.ก.สำนักพิมพ์ มติชน ที่ได้อ่านคอลัมน์ที่เราเขียนถึง อาจารย์มูฮัมหมัด ยูนุส (Muhammad Yunus) นักเศรษฐศาสตร์ที่ทำเรื่องธนาคารคนจน เพิ่งซื้อหนังสืออาจารย์ยูนุสมา ชื่อ Banker to the Poor ก็ติดต่อให้เราแปลหนังสือเล่มนี้ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของงานแปล

          เพราะฉะนั้นงานเขียนก็นำไปสู่งานวิจัย และก็นำไปสู่งานแปล เหมือนกับทุกอย่างเป็นการต่อจุดมาจากการเปิดบล็อกของเรา

สฤณี อาชวานันทกุล ส่งต่อมุมมองเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อม ผ่านงานหนังสือ

งานเขียนของคุณมีความแตกต่างอย่างไรในตอนนั้น

          ตอนนั้นเรามีงานประจำเป็นนักการเงิน จึงคิดว่าควรเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่เราสนใจ แล้วเรื่องที่เราเขียนก็ยังไม่ค่อยมีใครเขียน เช่น เรื่องตลาดหุ้นก็มีคอลัมน์ตลาดหุ้น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการเขียนเชียร์ ตัวไหนดีหรือไม่ดี ซึ่งเราไม่ได้สนใจ แต่อยากเขียนเรื่องธรรมาภิบาล เรื่องโครงสร้างตลาดหุ้น เรื่องความไม่ชอบมาพากล แล้วผลพวงส่วนหนึ่งก็จากกระแสการชุมนุมช่วงนั้นด้วย 

          ประมาณช่วงปี 2015-2016 เราก็ทำทั้งงานเขียน งานแปล งานวิจัย และงานประจำที่บริษัท investment banking มันเป็นงานบริการให้คำปรึกษา ซึ่งบางทีลูกค้าก็มาปรึกษาเสาร์อาทิตย์ พอทำมาประมาณเกือบปี ก็รู้สึกมันยากที่ทำงานเขียน งานแปล วิจัย ควบคู่ไปกับงานประจำ ก็เลยลาออก ฉะนั้น ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมาก็ถือว่าเราเป็นฟรีแลนซ์

          แต่เนื่องจากก็ยังสนใจวงการธนาคาร การเงิน หลักทรัพย์ ที่เราเคยอยู่ ก็เลยชอบที่จะเขียนถึง หรือทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับข้างนั้นอยู่ เช่น ตอนนี้พอมาตั้งบริษัทป่าสาละ มีงานวิจัยหลักที่ทำมาตั้งแต่ต้นคือ การเงินที่ยั่งยืน ตอนนี้ก็งอกมาเป็นโครงการชื่อ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย รวมถึงมีการชวนเอ็นจีโอไทยที่คิดว่าสนใจผลักดันธนาคารที่ยั่งยืนมาร่วม

คุณมองว่าเรื่องเศรษฐศาสตร์กับธุรกิจ สัมพันธ์กันอย่างไรในเชิงโครงสร้าง

          เศรษฐศาสตร์กับการเงินสัมพันธ์กันอยู่แล้วโดยปริยาย อย่างที่เราเล่าว่าเศรษฐศาสตร์จุลภาค คือการศึกษาเรื่องธุรกิจโดยตรง เพียงแต่ว่าศึกษาในระดับโครงสร้างอุตสาหกรรม ตัวทฤษฎีและข้อค้นพบหลายอย่างในเศรษฐศาสตร์จุลภาคเป็นเรื่องพฤติกรรมของผู้ประกอบการ ฉะนั้น เศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะจุลภาค มันเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับธุรกิจ โครงสร้างอุตสาหกรรมอยู่แล้ว

          ส่วนหนึ่งที่เราสนใจ เป็นเพราะการอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นนิสัยที่ต้องขอบคุณคุณน้าของเราที่เป็นนักประวัติศาสตร์ สมัยก่อนเขาจะให้ของขวัญเป็นหนังสือที่เขาเลือกแล้วว่าเหมาะกับเรา เช่น วรรณกรรม เราเลยซึมซับการอ่านมาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับตอนไปเรียนที่อเมริกานิสัยนี้ก็ยังอยู่ มันมีหนังสือที่เราสังเกตว่าพูดถึงระบบเศรษฐกิจ แต่ก็มีความพยายามที่จะนำเสนอว่าระบบเศรษฐกิจกระแสหลักมีปัญหาตรงไหน หรือแรงจูงใจของผู้เล่น จะทำอย่างไรให้เป็นไปในทางที่สอดคล้องกับประโยชน์สาธารณะมากขึ้น ดังนั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณหนังสือต่างๆ ที่ได้อ่าน ที่เป็นการเปิดมุมมองให้เรา

          อีกเรื่องคือ ตอนที่เราทำงานประจำในภาคการเงินและเริ่มเขียนบล็อก เราตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ใช้ข้อมูลภายในเลย แต่จะใช้แค่ข้อมูลสาธารณะเท่านั้น แน่นอนว่าก็มีเรื่องที่เขียนไม่ได้ เป็นความลับของลูกค้า เราก็ต้องเคารพ แต่พอมาเป็นฟรีแลนซ์และไม่ได้มีสังกัด ส่วนตัวก็รู้สึกว่าเราควรใช้ความเป็นอิสระในการเขียนถึงสิ่งที่สนใจแบบตรงไปตรงมามากกว่าเดิม ความเป็นอิสระนี้ก็สอดรับกับเรื่องที่เราสนใจ คือเรื่องเกี่ยวกับประเด็นธุรกิจที่ยั่งยืน เรื่องเกี่ยวกับปัญหาการผูกขาด 

คุณทำงานแปลค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะงานแปลของนักเขียนระดับโลก คุณมีเกณฑ์ในการเลือกหนังสือมาแปลอย่างไร

          ส่วนตัวในฐานะหนอนหนังสือ รู้สึกว่ามันเป็นเครื่องมือเปิดโลกอย่างหนึ่งที่ต้นทุนต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับเครื่องมืออื่นๆ และความรู้ที่เราจะได้ รวมถึงโลกทัศน์ใหม่ๆ เวลาอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิยายหรือสารคดี หนังสือที่ดีจะให้มุมมองที่ไม่เหมือนเดิมกับเรา หรือถ้าเป็นนิยายดีๆ ก็ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นที่ไม่เหมือนกับเรามากขึ้น ฉะนั้นหนังสือมีประโยชน์ ทีนี้เวลาจะเลือกหนังสือแปล อย่างแรกคือ ต้องเป็นหนังสือที่เราชอบ อย่างที่สอง เนื่องจากแต่ละปีเรามีเวลาจำกัด จึงพยายามจะเลือกหนังสือที่มอบโลกทัศน์ หรือฐานความรู้บางอย่างที่น่าจะยืนพื้นไปได้อีกระยะหนึ่ง คือไม่ล้าสมัยเร็ว และมีบางส่วนในนั้นที่ยังเป็นประโยชน์อยู่เสมอ เช่น หนังสือเล่มแรกที่แปลอย่าง Banker to the Poor เป็นเรื่องราวของการก่อตั้งธนาคารเพื่อคนจน แต่อ่านหนังสือเล่มนี้วันนี้ก็ยังได้ข้อคิดอยู่ เพียงแต่ว่าตัวเลขในเล่มอาจจะล้าสมัย แต่เรื่องของข้อคิด แง่คิด เรื่องความเข้าใจผิดอะไรต่างๆ ยังมีประโยชน์และน่าสนใจอยู่ 

ในฐานะที่ทำงานเขียนเยอะ คุณมองว่าการส่งต่อความรู้ผ่านงานเขียนให้กับคนอ่านมีความสำคัญอย่างไร 

          ส่วนตัวอาจจะไม่เคยมองงานเขียนในแง่ที่เป็นเป้าหมายขนาดนั้น แต่เราเขียนเพราะว่า เรื่องนี้น่าสนใจ หรืออยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ด้วย เราอาจจะโชคดีที่แทบไม่เคยต้องเขียนเรื่องที่ไม่สนใจ อย่างที่บอกว่างานเขียนของเรามาจากการที่ได้เลือกเอง เช่น เราเลือกที่จะเปิดบล็อกตั้งแต่ต้น คนที่มาทาบทามให้ไปเขียนคอลัมน์ก็ให้อิสระ ช่วงที่เริ่มเข้าสู่วงการการแปล คุณพลอยแสงก็เสนอหนังสือที่คิดว่าเราน่าจะสนใจหรือเกี่ยวกับเรื่องที่เราเคยเขียน มันจึงเหมือนเป็นการตอบสนองความคิดง่ายๆ ที่เราสนใจอยากให้คนอื่นรู้เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้คิดว่ามันเป็นความรู้ที่ควรมี หรืออะไรขนาดนั้น

สฤณี อาชวานันทกุล ส่งต่อมุมมองเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อม ผ่านงานหนังสือ

การมาเปิดบริษัทป่าสาละที่ทำเรื่องงานวิจัย กับแนวคิดด้านธุรกิจที่ยั่งยืนหรือสิ่งแวดล้อม ทำไมจึงสนใจเรื่องนี้

          เป้าหมายตั้งแต่ต้นคือเราอยากจะทำ 3 เรื่อง คือเรื่องคอร์รัปชันภาครัฐ เรื่องคอร์รัปชันภาคเอกชน ที่ควรมีการสืบสวน และเรื่องความยั่งยืน โดยเฉพาะเรื่องความยั่งยืนเป็นความสนใจร่วมกันของกลุ่มผู้ก่อตั้ง ถ้าพูดถึงความยั่งยืน สิ่งแรกที่เราเห็นคือ ความไม่ยั่งยืนหรือปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหามลพิษ เราก็มองว่า ถ้าจะให้นักข่าวไปทำเรื่องเหล่านี้มันยาก เพราะหลายเรื่องใช้เวลานาน ต้องใช้ทรัพยากร ต้องใช้เครื่องมือในทางวิจัย เราเห็นว่าตรงนี้เป็นช่องว่าง จึงตั้งบริษัทป่าสาละขึ้นมาเป็นบริษัทวิจัยที่จะมาเติมช่องว่างตรงนี้ เพราะคิดว่าสุดท้ายมันมีปัญหามากเกินไปที่ลำพังเครื่องมือของนักข่าว หรือการทำข่าวอย่างเดียวตอบโจทย์ได้แค่บางส่วน

          ป่าสาละทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และไม่ได้มีเจตนาจะไปนำเสนอรัฐบาลว่า ควรมีนโยบายเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราตั้งใจที่จะทำวิจัยเฉพาะในระดับอุตสาหกรรม ระดับของภาคธุรกิจ และอาจจะลงมาถึงระดับบริษัท ในประเด็นที่มองว่าสำคัญในเรื่องของความยั่งยืน 

หลายเรื่องที่คุณทำเกี่ยวกับความยั่งยืน มีการพูดถึงประเด็นสิ่งแวดล้อมด้วย คุณมองว่าในมุมหนึ่งเป็นการนำเรื่องสิ่งแวดล้อมมาพูดในเชิงงานวิจัย เพื่อให้คนอ่านได้เห็นผลกระทบและรู้สึกใกล้ตัวขึ้นไหม

          หากถามว่า เป้าหมายในการทำงาน คือการดึงเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ใกล้ตัวคนหรือไม่ ไม่ใช่ งานวิจัยเราทำเพื่อตอบโจทย์วิจัยที่ชัดเจน เพียงแต่ในความเป็นจริง สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สำคัญกับมนุษย์อย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่น่าน ถ้าเกิดการเผาป่าเยอะๆ เพื่อเตรียมพื้นที่ ไม่ว่าจะน่าน พม่า หรือที่ไหนก็แล้วแต่ มันส่งผลต่อสุขภาพของคนในเชียงใหม่ การตัดไม้ทำลายป่าที่ไหนก็เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดน้ำท่วม เพราะฉะนั้นการทำลายสิ่งแวดล้อมมันมีความเชื่อมโยงกับมนุษย์อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรารู้บ้างไม่รู้บ้าง 

          ประเด็นคือ ป่าสาละไม่ใช่บริษัทที่ทำสื่อ งานหลักคือทำวิจัย ตอบโจทย์วิจัย เพียงแต่ว่าประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือในรอบหลายปีที่ผ่านมา คนที่เป็นแหล่งทุนที่ให้ทุนทำวิจัยมักจะสนใจกระบวนการเผยแพร่ผลการวิจัย เช่น เวลาเราไปขอทุน เขาก็จะถามมาว่า คุณมีเตรียมงบไว้สำหรับการทำสื่อเผยแพร่ไหม เราคิดว่าก็เป็นทิศทางที่น่าสนใจ เหมือนให้เราในฐานะทีมวิจัยไปเชื่อมต่อกับคนส่วนใหญ่ ก็ต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อมาช่วยเผยแพร่ผลการวิจัย ซึ่งเราคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี 

          ส่วนตัวเวลาเขียนเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เราคิดว่าใครก็ตามควรจะอ่านรู้เรื่อง เหมือนเป็นเป้าหมายที่นักเขียนควรจะมี การเขียนงานที่ไปตีพิมพ์ในสื่อ นั่นหมายถึงคุณไม่ได้เขียนไว้อ่านเอง งานวิจัยส่วนใหญ่ของป่าสาละก็พยายามจะให้เป็นงานวิจัยสาธารณะ แปลว่าใครก็สามารถมาอ่านได้ ดังนั้นก็ควรเขียนให้ใครก็ได้เข้าใจ ต่อให้มันเป็นเรื่องเทคนิคก็ควรต้องสามารถอธิบายได้ 

คุณเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสำนักพิมพ์ซอลท์ ที่ตีพิมพ์งานเชิงวิทยาศาสตร์ ปรัชญาด้วย ถือเป็นการต่อยอด หรือมีเป้าหมายเหมือนกับการส่งเสริมความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ หรือธุรกิจด้วยไหม

          แรกสุดสิ่งที่สำนักพิมพ์ซอลท์พยายามเน้นคือ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และเทคโนโลยี แต่ตอนนี้มันไปหลายแขนงแล้ว บางคนมองเข้ามาอาจจะรู้สึกว่า ทำไมเราทำหลายอย่าง เราอยากบอกว่าในความรู้สึกตัวเองมันไม่ได้ทำหลายอย่าง เพราะว่า input หรือขอบเขตของเรื่องที่สนใจ ก็คือเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่า output ออกไปหลายทาง สมมติว่าเราสนใจเรื่องปรัชญาและการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือเรื่องธุรกิจ บางส่วนก็ไปออกเป็นบทความ บางส่วนก็เป็นโครงการวิจัย บางส่วนก็ออกมาเป็นหนังสือแปล ทั้งหมดคือจุดร่วมที่เราสนใจ

จากหลายบทบาทในแวดวงการเขียน หรือการวิจัย อะไรคือตัวชี้วัดว่าสิ่งที่คุณทำส่งผลต่อคนที่ได้อ่านงานของคุณ โดยเฉพาะผู้ที่สนใจในความรู้ที่คุณส่งต่อ

          เราไม่ได้สนใจหาตัวชี้วัดเลย เราเขียน หรือแปลเรื่องอะไรก็เพราะเรื่องนั้นมันสนุก น่าสนใจ หรือสำคัญ และอยากให้คนอื่นรับรู้เท่านั้นเอง แต่แน่นอนว่าในแง่นักเขียน ถ้าหนังสือที่เราเขียนขายดี หรือมีคนอ่านเยอะก็เป็นเรื่องดี มันก็ทำให้เรารู้ว่า มีคนสนใจเรื่องนี้เยอะ ก็อาจจะเป็นตัวชี้วัดหยาบๆ ได้ แต่ไม่เคยตั้งเป้าหมายว่าต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่หากเป็นงานวิจัย มันก็มีเป้าหมายและตัวชี้วัดตามโจทย์วิจัยที่ต้องกำหนดอยู่แล้ว

สฤณี อาชวานันทกุล ส่งต่อมุมมองเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อม ผ่านงานหนังสือ


เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือ ‘Readtopia 2 ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศการอ่านของไทย’ (2567)

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก