แดดเปรี้ยง ณ ใจกลางกรุงเทพฯ บรรณาธิการผู้ก่อตั้ง สำนักพิมพ์ อ่าน ๑๐๑ สุริยกานต์ พรมมงคล หรือที่ผู้อ่านเรียกกันว่า บ.ก.ดอยล์ ได้ให้โอกาสมาพูดคุยกัน แม้เขาจะออกตัวว่าพูดไม่เก่ง แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ในการส่งต่อผลงานดีๆ มาสร้างสีสันให้แก่พื้นที่วรรณกรรม
สำนักพิมพ์แห่งนี้ แม้จะเพิ่งเปิดตัวได้เพียงไม่กี่ปี แต่ก็ได้เข้ามาเพิ่มความหลากหลายให้แก่ระบบนิเวศการอ่านในเมืองไทย ด้วยรูปเล่มแปลกตาทันสมัยถูกใจนักอ่านจำนวนมาก อาทิ สิทธารถะ (Siddhartha) แวร์เธ่อร์ระทม (Die Leiden des jungen Werther) หรือ ประตูแคบ (La Porte étroite) ชื่อเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวรรณกรรมคลาสสิก ซึ่งท้าทายทั้งการแปลและการตีความ
“เหตุผลที่ใช้ชื่อ ‘อ่านร้อยเอ็ด’ เพราะว่าร้อยเอ็ดเป็นบ้านเกิดของตัวเอง และคำว่า ‘๑๐๑’ ตีความในแง่การอ่านเบื้องต้นได้ด้วย หรือแปลว่าอ่านแบบเกินร้อย เกินร้อยเล่ม สำนักพิมพ์ตั้งเป้าว่าถ้าจะให้อยู่รอดต้องทำให้เกินร้อยเล่ม” สุริยกานต์ยิ้มอารมณ์ดีเมื่อเล่าถึงที่มาของชื่อสำนักพิมพ์

ความทรงจำเกี่ยวกับวรรณกรรมคลาสสิกตรงไหนที่ตรึงใจคุณเป็นพิเศษ
วรรณกรรมคลาสสิกในมุมของผมคือความท้าทาย ท้าทายที่จะทำความเข้าใจ ขบคิด ตีความเนื้อหาของแต่ละเรื่อง ภูมิหลังผมเป็นคนต่างจังหวัดที่ขาดแคลนหนังสือ เพิ่งมาเริ่มอ่านวรรณกรรมตอนเรียนปริญญาตรี ก็รู้สึกชอบเพราะว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในตัวเรื่องเยอะ ส่วนใหญ่เรื่องที่ชอบเป็นเรื่องที่อ่านครั้งแรกแล้วไม่เข้าใจ ผู้อ่านต้องมีทักษะระดับหนึ่ง เล่มแรกที่ชอบ เราจะสงสัยว่ามันคืออะไร ไม่ค่อยเข้าใจ ติดค้างอยู่ในความรู้สึก แล้วจะพยายามกลับมาอ่านให้เข้าถึงให้ได้
ยกตัวอย่างเล่ม หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว เป็นหนังสือปกแข็ง ที่สะดุดใจคือชื่อเล่มมันเท่จัง เห็นแล้วก็ชอบเลยยืมมาอ่านที่หอพัก แต่อ่านไม่รู้เรื่องเลย ตอนนั้นเราไม่รู้จักว่าวรรณกรรมแนว Magical Realism มันประมาณไหน อ่านไปได้แค่ 50 หน้าก็ต้องเอาไปคืน มันจึงคาใจว่าต้องกลับมาอ่านใหม่
เมื่อได้กลับมาอ่านอีกครั้งในฐานะบรรณาธิการ ความรู้สึกเปลี่ยนไปบ้างไหม
ก็คิดว่าเข้าใจมากขึ้น พอเรียนจบทำงาน ผมซื้อหนังสือเล่มนี้กลับมาอ่านอีกครั้ง ใช้เวลาพอสมควร อ่านจบก็รู้เรื่องประมาณหนึ่ง บวกกับได้อ่านบทความเกี่ยวกับ Magical Realism ก็เห็นอะไรมากขึ้น มันเกี่ยวกับวัยวุฒิด้วย การเป็นเด็กต่างจังหวัดทำให้ทักษะการอ่านของเราน้อยเป็นทุนเดิม เสน่ห์ของวรรณกรรมคลาสสิกคือมันจะติดอยู่กับเรา ชวนให้เรากลับมาอ่าน
พูดถึงโอกาสการอ่านหนังสือของเด็กร้อยเอ็ดวันนั้นกับวันนี้ต่างกันแค่ไหน
ดีขึ้นหน่อย แต่มันก็ผ่านเวลามาหลายสิบปี ถือว่าพัฒนาช้านะ โรงเรียนในต่างจังหวัดยังขาดแคลนหนังสืออยู่ สมัยผมเป็นเด็ก ในห้องสมุดจะมีหนังสือปกแข็งตั้งอยู่ในตู้ที่ล็อกกุญแจ ปัจจุบันก็ยังไม่ค่อยมีห้องสมุดที่สมบูรณ์ เรายังเห็นครูโรงเรียนต่างๆ มาขอรับบริจาคหนังสือไปเข้าห้องสมุดโรงเรียน ทุกวันนี้ยังเป็นลักษณะนั้นอยู่ ห้องสมุดไม่เอื้อต่อการอ่านเท่าที่ควร งบประมาณมันน้อยและได้มาช้า
เราเป็นคนตัวเล็กๆ เป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ ก็จะส่งหนังสือที่พิมพ์ไปให้สถาบันการศึกษาเดิมของตัวเอง อย่างเล่ม เจ้าชายน้อย ก็จะส่งให้ที่โรงเรียนมัธยม เราทำโครงการกับผู้อ่านว่าถ้าผู้อ่านซื้อหนึ่งเล่ม เราจะสมทบให้ห้องสมุดอีกหนึ่งเล่ม
เจ้าชายน้อยวรรณกรรมในดวงใจ เราก็อยากมีส่วนร่วมในวรรณกรรมที่เราชอบ เล่มนี้มีคนแปลไว้แล้ว แต่เราเห็นจุดต่าง เรายังมีประเด็นอยากจะนำเสนอซึ่งแตกต่างไปจากฉบับพิมพ์ครั้งก่อนๆ ในการจัดพิมพ์เราจึงไปเชิญท่านอาจารย์วัลยา วิวัฒน์ศร มาเป็นบรรณาธิการต้นฉบับ ในกระบวนการทำงาน เราได้เรียนรู้จากทั้งนักแปลและบรรณาธิการต้นฉบับอีกเยอะเลย ด้วยตัวภาษาเขาเขียนมาในภาษากวี ดังนั้นคำเล็กคำน้อยจึงมองเพียงผิวเผินไม่ได้ ต้องมองด้วยความลึกซึ้ง

การดึงคนรุ่นใหม่ให้มาสนใจงานวรรณกรรมคลาสสิก ถือเป็นอีกโจทย์หนึ่งของสำนักพิมพ์อ่าน ๑๐๑ เลยไหม
ใช่ครับ โจทย์ของสำนักพิมพ์คือเราพิมพ์งานเก่า อาจจะพูดได้ว่าล้าสมัยด้วยซ้ำ ไม่ว่าผ่านมา 70-80 ปี หรือเป็นร้อยปี ผู้อ่านรุ่นเก่าๆ เขาซื้ออยู่แล้ว แต่เราพยายามจะสื่อสารกับผู้อ่านรุ่นใหม่ พยายามเชื่อมโยงผลักดันให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ เราพิถีพิถันเรื่องการออกแบบปกหนังสือมาก ใช้เวลาออกแบบนาน เราจะติดต่อกับผู้ออกแบบปกล่วงหน้าและใช้เวลาทำงานร่วมกันนาน 3-5 เดือน โชคดีที่ไม่ต้องบรีฟให้ผู้ออกแบบปก เขาจะขอหนังสือไปอ่านแล้วตีความเอง
ผมมองว่าการบรีฟ คือการวางกรอบความคิดของบรรณาธิการ และของผู้แปล ซึ่งมันจะตีกรอบศิลปินไปส่วนหนึ่ง ถ้าผู้ออกแบบสนใจอ่านและตีความเองก็ยิ่งเข้าทางเรา แต่วิธีนี้ก็ต้องให้เวลาเขานานกว่าปกติ และต้องปรับเปลี่ยนแผนให้สอดคล้องกัน
แล้วรสนิยมการอ่านวรรณกรรมคลาสสิกล่ะ ถ้าเทียบสมัยนี้กับเมื่อก่อนเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
การพิมพ์วรรณกรรมคลาสสิกมีมาตลอดอยู่แล้ว แต่ผู้อ่านไม่ใช่กลุ่มใหญ่ สำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์วรรณกรรมคลาสสิกก็อยู่ไม่ได้ และล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นความท้าทายของเรา มันมีบทเรียนให้เห็น มันท้าทายเราว่าทำอย่างไรจะอยู่ได้ สำนักพิมพ์อ่าน ๑๐๑ ก็ยังต้องแก้โจทย์ต่อไป
ปัจจุบันกลุ่มผู้อ่านวรรณกรรมคลาสสิกยังขยายตัวอยู่ แต่ต้องใช้เวลา กระแสที่ช่วยเสริมช่วยดึงให้คนรุ่นใหม่อ่านคือ ไอดอลเกาหลีที่แนะนำรีวิวหนังสือต่างๆ เช่น จินยอง (Jinyoung) แนะนำหนังสือเล่มโปรด แล้วแฟนคลับชาวไทยจะซื้อตาม นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ดีที่ไอดอลเชื่อมโยงกับวรรณกรรม ช่วยทำให้หนังสือเรื่องนั้นๆ ขายดี
กดดันไหมกับความคาดหวังของผู้อ่านที่มีต่อวรรณกรรมคลาสสิก
ไม่กดดัน ผมว่าเป็นปกติอยู่แล้วที่ผู้อ่านจะคาดหวังหนังสือดีๆ ยิ่งเราเลือกงานวรรณกรรมที่มีความซับซ้อน เราก็ต้องใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดทำงานออกมาให้สมบูรณ์มากที่สุด ความคาดหวังของผู้อ่านไม่ได้เป็นแรงกดดันของผมหรือของสำนักพิมพ์ เราบริหารจัดการเวลาที่เรามี ทรัพยากรที่เรามี เพื่อที่จะให้งานออกมาดีที่สุดเท่าที่เราสามารถทำได้
แสดงว่ามีฐานผู้อ่านแน่นแล้ว จึงไม่กังวล
ด้วยความที่เราเป็นผู้อ่านมาก่อน ความคาดหวังต่องานของสำนักพิมพ์ก็จะประมาณนี้แหละ เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะคาดหวังสิ่งที่ดี ซื้อของก็อยากได้ของดี และพอเราปรับบทบาทมาเป็นผู้ผลิต เราก็ผลิตของที่ดีมีคุณภาพออกมา ส่วนหนึ่งคือเราเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อ่าน เคยมีผู้อ่านมาแจ้งว่าเล่มนี้เนื้อในกระดาษไม่ค่อยดี เราก็ปรับ จะใช้วิธีการทำงานแบบค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ยังไม่มีสูตรตายตัว แค่ต้องเรียนรู้หน้างานต่อไป

อะไรคือความฝันของสำนักพิมพ์อ่าน ๑๐๑
อยากเพิ่มความหลากหลายทั้งแนวทางและเนื้อหาหนังสือในประเทศไทย แต่มันก็มีข้อจำกัดว่าเราเป็นคนตัวเล็กๆ ทุนน้อย เราทำเท่าที่เราทำได้
“เรารู้สึกว่าในเมืองไทยการทำงานวรรณกรรมแปลคือ การดิ้นรนของคนตัวเล็กๆ การเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างมักจะเริ่มจากคนตัวเล็กๆ ดิ้นรนทำขึ้นมาเองก่อน ไม่ค่อยมีหน่วยงานหรือองค์กรไหนมาสนับสนุน เว้นแต่ว่าทำมาสักระยะหนึ่ง มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ก็อาจจะได้รับการช่วยเหลือทีหลัง แต่ตอนเริ่มต้นทุกคนก็ลองผิดลองถูกเอง เจ็บตัวเอง”
อยากเห็นอะไรในสังคมผู้อ่าน
ในมุมของสำนักพิมพ์อ่าน ๑๐๑ อยากให้หนังสือที่เราทำมันไปถึงมือผู้อ่านให้มากขึ้น ผมว่าตัวแปรที่มีผลต่อกำลังซื้อก็คือสภาวะเศรษฐกิจ ถ้ามีการบริหารจัดการที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ก็คิดว่ามีโอกาสที่หนังสือดีๆ จะไปอยู่ในมือผู้อ่านได้มากขึ้น หนังสือไม่ใช่ซื้อแล้วอ่านทันที แต่จะมีลักษณะที่ว่าซื้อไปเก็บไว้เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม รอจังหวะชีวิต หรือรออารมณ์ที่จะอ่าน ที่ผ่านมาเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้อ่านเลยต้องกันเงินไว้ซื้อสิ่งที่จำเป็นมากกว่า
สิ่งใดที่เรียกได้ว่าเป็นรางวัลจากการทำงาน
รางวัลในการทำงานของผมก็คือการตรวจงาน จะมีความสุขในขณะที่ทำงาน เจอปัญหา แล้วเราแก้ปัญหาให้มันสำเร็จลุล่วงได้ มันมีความอิ่มใจอยู่บ้างในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอหนังสือดีๆ กับผู้อ่าน
สำหรับคุณ หัวใจของงานแปลคืออะไร
คิดว่าต้องเข้าให้ถึงสารที่ผู้เขียนต้องการสื่อ ยิ่งเป็นวรรณกรรมคลาสสิกของนักเขียนรางวัลโนเบลจะค่อนข้างยากและซับซ้อน กระบวนการของสำนักพิมพ์อ่าน ๑๐๑ คือเลือกนักแปลที่เราเชื่อมั่นว่าสามารถเข้าถึงตัวงานได้ งานที่เลือกมาเป็นงานที่เราเชื่อมั่นว่าผู้แปลใช้เวลาทุ่มเทกับมันเต็มที่ และมีคณะกรรมการตรวจกลั่นกรองมาระดับหนึ่งแล้ว
ยกตัวอย่างตอนจัดพิมพ์เรื่อง เพลงรำลึกบาป (La Symphonie Pastorale) งานนักเขียนโนเบล อ็องเดร ฌีด (Andre Gide) ซึ่งอาจารย์อำพรรณ โอตระกูล แปลไว้เมื่อเกือบสามสิบปีก่อน เดิมทีไม่คิดว่าจะมีอะไรต่อเนื่อง แต่พอทำแล้วก็รู้สึกว่าอยากพิมพ์เล่มอื่นๆ ของเขา ชอบความขบถ ชอบที่เขาตั้งคำถามกับสังคมที่เขาอยู่ ก็เลยลองศึกษาเล่มอื่นๆ และได้ปรึกษากับครูวัลยา ก็เกิดการแนะนำจนได้พิมพ์ อีกเล่มคือ มโนธรรมกลับด้าน (L’Immoraliste) ซึ่งเป็นการแปลใหม่ จัดพิมพ์ใหม่ ผู้แปลไปเชิญ อาจารย์ปณิธิ หุ่นแสวง ซึ่งเป็นครูของผู้แปลอีกทีมาเป็นบรรณาธิการต้นฉบับ ช่วยกลั่นกรองให้งานสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ทำงานกับนักเขียนนักแปลหลากหลาย ความท้าทายอยู่ตรงไหน
ความยากอยู่ที่เราเป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ โนเนม ก็มีความกลัวเวลาเราไปติดต่อต้นฉบับ ซึ่งต้นฉบับที่เราติดต่อเป็นของครูบาอาจารย์นักแปลที่คุณวุฒิสูง ช่วงแรกเราก็กังวลว่าท่านจะยอมให้เราเป็นผู้จัดพิมพ์ไหม จะไว้วางใจเราไหม นี่คือความเกร็งในช่วงแรก แต่พอมีผู้แปลที่ไว้วางใจและงานที่ทำออกมาเราก็ตั้งใจทำ ไม่ได้สุกเอาเผากิน เชื่อว่าคุณภาพงานที่ผ่านมามันช่วยส่งเสริม เมื่อเราไปติดต่อผู้แปลท่านใหม่ ท่านเคยเห็นผลงานเราแล้วก็เลยอนุญาต ให้ความไว้วางใจจัดการผลงานของท่าน
มองพฤติกรรมคนอ่านทุกวันนี้อย่างไร แล้วสำนักพิมพ์ต้องปรับตัวตามอย่างไรบ้างในยุคดิจิทัล
สื่อโซเชียลก็แย่งเวลาผู้อ่านไปบ้าง แต่เรื่องยอดขายที่ตกก็เพราะปัญหาเศรษฐกิจมากกว่า ผมว่าสักพักคนอ่านจะเริ่มเหนื่อย โซเชียลมันทำให้เราวิ่งตามเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้หยุด การอ่านเหมือนการเดินช้าๆ ชมวิวไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าคนใช้โซเชียลจะมีวิธีการจัดการตัวเองกับโซเชียลได้มากขึ้น แรกๆ อาจจะจมอยู่กับโลกโซเชียล ต่อไปอาจจะบริหารเวลาได้ดีขึ้น
อยากฝากอะไรถึงนักแปลรุ่นใหม่บ้างไหม
ต้องอ่านหนังสือให้มากขึ้น สะสมคลังคำให้มากขึ้น ยกตัวอย่างนักแปลระดับครูบาอาจารย์ที่แปลงานมา 30-40 ปี ท่านจะเรียนรู้ตลอดเวลาเพื่อสะสมคลังคำ เวลาแปลจะได้หยิบคำเหล่านั้นมาใช้ ทำให้งานสละสลวย มีวรรณศิลป์ น่าอ่าน น่าติดตาม บางท่านฝึกแต่งกลอน ถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ เขียนกลอนบรรยาย ผู้แปลระดับนั้นยังไม่หยุดนิ่ง นักแปลรุ่นใหม่ก็ต้องสั่งสมคลังคำและผละให้ห่างจากโซเชียลบ้าง เพื่อให้ภาษาไม่เป็นภาษาปาก
อยากฝากทิ้งท้ายถึงผู้นำประเทศบ้างไหม
ผู้บริหารประเทศนี่เกี่ยวมากในการจัดการกระจายความรู้ ด้วยงบประมาณนี่ถือว่าประเทศเราไม่ได้ยากจนอะไร มันติดขัดที่การบริหารจัดการ การใช้งบประมาณของเรากลายเป็นการก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ เช่น อาคาร สถานที่ แต่ขณะที่งบด้านการพัฒนาบุคลากรมันน้อย ดังนั้นถ้าจัดสรรงบด้านบุคลากรได้จะดีมาก อย่างเช่น บุคลากรครู งบอบรม งบเพื่อให้ครูบาอาจารย์นำมาพัฒนาหลักสูตรและใช้เวลาไปกับการสอนจริงๆ
บทสนทนากับ สุริยกานต์ พรมมงคล สำนักพิมพ์อ่าน ๑๐๑ นอกจากจะจบด้วยคำถามทิ้งท้ายให้ผู้นำประเทศได้ขบคิด ยังจุดประกายความหวังให้แก่ผู้อ่านรุ่นใหม่ๆ ว่า ในอนาคตเราจะมีทางเลือกเพิ่มในการคัดสรรหนังสือดีๆ โดยเฉพาะวรรณกรรมคลาสสิกระดับโลกไปประดับชั้นหนังสือที่บ้านมากขึ้นกว่าเดิม
