ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ ชีพจรของนักเขียนเรื่องป่า 

801 views
7 mins
April 22, 2025

          “รู้ไหม ผมไม่เคยนึกถึงคำตอบข้อนี้เลยครับ” ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ หรือ หม่อมเชน เป็นฝ่ายออกปากสนทนาถึง ‘วิถี’ งานเขียนของตัวเองขึ้นมาก่อน

          เพื่อตอบข้อสงสัยถึงเหตุผลที่เขา ‘เลือก’ ไม่เขียนเรื่องป่าในมุมลึกลับ การผจญภัย และความน่าหวาดหวั่น ทั้งที่เรื่องทำนองนั้นเป็นแนวที่ได้รับความนิยมอยู่ในแวดวงวรรณกรรม

          บนเส้นทางระหว่างบรรทัด หม่อมเชนเลือกเล่าความเป็นไปในวันธรรมดาๆ ของสัตว์ป่าตัวหนึ่ง คุณค่าและความหมายของการพิทักษ์ป่า ไม่ได้มีเรื่องราวผจญภัยอย่างพรานไพรในนิยายหลายบท หรือกระทั่งเรื่องราวของตัวเองที่ผ่านประสบการณ์ถูกสัตว์ป่าหมายเอาชีวิตมาหลายครา แต่กลับไม่เคยปรากฏกังวานของเสียงปืน หรือฉากคาวเลือดในสวนอักษรของนักเขียนคนนี้เลย

          ครั้งหนึ่ง เขาบรรยายเหตุการณ์ที่โดนเสือโคร่งทำร้ายเอาไว้ว่า

          แม้ว่าผมจะมีบาดแผลบริเวณใบหน้า แขน และมือ จากคมเขี้ยวและเล็บของเสือ 

          แต่ผมไม่ได้รู้สึกเลยว่ามันเจตนาที่จะทำร้าย มันเป็นเพียงเสือที่ถูกไล่ต้อนจนกระทั่งจนมุมตัวหนึ่ง

          เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมทำพลาด 

          ด้วยความต้องการจะได้ภาพที่ดี 

          จึงต้องจ่ายในราคาที่แพง

จากหนังสือ เสือสอนสอง ตอน ในโลกแคบ

          “ผมรู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเขียนออกมาในมุมแบบนี้ ทั้งที่ตอนเด็กๆ ผมก็มีประสบการณ์เข้าป่าไปกับคนล่าสัตว์ แต่เมื่อถึงเวลาเล่ากลับเป็นมุมตรงกันข้ามกับสิ่งที่เคยเจอมาตอนเด็กๆ”

          “คือถ้าจะตอบแบบหล่อๆ ตอนนี้ก็ได้นะ… แต่ความจริงผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรทำให้ผมเลือกทางนี้ มันอาจเป็นเพราะตอนที่มีโอกาสได้เข้าป่า เราไม่ได้มีความกลัวต่อสิ่งที่พบตรงหน้า หรือคิดว่าป่าเป็นเรื่องอันตรายที่ต้องเข้าไปผจญภัย ในมุมงานเขียนจะเรียกว่าเป็นสไตล์ก็ได้” 

          กว่า 3 ทศวรรษของการเป็นนักเล่าเรื่อง นับจากวันเริ่มต้นจับปากกาจนถึงการใช้แป้นพิมพ์บรรยายเรื่องราวบน Facebook

          ป่าหลายแห่งเกิดการเปลี่ยนแปลง สัตว์ป่ามีล้มตายและเกิดใหม่

          เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ไฟล์ดิจิทัลมีบทบาทมากกว่าฟิล์มสไลด์

          นิตยสารหลายฉบับที่เคยแบ่งพื้นที่ให้เรื่องราวทางธรรมชาติทยอยปิดตัวลง

          หลายสิ่งหลายอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคงไม่หวนคืนกลับมาอย่างเก่า

          หากจะมีอะไรที่เป็นข้อยกเว้น เห็นจะเป็นชีพจรของ ม.ล.ปริญญากร ที่ยังคงเต้นอยู่ในจังหวะเดิม-จังหวะเดียวกับที่เขาได้เริ่ม

          นี่เป็นบทสรุปที่เกิดขึ้นหลังจากเครื่องบันทึกเสียงได้ทำหน้าที่จนสำเร็จ และคำถามแรกถึงสุดท้ายบรรลุวัตถุประสงค์…

Photo: คชาณพ พนาสันติสุข

ในนิยายเรื่องป่าในอดีต ทำไมคุณถึงเลือกถ่ายทอดถึงความเงียบสงบ แทนการเล่าถึงมุมลึกลับอันตรายหรือการผจญภัยในป่า

          นักเขียนเรื่องป่าส่วนหนึ่งเขาฟังเรื่องราวการผจญภัยมาจากข้างกองไฟ บางคนมีประสบการณ์จริง บางคนเคยล่าสัตว์ แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกมา ส่วนผมเริ่มเขียนหนังสือจริงจังหลังจากได้เข้าป่าไปดูนก ได้เห็นถึงการใช้ชีวิต รูปแบบการบินไปบินมา การออกแบบร่างกายที่สอดคล้องกับหน้าที่ พอเราศึกษาต่อก็พบว่าทุกอย่างมันเกี่ยวพันกันหมด เลยมองเห็นถึงความมีชีวิต

          อย่างนกบางชนิดมีหนวด เพราะมันกินแมลงปีกแข็ง หนวดของมันมีเพื่อป้องกันปีกแข็งๆ ของแมลง นกบางตัวมีจังหวะการบินเหมือนผีเสื้อเพราะมีหน้าที่โฉบจับผีเสื้อในอากาศ แล้วเมื่อช่วง 30 กว่าปีที่แล้วไม่ค่อยมีใครนำเสนอในมุมนี้ ผมหมายถึงเรื่องการดูนกแบบจริงจัง ยังไม่มีใครเขียนเรื่องแบบนี้ลงในนิตยสารสักเท่าไร  

          อันที่จริง เวลาผมเข้าป่าไปดูนก ขับรถไปติดหล่ม พบอุปสรรคระหว่างทาง มันก็เป็นการผจญภัยแบบหนึ่งนะ แต่นั่นมันก็เป็นผลจากสิ่งที่เราเลือกทำ ไม่ได้คิดว่ามันเป็นความภาคภูมิใจที่ได้เอาชนะอุปสรรค หรือคิดว่ามันเป็นการแสดงออกของลูกผู้ชาย ก็เลยไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องนำเสนอ เล่าถึงสิ่งรอบตัวที่เราเห็นดีกว่าว่าสัตว์เกิดมามีหน้าที่ทำอะไร คุณสมบัติของสัตว์ป่ามันไม่ได้อยู่ที่ซากไง มันอยู่ที่การทำงาน มันควรจะมีชีวิต ได้ใช้ชีวิตในแบบของมันตามสมควร

แล้วเคยได้อ่านนิยายเกี่ยวกับการผจญภัยในป่าบ้างไหม

          อันนี้ผมพูดตรงๆ เลยนะ ผมไม่ค่อยได้อ่านหรอก เพราะผมมีความรู้สึก bias ต่อการเข้าป่าล่าสัตว์อยู่แล้ว ผมไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบนักเขียนนะ อย่างคุณวัธนา บุญยัง ก็คุ้นเคยกัน ผมแค่ไม่ชอบมุมที่นำเสนอเท่านั้น อย่างเรื่อง เพชรพระอุมา พออ่านไปเจอฉากที่บรรยายถึงการล่าสัตว์หรือเล่าว่าสัตว์ตัวนั้นตัวนี้อันตรายก็มีความรู้สึกค้านอยู่ในใจ 

          เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ เล่าถึงเหตุการณ์ยิงเสือโคร่งที่เขาใหญ่ ผมให้ความเห็นว่า การยิงเสือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ เราไม่ควรจัดการกับสัตว์ป่าแบบนั้น เขาใหญ่ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติเพื่อเป็นบ้านของสัตว์ป่า เราเป็นคนที่เข้าไปในบ้านของเขา พอเจ้าของบ้านมีท่าทีไม่พอใจ เราจะไปทำอย่างนั้นกับเจ้าของบ้านไม่ได้ ปรากฏว่าพองานตีพิมพ์ออกไป มีจดหมายหลายฉบับส่งมาถึงสำนักพิมพ์ตำหนิบทความชิ้นนั้น เขาคิดว่าเสืออันตราย ถ้าเราไม่ฆ่ามัน มันก็จะฆ่าคน ซึ่งก็เป็นมุมคิดหนึ่งที่ยังเชื่อกันว่าสัตว์ป่าและป่าเป็นสถานที่อันตราย

เคยคิดไหมว่าถ้าเขียนมุมการผจญภัยจะได้งานเยอะขึ้น มีคนอ่านเพิ่มมากขึ้น

          ก็เป็นไปได้ แต่ว่ามันมีประโยชน์อะไรล่ะ อย่างทุกวันนี้ AI ทำได้ตั้งหลายอย่าง มันอาจแย่งงานช่างภาพ แย่งงานทุกอย่างไปจากคน แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันจะแย่งงานจากผมได้นะ AI อาจถ่ายรูปนกบินชัดๆ ได้ แต่นกเบลอๆ แบบที่ผมทำงานมาตลอดมันคงไม่ทำหรอก เราพบหนทางของเราแล้วว่ามันเป็นอย่างไร

          สมมติว่าช่างภาพปล่อยให้กล้องทำงานเอง เซ็ตโหมด auto ไว้แล้วกดชัตเตอร์อย่างเดียว แบบนั้น AI ก็ทำได้ และทำได้ดีกว่าเราด้วยซ้ำ ฉะนั้นการที่เราลงมือทำในแนวทางของตัวเองมันช่วยให้เรามีที่ยืนในอาชีพตลอด มันอาจเป็นแค่งานที่คนติดตามเฉพาะกลุ่ม ไม่ได้เป็นงานแมส ยิ่งสมัยนี้มีคอนเทนต์มากมายเปิดเลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีรูปสวยๆ อยู่เป็นล้านรูปในโซเชียลมีเดีย อาจมีคนกดถูกใจให้ แต่เดี๋ยวเดียวเขาก็ลืม ซึ่งมันไม่ส่งผลให้เกิดอะไร

Photo: คชาณพ พนาสันติสุข

แม้ตัวคุณเองจะเคยโดนสัตว์ป่าชาร์จ แต่ก็ยังคิดว่ามันไม่อันตรายหรือน่ากลัวอีกเหรอ

          ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติของการเข้าป่า อย่างที่บอกมันเป็นผลจากสิ่งที่เราเลือกทำ กระทิงบางตัวมันอาจหงุดหงิด แต่ช้างบางตัวก็มีนิสัยดี แต่ประเด็นมันเป็นเรื่องของระยะไง ผมเข้าไปใกล้สัตว์ป่ามากเกินไป ที่ผมชอบพูดว่ามันเกินระยะที่ให้เกียรติกัน มันไม่ใช่ความผิดของสัตว์เลย เป็นความผิดของผมที่ไม่เชื่อเอง

งานเขียนของคุณเป็นงานประเภทไหน

          ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นแนวไหน คงไม่ใช่แนวโรแมนติกหรอก อย่างเวลาผมเขียนถึงพระจันทร์ มันก็ไม่ใช่เรื่องของความโรแมนติก พระจันทร์มีมุมที่เราไม่เคยเห็นอยู่อีกด้านหนึ่งเพราะระบบโคจรของมัน ตั้งแต่เกิดจนตายถ้าเราไม่ได้ทำงานในนาซา หรือขึ้นจรวดออกไปสำรวจเราก็ไม่มีวันได้เห็น 

          อย่างสัตว์ป่าเองก็เหมือนกัน มุมของเขาไม่ได้มีแค่ภาพที่น่ากลัว เราสามารถหยิบจับเอาสิ่งต่างๆ มาเขียนได้ เหมือนเวลาผมเจอเสือกินกวาง มันมีหลายแง่มุมให้เราเขียนถึง มุมที่เสือต้องทำหน้าที่ในฐานะผู้ล่า อีกมุมเป็นเรื่องการดิ้นรนเอาชีวิตรอดของกวาง ช่วงที่ต้องเขียนบทความเยอะๆ ผมใช้วิธีนี้แบ่งงานเขียนสำหรับลงในที่ต่างๆ

ทราบมาว่าช่วงหนึ่งคุณเขียนบทความไม่ต่ำกว่า 20 ชิ้นต่อเดือน

          มันเริ่มตอน พี่สืบ นาคะเสถียร เสียชีวิต พี่สืบทำให้ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น ตอนนั้นมีคนสนใจเรื่องป่าเยอะ ไม่ใช่เฉพาะแวดวงอนุรักษ์ วงการอื่นๆ ก็ให้ความสนใจ ปฏิทินก็ต้องเป็นรูปสัตว์ป่า แล้วมีหนังสือเกี่ยวกับธรรมชาติเกิดขึ้นเยอะมาก นิตยสารอย่าง GM, PLAYBOY, ขวัญเรือน, ดิฉัน, พลอยแกมเพชร หรือเล่มไหนๆ ทั้งนิตยสารผู้ชาย หรือผู้หญิงก็ต้องมีคอลัมน์สำหรับเรื่องป่าเรื่องธรรมชาติอย่างน้อยหนึ่งคอลัมน์ มันอาจไม่เคยมีใครพูดในมุมนี้มาก่อนว่าปรากฏการณ์ที่ห้วยขาแข้งมันก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในแม่น้ำสายเล็กๆ อีกมาก 

          แล้วความเปลี่ยนแปลงนั้นก็เกิดขึ้นกับผมด้วย จากนั้นผมมีงานประมาณ 20-30 ชิ้นต่อเดือน มันก็อาจเป็นเพราะวิธีการเขียนของผมอาจไปเข้าตาบรรณาธิการเข้า แต่ผมก็ไม่ทราบว่าตอนนั้นมีคนเขียนคอลัมน์แบบผมมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่ได้เห็นใครเขียนแบบนี้มาก่อน จะมีแค่นิตยสาร ท่องเที่ยวแค้มปิ้ง กับ อ.ส.ท. นักเขียนก็มาจากสตาฟฟ์ของหนังสือเป็นส่วนใหญ่

เคยตั้งความหวังกับผลงานที่ปล่อยออกไปไหม

          ผมไม่ได้คิดว่างานของผมจะมีอิทธิพลกับใครนะ เคยเจอคนมาบอกว่า เขาสนใจเรื่องป่าเพราะอ่านหนังสือที่ผมเขียน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทีหลัง ไม่ได้รู้สึกคาดหวังว่าต้องทำงานเพื่อให้คนรู้สึกแบบนี้ ผมคิดว่าคนมันเปลี่ยนไม่ได้ มันอยู่ที่สิ่งแวดล้อม การปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก หรือถ้าใครสักคนจะเปลี่ยนจริงๆ มันต้องมีจุดเปลี่ยนที่มีความสำคัญกว่านี้ 

          อย่างเช่น คนเข้าป่าไปยิงสัตว์ แล้วมีลูกวิ่งมากอดแม่ก็เลยเกิดคลิกว่าไม่เอาแล้ว ไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบนี้อีก ผมว่าถ้าเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นเขาอาจเปลี่ยนได้ ถ้าเปลี่ยนโดยการอ่าน นั่นหมายความว่าเขาต้องมีพื้นฐานแบบนี้อยู่แล้ว งานเขียนของผมทำหน้าที่แค่ให้เขามีความมั่นใจในสิ่งที่เขาคิดมากขึ้น อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้คิดอยู่คนเดียว

Photo: คชาณพ พนาสันติสุข

ตอนนี้รู้สึกเหมือนว่างานเขียนของคุณเริ่มน้อยลง

          น้อยลง เพราะมันเกิดความเปลี่ยนแปลง นิตยสารมันไปไม่รอด อย่างนิตยสารดิฉัน เพิ่งหยุดไปเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ผมก็ยังเขียนต้นฉบับส่งด้วยลายมือ แนบฟิล์มสไลด์ แล้วส่งไปรษณีย์อยู่นะ เกือบทุกเล่มหยุดเขียน เพราะหนังสือเขาปิดตัว ไม่ค่อยมีที่ขอให้เลิกก่อน

ในฐานะที่เคยแนะนำตัวว่าเป็นช่างภาพสัตว์ป่า ทำงานมานาน ทำไมมีหนังสือรวมภาพถ่ายสัตว์ป่าออกมาน้อย

          (หัวเราะ) ของผมคนเดียวมีแค่ 2 เล่ม คือ ชีพจรไพร กับ อาชิ งานส่วนใหญ่จะทำร่วมกับน้องๆ มีหลายคนช่วยกันทำ อย่างหนังสือ 50 ปี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง (นิ่งคิด…) นั่นน่ะสิ… เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยนึกมาก่อนเหมือนกัน 

          ผมคิดว่าผมเป็นคนทำงานช้า อย่างหนังสือชีพจรไพร ผมใช้เวลาถ่ายอยู่ 3-4 ปีกว่าจะสำเร็จ แรกๆ พอเรามีรูป เราคิดว่ามันดีแล้วอยากเอาภาพไปรวมเป็นหนังสือ แต่ผมคิดว่าเราไม่ควรทำให้หนังสือเป็นสมุดแสตมป์ มันควรมีคอนเซปต์ มีเรื่องราว อย่างชีพจรไพร ผมตั้งใจว่าจะถ่ายภาพป่า 3 ฤดูกาล เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในป่า แต่ถึงที่สุดพอผ่านไปหนึ่งปี มันก็ทำไม่สำเร็จ แล้วก็ต้องใช้เวลาเกือบ 4 ปี หรือพอตั้งใจทำหนังสือภาพนกเงือกที่เทือกเขาบูโด หรือเรื่องผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ก็ไม่สำเร็จเพราะมีปัจจัยหลายอย่างอุปสรรคของการเป็นช่างภาพสัตว์ป่า หรือการทำอาชีพนี้คืออะไร

          จริงๆ แล้วมันสามารถทำได้เรื่อยๆ อุปสรรคคงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทุนเยอะ ไม่ต้องพูดถึงค่าพิมพ์ กระดาษ หรือการออกแบบ แค่เรื่องช่างภาพจะเข้าไปทำงาน มันมีต้นทุนมากเกินกว่าที่หลายๆ คนจะยืนระยะได้จริงจัง และถึงตอนนี้เหมือนกับว่ามันไม่มีที่ทางให้อยู่มากเท่าไร ถ้าคุณไม่ได้มีชื่อเสียงมากก็ลำบาก ไม่เหมือนช่างภาพในต่างประเทศที่เราเห็นแค่ชื่อก็ตัดสินใจซื้อได้เลย 

          ผมว่าทุกคนเจอปัญหาเดียวกัน มีคนอยากทำเยอะแยะไปหมด แต่ประเด็นคือ จะทำอย่างไร หาทุนมาจากไหน ถ้าคุณตั้งใจทำจริงๆ มันต้องใช้เงินเยอะ ต้องใช้เวลาไปฝังตัวอยู่ในพื้นที่ คุณต้องลาออกจากงานประจำ ถ้าคุณมีครอบครัว มีลูกต้องดูแล ก็ยิ่งลำบาก

การใช้ Facebook ของ ม.ล.ปริญญากร เป็นอย่างไร

          อันนี้ก็เป็นความตั้งใจ จะเห็นว่าผมไม่ค่อยเขียนเรื่องไร้สาระ ผมมองว่านี่เป็นคอลัมน์คอลัมน์หนึ่งก็เขียนเหมือนที่ผมเขียนคอลัมน์นี่ล่ะ ตอนแรกๆ ก็เขียนยาวเหยียดเหมือนกับที่เขียนส่งให้นิตยสารตีพิมพ์ แต่ก็มาเข้าใจภายหลังว่า คนคงไม่มานั่งอ่านอะไรที่มันยาวๆ แบบนี้หรอก ตอนแรกผมคิดว่ามันเปลี่ยนแค่แพลตฟอร์ม ไม่ได้คิดว่าวิธีการมันเปลี่ยนด้วย ก็พยายามทำให้มันกระชับ เพื่อให้คนได้ใส่ใจกับสิ่งที่เราอยากบอก เป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง สิ่งที่ดีคือมีการตอบกลับเร็ว มีคนแสดงความคิดเห็น เพราะสมัยเขียนลงนิตยสาร เราแทบไม่รู้เลยว่าคนอ่านรู้สึกอย่างไร

Photo: คชาณพ พนาสันติสุข

ในโซเชียลมีเดียมีเรื่องการเที่ยวป่าออกมามากมาย คุณมองเรื่องนี้อย่างไร

          มันเป็นการใช้ป่าในอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าคนอ่านมีพื้นฐานเรื่องป่าอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร อย่างผมก็ไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ถ้าคนที่เพิ่งเริ่มสนใจแล้วถูกกำหนดให้เห็นป่าไปในทิศทางแอดเวนเจอร์อย่างเดียวก็คงไม่ดี แทนที่จะเข้าไปด้วยความเคารพ หรือศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับป่าอย่างจริงจัง หรือการใช้เครื่องมืออย่างกล้องกับเลนส์ มันเป็นแค่เครื่องมือนำพาเราเข้าไปอยู่ในป่า แล้วมันควรจะทำให้เราตัวเล็กลง แต่บางคนพอมีกล้องกลับทำตัวใหญ่โต มีอัตตามากมาย 

          ถ้าจะให้เห็นภาพชัดคือผ้าเหลือง คนที่บวชควรใช้ผ้าเหลืองนำพาตัวไปสู่สมาธิ แต่เรากลับเห็นพระหลายรูปใช้ผ้าเหลืองเพื่อผลประโยชน์อย่างอื่น มันก็เหมือนกัน กล้องควรเป็นเพียงเครื่องมือที่นำเราไปสู่ป่า เหมือนเป็นใบเบิกทาง เป็นพาหนะให้เราไปเรียนรู้เรื่องราวของป่า เพราะถึงที่สุดป่ามันคือความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ต้องละกิเลส ในป่ามันสอนเรื่องราวแบบนี้อยู่แล้ว

มองเรื่องเล่าเกี่ยวกับป่าสมัยนี้เป็นอย่างไร

          ผมว่ามีเยอะมากเลยนะ แต่การนำเสนอบางทีมันมีแต่มุมที่เป็นเปลือก ฉาบฉวยมากเกินไป อย่างเช่น เวลาคนพูดถึงความสวยงามของช่วงเวลาที่ป่ากำลังเปลี่ยนสี ก็จะเล่าแค่ว่ามันสวย แต่ความจริงแล้วมันเป็นช่วงเวลาที่โคตรลำบากของต้นไม้เลยนะ มันกำลังปรับตัวเพื่อเตรียมเข้าสู่ฤดูแล้ง แล้วไอ้ความสวยงามที่ว่ามันคงอยู่ได้ไม่นานเดี๋ยวเดียวก็ร่วงหล่นแล้ว

แล้ววรรณกรรมเรื่องป่าจะอยู่รอดไหม

          ผมว่าเราอยู่ในยุคสมัยที่คนสามารถเสพสื่อได้หลายทาง ไม่จำเป็นต้องอ่านจากหนังสือเพียงทางเดียว แต่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนที่ทำงานด้านนี้เขายังทำอยู่ไหม ผมไม่รู้เหมือนกัน บางทีการเล่ามันอาจเปลี่ยนแพลตฟอร์มไปเท่านั้น ทุกวันนี้ก็ยังมีคนที่เชื่ออย่างฝังใจอยู่ว่า ป่าเป็นเรื่องของการผจญภัย มีมุมลึกลับ อันตราย เรื่องเล่าแบบนี้ยังคงมี ก็ยังไม่ได้หายไปไหน บางคนยังแคลงใจอยู่ว่าถ้าเข้าป่าไปเจอเสือจะถูกกินหรือเปล่าผมคิดว่าในอนาคตก็ยังคงมีคนที่เชื่อเรื่องแบบนี้อยู่

Photo: คชาณพ พนาสันติสุข

การลดลงของป่าในปัจจุบัน หรือสัตว์ที่กำลังค่อยๆ สูญพันธุ์จะส่งผลต่อการเขียนไหม

          ผมว่าสัตว์ป่ามันไม่น่าสูญพันธุ์นะ สัตว์บางชนิดจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรที่มันหายากแล้ว มีนกหลายชนิดที่ผมไม่เคยฝันว่าจะได้เห็น เดี๋ยวนี้คนก็เห็นกันเยอะแยะ มีภาพถ่ายเสือลายเมฆที่ว่าถ่ายยากออกมาให้เห็น สมเสร็จก็ไม่ได้หายากอีกแล้ว นกยูงในห้วยขาแข้งก็เห็นได้ทุกครั้งที่เข้าไป เมื่อก่อนวัวแดงก็ไม่ได้มีเยอะเหมือนสมัยนี้ เรื่องที่สัตว์จะสูญพันธุ์ ผมคิดว่าไม่น่าเป็นห่วงหรอก การดูแลรักษาป่ามันดีขึ้นแล้ว ก็ต้องยกความดีความชอบให้พี่สืบอีกนั่นล่ะ ที่จุดประกายการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา แต่ถ้าหากว่ามันลดลง เรื่องเล่าจากป่าก็ย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา 

          แต่ในอีกมุม คนที่เป็นนักเขียนก็โตขึ้น มีประสบการณ์การทำงานมากขึ้น แล้วเรื่องราวในป่ามันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น เรื่องปัญหาของสัตว์ป่าตอนนี้มันไม่ได้มีแค่เรื่องการล่าสัตว์ มันมีปัญหาสัตว์ป่าติดเกาะ ป่าถูกแบ่งออกเป็นหย่อมเล็กหย่อมน้อย สัตว์อย่างกวางผาไม่อาจไปมาหาสู่กันได้ เรื่องระหว่างคนกับช้างแถวเมืองกาญจน์ แถวระยอง ตราด ป่ารอยต่อ มันเป็นปัญหาที่สัตว์ในปัจจุบันกำลังเจอ เรื่องเล่ามันมีอีกมากและไม่ได้จำกัดอยู่แค่การไล่ล่าหรือไล่ฆ่าอีกแล้ว

          มันมีถนนอยู่สองสายที่ต่างคนต่างเดิน เส้นหนึ่งเป็นถนนของงานอนุรักษ์ที่มันดีขึ้น คนใส่ใจกับเรื่องนี้ มากขึ้น แต่ถนนอีกฝั่งของคนที่หวังใช้ประโยชน์จากป่าก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน มันยังมีคนที่คิดหาทางจัดการกับธรรมชาติ หาวิธีสร้างเขื่อนในป่า หาวิธีใช้ป่าแบบต่างๆ ที่แย่คือบางคนคิดได้อย่างไรว่าธรรมชาติเป็นศัตรู คุณคิดว่าคลื่นเป็นศัตรูของคุณหรือถึงต้องไปสร้างกำแพงกั้นมัน แทนที่จะปรับตัวหรือเรียนรู้อยู่กับมัน แต่กลับไปคิดหาวิธีเอาชนะมัน ผมคิดว่าการเขียนเรื่องป่าคงไม่สิ้นไร้เรื่องราวหรอก ยังไงก็ยังมีคนชอบอ่านอยู่ อาจมีคนรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมา คนที่เข้าป่าหลายคนแค่เปลี่ยนเครื่องมือจากปืนเป็นกล้องถ่ายภาพ จากปากกาเป็นโทรศัพท์มือถือ

          อีกอย่าง เทคโนโลยีมันทำให้เราเห็นธรรมชาติมากกว่าเดิม ช่วยให้เราถ่ายรูปสิ่งใหม่ๆ ได้ ทำให้เราได้เห็นธรรมชาติในมุมที่มหัศจรรย์มากยิ่งขึ้น เช่น การถ่ายภาพสัตว์ป่าตอนกลางคืน และทุกวันนี้ยังมีการค้นพบพืชและสัตว์ชนิดใหม่ๆ อยู่ตลอด แต่เราก็ต้องเข้าใจด้วยนะ ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่พบอาจไม่ได้เป็นชนิดใหม่ มันอาจเป็นสิ่งที่อยู่ตรงนั้นมานานแล้ว อยู่มานานกว่าเรา เราแค่ไม่เคยเห็นหรือรู้จักมันมาก่อน ฉะนั้นเราควรดีใจว่าเราได้รู้จักสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกแล้ว

Photo: คชาณพ พนาสันติสุข


เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือ ‘Readtopia 2 ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศการอ่านของไทย’ (2567)

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก