“โห วันอะไรกันนี่”
“วันพุธ”
“ก็ไม่ใช่วันหยุดนี่นา”
“แบบนี้ทุกวันแหละ”
ร้านหนังสือ Powell’s City of Books มีผู้คนยืนอยู่แน่นขนัดราวกับมีการจัดกิจกรรมอะไรสักอย่าง เปล่าเลย นี่คือสถานการณ์ปกติของร้านหนังสืออิสระที่มักจะถูกกล่าวถึงว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีพื้นที่ขนาดหนึ่งบล็อกถนนของเมืองพอร์ตแลนด์
จำนวนหนังสือในร้านที่มีมากกว่าหนึ่งล้านเล่มกระจายอยู่ทั่วร้านทั้งหนังสือใหม่เอี่ยมและหนังสือมือสอง ที่สำคัญคือ ที่นี่มีโซนพิเศษสำหรับหนังสือจากนักเขียนท้องถิ่น เช่น Diary of a Misfit (2022), The Portland Book of Dates: Adventures, Escapes, and Secret Spots (2021), Wildwood (2021), Portland Noir (2009), Keeping It Weird (2014), Jumptown (2005), What We Talk About When We Talk About Love (1938) เหล่านี้คือหนังสือที่เขียนโดยนักเขียนต่างเพศ ต่างวัย ต่างช่วงเวลา แต่ก็ดูเหมือนว่าความเป็นพอร์ตแลนด์จะฉายภูมิหลังบางอย่างที่คล้ายกัน นั่นคือ ความรักในธรรมชาติ หัวก้าวหน้า และความเสรี
“มันเป็นปัญหาไก่กับไข่ ยากจะบอกว่าอะไรเกิดก่อนกัน”
นี่คือคำตอบของชาวนิวยอร์กที่ย้ายมาอยู่พอร์ตแลนด์ร่วมสิบปี เมื่อถูกฉันถามว่า วัฒนธรรมการอ่านของพอร์ตแลนด์ทำให้เกิดร้านหนังสือ Powell’s City of Book หรือร้านหนังสือต่างหากที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมการอ่านในพอร์ตแลนด์ แต่ที่เห็นได้ชัดคือที่นี่เป็นแหล่งแฮงก์เอาต์ของคนท้องถิ่นและเป็นไฮไลต์ของนักท่องเที่ยว ที่หากมาพอร์ตแลนด์ก็ต้องมาเยือนร้านหนังสือแห่งนี้
แต่การทำร้านหนังสือไม่ได้สวยงาม โรยด้วยกลีบกุหลาบดั่ง “City of Rose” ชื่อเล่นของพอร์ตแลนด์ ด้วยความที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยว ค่าเช่าพื้นที่จึงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร้านหนังสือหลายร้านเกือบต้องปิดตัวลงไป เช่น New Renaissance Bookstore ที่เป็นส่วนสำคัญของย่านฝั่ง Northwest มาเกือบสี่สิบปี (เปิดทำการในปี 1988) แต่เจ้าของพื้นที่รายใหม่ต่อสัญญาให้จนกว่าจะสามารถหาทางเลือกอื่นได้ แม้แต่พี่ใหญ่อย่าง Powell’s เองก็ต้องต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของตลาด E-commerce เช่นกัน
เอมิลี พาวเวลล์ (Emily Powell) ผู้บริหาร Powell’s City of Books สร้างปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในวงการหนังสือด้วยการประกาศจุดยืนว่าจะไม่ขายหนังสือผ่านทางแพลตฟอร์มใหญ่ เพื่อที่จะทำให้ร้านหนังสือสามารถจำหน่ายหนังสือผ่านทางช่องทางของตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยเธอได้ออกจดหมายเปิดผนึกว่า
“… เรารู้สึกถึงความหนักหน่วงที่ร้านหนังสือทั่วโลกดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดและกังขาต่ออนาคตข้างหน้า ไม่มีใครทำธุรกิจหนังสือด้วยความคิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่าย ทุกปีมีความท้าทายใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ … สำหรับ Powell’s เอง เราตัดสินใจที่จะไม่ขายหนังสือทาง Amazon อีกต่อไป ที่ผ่านมาเราได้เห็นผลกระทบต่อทั้งชุมชนและร้านหนังสืออิสระทั่วโลกมาโดยตลอด … เราเข้าใจว่าในหลายชุมชน นี่คือช่องทางการขายขนาดใหญ่ และอาจเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับบางร้าน แต่เราจำเป็นต้องประกาศจุดยืนเพื่อชุมชนของเรา ความมีชีวิตชีวาของชุมชนและย่านขึ้นอยู่กับความอยู่รอดของร้านอิสระและธุรกิจของชุมชน เราจะไม่เข้าร่วมในกิจกรรมใดที่จะบั่นทอนการอยู่รอดนี้”
Powell’s City of Books ยังทำหน้าที่ร้านหนังสืออิสระเพื่อชุมชนอย่างแข็งขัน เปิดพื้นที่ให้ศิลปินท้องถิ่น ได้มีที่ทางในการสร้างชุมชนคนรักการอ่าน เป็นสถานที่ที่ผู้คนมารวมตัวกันด้วยความสนใจร่วมกันบางอย่าง นำไปสู่แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ต่อไป
ฝนเริ่มหยุดตกแล้วเมื่อเราเดินออกมา หลังใช้เวลาสองสามชั่วโมงในร้าน ฉันหยุดแวะที่ชั้นหนังสือกวีหยิบเล่มที่มีชื่อว่า “Keeping It Weird: Poetry & Stories of Portland, Oregon” หนังสือรวบรวมบทกวีที่แต่งโดยผู้คนชาวพอร์ตแลนด์ที่ภาคภูมิใจในความประหลาดของตนเอง มีประโยคหนึ่งในหนังสือที่พอจำได้จากการพลิกเร็วๆ ว่า พวกเขาเรียกเราว่าประหลาด หากสิ่งที่ประหลาดยิ่งกว่าคือการไม่เป็นตัวเอง ไม่เป็นอิสระ ดั่งที่ชีวิตแท้จริง
ฉันมองไปโดยรอบก่อนเดินออกจากร้าน สลัดคำว่า “independent” ออกจากความคิดไม่ได้ ยังคงครุ่นคิดวนเวียนอยู่กับคำถามว่า เพราะมีร้านหนังสืออิสระขนาดใหญ่อยู่กลางใจเมืองหรือไร ที่ทำให้คำนี้ดูจะปรากฏอยู่ทุกที่ หรือจะเป็นเพราะความภาคภูมิใจในความเป็นเสรีของผู้คนในเมืองนี้ที่ทำให้บทกวี หนังสือที่แต่งโดยผู้คน และร้านหนังสือในเมืองนี้ล้วนเป็นอิสระโดยจิตวิญญาณ