‘พลอยใจ ปิ่นตบแต่ง’ ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา ความนอกรีตและถังความคิดแห่งความเป็นไปได้

478 views
9 mins
June 17, 2025

‘ความคิด’ เป็นสิ่งน่ากลัวหรือเปล่า? 

อาจจะไม่…แต่ตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ มียุคใดบ้างที่ผู้ถืออำนาจไม่ว่าจะในนามศาสนจักร หรืออาณาจักร ไม่พยายามควบคุมความคิดผู้คน 

เชื่อหรือไม่ว่า การคิด เป็นการกระทำรูปแบบหนึ่งที่มีพลังงานในตัวเอง เมื่อเนื้อดินอุดมสมบูรณ์หรือสถานการณ์สุกงอม มันก็จะเติบโตไปตามวิถีของมันเอง ต่อให้เป็นความคิดที่ถูกมองว่านอกรีตนอกรอยก็ตาม มันก็อาจเป็นเพียงความนอกรีตในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น

ทว่า ความคิดไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ จากสุญญากาศ มันล้วนมีที่มา นักคิดทุกคนมักยืนบนบ่ายักษ์ตนใดตนหนึ่งเสมอ และยักษ์ตนนั้นก็ยืนบนบ่าของยักษ์อีกตนต่อๆ ไป ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาอาจฟังแล้วชวนให้เบื่อหน่าย แต่มันมีหน้าที่สำคัญเพื่อช่วยให้สังคมหนึ่งๆ รู้ว่าคนในอดีตเคยคิดอะไรและมองเห็นคำตอบที่เป็นไปได้อื่นๆ

พลอยใจ ปิ่นตบแต่ง นักประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา จากภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปรียบประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาเหมือน Think Tank ที่บรรจุความคิดไว้มากมายพร้อมให้คนรุ่นปัจจุบันหยิบจับไปหักล้าง ต่อยอด หรือเป็นแนวทางในการตอบคำถามที่อาจมีใครสักคนพยายามตอบมาก่อน

การคิดเชิงวิพากษ์จึงแยกไม่ขาดกับกระแสธารความคิดจากอดีต เราวิพากษ์จากความว่างเปล่าไม่ได้ ในมุมมองของนักประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา การคิดเชิงวิพากษ์หาใช่สิ่งที่สั่งสอนกันแบบยัดเยียดได้ หากต้องมีการจัด ecosystem ที่เอื้อให้คนคิด

สังคมไทยเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า? คำถามนี้แค่กวาดตาออกไปคงตอบได้ไม่ยาก สำหรับพลอยใจ รัฐจำเป็นต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อจุดเปลวไฟความคิด เข้าถึงกระแสความคิดจากอดีตอย่างไม่ปิดกั้น และปล่อยให้ความคิดเติบโต

แต่… “การศึกษาไทยมีปัญหาในการ control เป็นรัฐไทยที่พยายามควบคุมทุกอย่าง”

Think Tank ของสังคม

จริงๆ แล้วกระบวนการคิดกับการกระทำไม่ควรจะแยกกัน เพราะว่าการคิดก็เป็นการกระทำอย่างหนึ่งเหมือนกัน ส่วนตัวคิดว่ามองอย่างนั้นจะทำให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่าง ‘การศึกษาความคิด’ กับ ‘ทําไมมันถึงมีประโยชน์’ มากกว่า แล้วที่บอกว่า ‘โลกขับเคลื่อนด้วยความคิด’ ก็คิดว่าจริงแน่นอน เพราะส่วนตัวคิดว่าการคิดกับการกระทำมันไม่ใช่สองอย่างที่ตรงข้ามกันด้วยซํ้า การคิดก็คือการกระทำอย่างหนึ่ง

ถ้าถามว่าต้องศึกษาประวัติศาสตร์ความคิดมั้ย คิดว่าอาจจะไม่ต้อง แบบเดียวกับที่เราไม่จําเป็นจะต้องมีเสรีภาพ เราก็มีชีวิตอยู่ได้ เราไม่ต้องฟังเพลง เราก็มีชีวิตอยู่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าถามเรื่องความจำเป็น มันก็ต้องไปดูว่าทําไมเราถึงมองว่าสิ่งหนึ่งมันจําเป็น ทําไมสิ่งหนึ่งมันไม่จําเป็น โดยเฉพาะในฐานะสังคมหนึ่ง

ทีนี้ถ้าจะให้ตอบคําถามนี้แบบตรงไปตรงมา คิดว่าการเรียนรู้ความคิดของคนหลายร้อยปีก่อน โดยเฉพาะในฐานะสังคม มันเหมือนกับว่าเรามี think tank ของสังคม ถ้าเรามีคําถามอะไรบางอย่างที่เราไม่มั่นใจว่าเราจะตอบมันยังไง เราสามารถกลับไปดูสิ่งที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่คล้ายกันที่เคยเกิดขึ้นได้เพื่อมาช่วยตอบคําถาม 

พูดอย่างนี้อาจจะฟังดูเป็นนามธรรมมากๆ แต่ถ้าจะยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมก็คือ ส่วนตัวไปเรียนด้านประวัติศาสตร์ของความคิด ภูมิปัญญา แล้วก็มีเพื่อนชาวต่างชาติเป็นคนอังกฤษ เรียนโปรแกรมเดียวกันคือตัวเราจบมาเป็นสายวิชาการในประเทศไทย แต่ว่าถ้าเกิดว่าจบพีเอชดีด้านนี้ที่อังกฤษอย่างเพื่อนตอนนี้ก็ไปทำงานเป็นนักวิจัยให้กับ think tank ของพรรค labor คือมันมีการวิจัยนโยบาย ถ้าเกิดคำถามว่าแล้วเรียนประวัติศาสตร์ความคิดทำอะไรได้นอกจากนักวิชาการ ในประเทศอื่นมันมีความเป็นไปได้อื่น แต่ในประเทศเรานี่ไม่แน่ใจเท่าไหร่ อันนี้คือตอบเชิง practical 

ส่วนตัวคิดว่ามันเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจมากกว่า มันคงไม่ได้สามารถตอบอย่างตรงไปตรงมาได้ เช่น ถ้าเอาแบบ radical มากๆ เลย สมมติว่าเราควรจะทำรัฐประหารมั้ย ณ ตอนนี้ ถ้าเราไปศึกษาประวัติศาสตร์ดูก็คงจะบอกเราได้ว่าทำรัฐประหารแล้วเกิดอะไรขึ้น แต่สุดท้ายการจะทำหรือไม่ทำรัฐประหาร มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาข้อมูลนั้นมาประกอบการตัดสินใจเรายังไงมากกว่า ถามว่ามันช่วยตอบคําถามอย่างนี้ได้มั้ย ก็ช่วยได้ค่ะ คือช่วยในการประกอบการพิจารณา

ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญากับประวัติศาสตร์ความคิด

อันนี้เขาเรียกว่าเป็นคำในเชิงเทคนิค ถ้าเกิดเป็นภาษาอังกฤษก็จะเป็น Intellectual history มี History of Idea มันก็ไม่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องเชิงเทคนิคมากๆ อาจจะลองตอบคำถามก่อนละกันค่ะ ว่าประวัติศาสตร์ความคิดแตกต่างจากประวัติศาสตร์ยังไง

ประวัติศาสตร์เป็นสาขาที่ใหญ่มากในทางมนุษยศาสตร์ คุณสามารถเรียนประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ได้ เรียนประวัติศาสตร์ธุรกิจได้ อย่างที่โคเปนเฮเกนก็มีศูนย์วิจัยประวัติศาสตร์ธุรกิจที่ดังมาก ซึ่งมันก็เชื่อมโยงกับว่าสังคมแบบเดนมาร์กค่อนข้างดังด้านธุรกิจ LEGO บริษัทฟาร์มาซีต่างๆ  ประวัติศาสตร์ความคิดที่เราเรียนก็คือประวัติศาสตร์ปรัชญาการเมือง เราเรียนปรัชญาการเมือง แต่ไม่ได้เรียนในฐานะที่มันเป็นความรู้ที่เป็นสากล แต่เราเรียนในฐานะที่มันเป็นประวัติศาสตร์ อันนี้คือสิ่งที่ตัวเองเรียนมา

ทีนี้กลับมาที่คําถามว่าประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา กับประวัติศาสตร์ความคิดต่างกันยังไง ในภาษาไทยไม่แน่ใจ แต่ว่าในภาษาอังกฤษมันก็จะมี Intellectual history ที่ส่วนตัวไปเรียนมาซึ่งก็มีหลาย school แต่ว่าที่คุ้นเคยคือ (เควนติน สกินเนอร์) Quentin Skinner คือ Intellectual history จะต้องทำความเข้าใจไอเดียภายใต้บริบทประวัติศาสตร์บางอย่าง ไม่มีไอเดียที่คงอยู่ตลอดไปในไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ พูดอย่างนี้อาจจะงง แต่ว่าถ้าเอามาเทียบกับ conceptual history ซึ่งมีรากเหง้ามาจากแถวประเทศที่พูดภาษาเยอรมัน แบบนี้ก็จะมองว่าไอเดียมันคงอยู่ throughout the historical timeline เช่น ดูคําว่าสงครามกลางเมือง civil war มันมีความหมายอย่างไรในประวัติศาสตร์โบราณ พอมาเข้าเรอแนซ็องส์สงครามกลางเมืองเปลี่ยนไปมั้ย แล้วในศตวรรษที่ 11 มันเปลี่ยนไปยังไงบ้าง คือดูหนึ่งไอเดียที่วิ่งไปตาม historical timeline

แต่ว่า Intellectual history ไม่เชื่อว่าการศึกษาแบบนี้มันสมเหตุสมผล Intellectual history เชื่อว่าแม้ว่าหน้าตาของคําว่าสงครามกลางเมืองจะหน้าตาเหมือนกัน แต่ถ้ามันอยู่ในเอกสารของยุคเรอแนซ็องส์ก็จะต้องอ่านบริบทของประวัติศาสตร์คำนั้น เขาพูดถึงยังไงจึงจะเข้าใจว่า มาเคียเวลลี (Niccolo Machiavelli) ที่พูดถึงสงครามกลางเมืองนี่หมายความว่าอะไร ต่อให้เป็นคำเดียวกัน แต่พูดในบริบทประวัติศาสตร์ต่างกัน ก็ไม่ควรมองว่าเป็นไอเดียเดิม คือมันมีสมมติฐานของ Intellectual history กับ conceptual history อันนี้คือในความหมายแบบกว้างมาก แต่มันก็มี school ย่อยลงไปอีก

นักคิดคือหน้าต่างของยุคสมัย

แต่ละคนก็จะมี approach ไม่เหมือนกัน การศึกษาประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาก็มีหลายแบบ สมมติว่าเป็นศาสตราจารย์ที่ฮาร์วาร์ดที่ชื่อว่า เดวิด อาร์มิทาจ (David Armitage) เขาดังเพราะว่าเขาใช้ approach แบบ longue durée คือเค้าดูประวัติศาสตร์ไทม์ไลน์แบบยาวมากๆ แต่ถ้าเป็นที่เรียนมาก็จะเน้นศึกษานักคิดที่อาจจะถูกหลงลืมไปในประวัติศาสตร์

สมมติเรารู้ว่าศตวรรษที่ 18 มีนักปรัชญาการเมืองที่พูดอะไรไว้บ้าง คนส่วนใหญ่ก็อาจจะนึกถึง จอห์น ล็อก หรือ ฌ็อง ฌาคส์ รุสโซ ใช่มั้ยคะ ชื่อแบบที่เราเห็นกันตามตําราทั่วไป ทีนี้ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาแบบที่ตัวเองเรียนมาคือเชื่อว่าการศึกษานักคิดคนหนึ่ง มันเหมือนกับเป็นหน้าต่างในการพาเราไปสู่ยุคนั้น สมมติว่าเราศึกษาศตวรรษที่ 18 ผ่านงานของ อิมมานูเอล คานต์  (Immanuel Kant) เราก็จะได้เห็นศตวรรษที่ 18 แบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นส่วนตัวที่ไปศึกษามาเชื่อว่ายิ่งเราศึกษานักคิดที่เป็นนักคิดนอกกระแส นักคิดที่อาจจะเป็นคนที่ในยุคของเขา เขามีอิทธิพล แต่ว่านักประวัติศาสตร์ไม่เคยหยิบมาพูดมันจะทำให้เราเห็นภาพของยุคนั้นชัดเจนขึ้น คือมันก็จะมี approach ของมัน

ในปัจจุบันเวลาเราพูดถึงอำนาจบริหาร ส่วนตัวไปทำนักคิดคนหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อำนาจบริหารไว้ ถ้ามีพื้นประวัติศาสตร์ มีพื้นรัฐศาสตร์นิดหนึ่งเวลาพูดถึงอำนาจบริหารเราอาจจะเคยได้ยินคําว่า ‘state of exception สภาวะยกเว้น’ เขาก็จะมีหนังสือเรื่อง Taming the Prince ของ ฮาร์วีย์ แมนส์ฟิลด์  (Harvey Mansfield) เป็นนักปรัชญาการเมืองคนสำคัญ ที่เข้าใจว่าเป็นอาจารย์อยู่ที่ฮาร์วาร์ด เป็นพวกรีพับลิกัน เขาก็เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา แล้วทุกคนก็จะบอกว่าเวลาเราจะเข้าใจอำนาจบริหารได้ เราควรจะเข้าใจมันผ่านสภาวะยกเว้น เป็นต้น

แต่ที่ส่วนตัวไปศึกษามา เขาเขียนเกี่ยวกับอำนาจบริหาร แต่เขาไม่ได้มองผ่านกรอบสภาวะยกเว้นคือ พยายามนําเสนอว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นไปได้อื่นๆ ในการทำความเข้าใจทฤษฎีทางรัฐธรรมนูญ เป็นต้น เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ความคิดคือพยายามจะบอกว่ามันมีความเป็นไปได้อื่นๆ ในการคิดเกี่ยวกับคําถามต่างๆ ที่อาจจะถูกหลงลืมไป เพราะว่าองค์ความรู้ต่างๆ ที่เรามีกันอยู่ มันไม่ใช่ความจริงในแง่ว่ามันถูกประกอบสร้างขึ้นมา ถ้านักประวัติศาสตร์มองว่ามันน่าสนใจก็เก็บข้อมูล ประกอบสร้างความรู้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นในแง่นี้มันคือการขยายฐานองค์ความรู้ของสังคม ว่า เฮ้ย มันมีความเป็นไปได้แบบอื่นๆ ที่เราอาจจะหลงลืมมันไปนะ ในฐานะสังคมหนึ่ง

‘พลอยใจ ปิ่นตบแต่ง’ ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา ความนอกรีตและถังความคิดแห่งความเป็นไปได้

There is nothing new under the sun

อาจจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่ qualify พอที่จะตอบคําถามนี้ แต่ว่าส่วนตัวคิดว่าถ้าประวัติศาสตร์จะสอนอะไรเราสักอย่างหนึ่ง แล้วมนุษย์มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกยุคทุกสมัยเพราะฉะนั้นในแง่หนึ่งเขาก็จะมีคําพูดที่ว่า There is nothing new under the sun ในแง่ที่ว่าภายใต้ดวงอาทิตย์นี้มันไม่มีอะไรใหม่ แต่ว่ามันก็มองได้สองแบบ ถ้าเรามองอย่างนั้น เราจะเชื่อว่าองค์ความรู้ทุกอย่างมันมีรากทางประวัติศาสตร์อะไรบางอย่าง มันไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งใหม่แบบใหม่จริงๆ ทุกอย่างมันต้องต่อยอดขึ้นมาจากองค์ความรู้ที่มีอยู่ คือจะมองอย่างนั้นก็ได้

แต่คิดว่าถ้าเราดูประวัติศาสตร์อารยธรรมทั้งหมด ถ้าเรามองกลับไปในยุคสมัยใหม่ ประมาณช่วงศตวรรษที่ 17 18 19 เราเปลี่ยนโลกทัศน์มาเป็นแบบเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางในการสร้างองค์ความรู้ต่างๆ จากที่แต่เดิมมันอาจจะเป็นโลกทัศน์ทางศาสนา แล้วพอมาปัจจุบันนี้แม้แต่การเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางในการสร้างองค์ความรู้เองก็กําลังถูกตั้งคําถามมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น post human แบบหลัง human centric คือเราเริ่มมีปัญหาสิ่งแวดล้อม เราเริ่มมีโจทย์อื่นๆ ที่การเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางในการทำความเข้าใจทุกอย่าง มันเริ่มไม่สมเหตุสมผลแล้ว เพราะฉะนั้นคิดว่าถ้าตราบใดที่มนุษย์ยังอยู่ เราก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ประวัติศาสตร์ความคิดของไทย

จริงๆ มีคนทำงานด้านประวัติศาสตร์ความคิดประมาณหนึ่งในไทยแต่ว่าอาจจะไม่ได้เป็นที่รับรู้ของสังคมมากนัก ถ้าให้ตอบคําถามแบบเร็วที่สุดก็คือ น่าจะตอบว่าจริงๆ แล้วประวัติศาสตร์ความคิดแต่ละกระแสมันเกิดขึ้นเพราะมีนักประวัติศาสตร์ไปเขียนเกี่ยวกับมัน นั่นหมายความว่าถึงไม่มีงานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความคิดไทย ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีประวัติประวัติศาสตร์ความคิดไทย แต่มันยังไม่ได้มีคนเข้าไปสร้าง เป็นประเด็นนั้นมากกว่า

งานวิจัยส่วนหนึ่งที่ตัวเองทำอยู่ก็คือพยายามจะมองประวัติศาสตร์ความคิดไทยในบริบทประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาสากล ดูว่ามันมีความเชื่อมโยงกันยังไง เช่น ถ้าเราไปอ่านคํากราบบังคมทูล ร.ศ.103 ที่เป็นเอกสารสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เราจะพบว่ามันมีการเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญเหมือนกับเครื่องจักร มันก็ไปสอดคล้องกับการคิดแบบศตวรรษที่ 19 ของยุโรปในช่วงนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วส่วนตัวคิดว่าประวัติศาสตร์ความคิดโดยเฉพาะของแต่ละที่ มันไม่ได้แยกขาดจากกัน เพราะว่าโลกเรามันก็ไม่ได้เพิ่งเป็นโลกาภิวัตน์ มันก็มีการแลกเปลี่ยนทางภูมิปัญญากันตลอด

เพราะฉะนั้นถ้าเราสนใจจะศึกษาด้านหนึ่ง เราลองลงไปดูเอกสาร ลองลงไปดูหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เราก็สามารถสร้าง narrative ใหม่ๆ ได้เสมอ แล้วก็คิดว่านั่นคืองานของนักประวัติศาสตร์ความคิดด้วยซํ้า ก็คือการพูดถึงความเป็นไปได้อื่นๆ ว่าจริงแล้วในศตวรรษที่ 18 หรือในศตวรรษที่ 19 มันไม่ได้มีแค่วิธีคิดแบบนี้นะ มันมีวิธีคิดแบบอื่นซ่อนอยู่ด้วย เราอาจจะแค่ยังไม่ได้ลงไปดูหลักฐานเหล่านั้น

การคิดเชิงวิพากษ์ เมื่อประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาทำให้เห็นความเป็นไปได้แบบอื่นๆ 

อาจจะต้องพยายามตอบก่อนว่าการคิดเชิงวิพากษ์คืออะไร เราเห็นมันเต็มไปหมดเลยในทุกหลักสูตร ที่ต้องเขียนและถูกประเมินในประเทศนี้ เรื่องนี้จะรู้สึกอินหน่อย เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงประเมินหลักสูตร การคิดเชิงวิพากษ์มันถูกพูดจนเกร่อไปหมด แต่หลายครั้งก็ไม่ได้นําไปสู่อะไร ถ้าจะถามว่าการคิดเชิงวิพากษ์ต่างกับการคิดเฉยๆ ยังไง มันจะต้องถอยหลังออกไปดูใช่มั้ยคะ คือส่วนตัวไม่รู้ว่าเป็นคําตอบที่จะน่าพอใจสำหรับทุกคนหรือเปล่า หรือว่าเป็นคําตอบที่บางคนก็อาจจะคิดไม่เหมือนก็ได้

การคิดเชิงวิพากษ์คือการตั้งคําถามกับ mode of operation ที่ตอนนี้มันเป็นอยู่ ถ้าเราคิดปกติ หรือที่เราอาจจะเรียกได้ว่าคิดในเชิงกรอบเทคนิคอะไรบางอย่าง สมมติว่ามันมีระบบการเมืองระบบหนึ่ง เราอยากจะลงสมัครเป็น ส.ส. เราก็ต้องคิดว่าเราจะทำยังไงเพื่อที่เราจะได้ตำแหน่งนี้มา เราจะต้องไปหาเสียง เราจะต้องเคาะประตูบ้านเขตไหนบ้าง ต้องไปหาหัวคะแนนคนไหน แต่ว่าถ้าเป็นการคิดเชิงวิพากษ์มันเป็นการถอยออกไปอีกสเตปใหญ่ๆ เลย ก็คือมองว่าระบบการเมืองที่เป็นอยู่ตอนนี้มันสมเหตุสมผลหรือเปล่า มันเป็นการถอยออกไปดูว่า mode of operation ตอนนี้มันควรเปลี่ยนแปลงมั้ย นี่คือส่วนตัวคิดว่าเป็นความต่างระหว่างการคิดเฉยๆ กับการคิดเชิงวิพากษ์ 

ทีนี้ถ้าถามว่าประวัติศาสตร์ความคิดมันไปสัมพันธ์กับทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ยังไง มันก็จะกลับไปคําถามที่เราคุยกันเมื่อก่อน ในที่สุดแล้วประวัติศาสตร์ความคิดมันพยายามจะทำให้เห็นถึงความเป็นไปได้แบบอื่นๆ ที่สังคมอาจจะไม่นึกถึง ไม่ได้มีคนเขียนถึง หรือว่าอาจจะหลงลืมไป เพราะฉะนั้นคิดว่ายังไงมันก็สัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น แล้วก็คิดว่าอันนี้เป็นแก่นของการศึกษาทางประวัติศาสตร์ ก็คือการพยายามเปิดให้สังคมเห็นถึงความเป็นไปได้แบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบไปสัมภาษณ์คนเพิ่ม ไปสัมภาษณ์คนที่อาจจะไม่เคยถูกสัมภาษณ์เลย หรือว่าไปหยิบเอาเอกสารที่ไม่เคยมีคนเปิดอ่านมาก่อน หรือว่าแม้แต่กระทั่งการอ่านเอกสารเดิมด้วยสายตาแบบใหม่ ด้วย approach แบบใหม่ เพราะฉะนั้นคิดว่ามันสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นค่ะ

ไม่มีความคิดนอกรีต แต่คนคิดนอกรีตจ่ายแพงกว่าเสมอ

ไม่มีความคิดอะไรที่มันนอกรีต 100 เปอร์เซ็นต์ นึกไม่ออกด้วยซ้ำ อย่างแม่มดก็นอกรีตเฉพาะยุคกลาง คือคำว่านอกรีตมันมีนัยทางศาสนาใช่มั้ยคะ คิดว่าถ้าอย่างไอเดียเรื่องความนอกรีตในปัจจุบัน ถ้าถามว่าความนอกรีตในปัจจุบันยังมีอยู่มั้ย ส่วนตัวคิดว่าก็น่าจะยังมีอยู่ในสังคมที่เคร่งศาสนาใช่มั้ยคะ เพราะว่าเราเข้ามาสู่ยุคสมัยใหม่แล้ว ทุกคนจะกลายเป็น secular กันหมด แนวคิดแบบนี้ก็ถูกปฏิเสธไปค่อนข้างสักพักหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นคิดว่าถ้าเอาตรงๆ ตัว คําว่านอกรีตแบบที่มีนัยทางศาสนาก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์

(ในบริบทไทย) ถ้าถามว่ามันมีความคิดที่เราถูกห้ามไม่ให้คิดไหม ทุกคนก็ต้องบอกว่าใช่ ใช่ไหมคะ คือนอกรีตแบบอุปมาใช่มั้ยคะ เพราะว่าเราไม่ได้พูดถึงแง่มุมทางศาสนา เราอาจจะพูดถึงแง่มุมการเมือง คือในทุกสังคมมันก็ต้องมี ถ้าจะไม่โกหกตัวเองมากเกินไป

ย้อนกลับไปที่คำอธิบายการคิดเชิงวิพากษ์ซึ่งมันไม่ได้พยายามจะหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะบรรลุผลในระบบที่เป็นอยู่ แต่มันตั้งคําถามว่าระบบที่เป็นอยู่นี้ควรจะถูกเปลี่ยนหรือเปล่า เพราะฉะนั้นคิดว่าไม่ว่าจะในสังคมไหน มันก็จะต้องมีคนที่คิดแบบนี้ คนเหล่านี้แหละเป็นคนที่ทำให้สังคมเปลี่ยนในที่สุด ไม่ว่าจะใช้เวลานานมาก หรือบางคนอาจจะไม่สำเร็จ บางคนอาจจะสูญเสียชีวิตทรัพย์สินและอื่นๆ 

ความคิดไม่เคยตาย

เท่าที่ศึกษามาก็คิดว่าความคิดมันหมดความนิยมลงได้แน่ๆ โดยเฉพาะเมื่อความคิดหนึ่งถูกแทนที่ด้วยความคิดที่มองว่าดีกว่า ถ้านึกถึงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านมาแล้วก็จะพบว่าความคิดมันก็ถูกกดปราบในประมาณหนึ่ง โดยเฉพาะผ่านเครื่องมือของรัฐ แน่นอนว่าวิธีที่ยั่งยืนที่สุดในการเอาความคิดที่เราไม่ต้องการออกคือการเสนอความคิดที่ดีกว่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่วิธีที่ทุกรัฐบาลเลือกที่จะใช้ ถ้ากลับไปที่ตัวคําถาม ส่วนตัวคิดว่าความคิดมันตายได้แน่นอน แต่ว่ามันจะตายจริงๆ เมื่อมันถูกแทนที่ด้วยความคิดที่ดีกว่าค่ะ แต่ว่าปัญหาที่เราเจอกันอยู่ในสังคมไทยคือไม่ใช่ว่าความคิดมันตาย แต่คนที่คิดนี่ตาย หรือว่าสูญเสียจากการคิด ความคิดที่นอกกรอบเหล่านั้น

อย่างอันนี้ย้อนกลับไปที่คําถามที่บอกว่าแบบมันไม่มีความคิดอะไรใหม่ในโลกนี้ใช่ไหมคะ คือในแง่หนึ่ง ทุกแนวคิดมันก็มีประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาของตัวเอง มันไม่ใช่แบบอยู่ดีๆ โทมัส เอดิสัน ประดิษฐ์หลอดไฟขึ้นมาด้วยตัวเองในวันหนึ่ง แต่ว่าเขาก็ต้องยืนบนบ่าของนักวิทยาศาสตร์คนก่อนๆ คือการต่อยอดกันทางองค์ความรู้ ในแง่หนึ่งถ้าบอกว่าความคิดนั้นมันจะตายไป มันก็อาจจะไม่ได้ตายแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ แต่ว่ามันถูกปรับโฉมหรือถูกแทนที่ด้วยความคิดที่ดีกว่า ซึ่งในแง่หนึ่งความคิดที่ดีกว่านั้นมันก็จะไม่เกิดถ้ามันไม่มีความคิดเก่า

‘พลอยใจ ปิ่นตบแต่ง’ ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญา ความนอกรีตและถังความคิดแห่งความเป็นไปได้

ไร้ที่ว่างให้ความคิดเติบโต

ถ้าตอบแบบในบริบทไทยล้วนๆ เลยใช่มั้ยคะ คือเนื่องจากตัวเองเป็นคนที่ทำงานด้านการศึกษาเพราะเป็นอาจารย์ก็รู้สึกว่าการศึกษาไทยนี่เน้นผลิตสิ่งที่เราเรียกว่านักเทคนิคเยอะเกินไปนะคะ นักเทคนิคในที่นี้ก็คือคนที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตัวเอง แล้วก็เป็นเทคนิค เช่น หมอฟันเชี่ยวชาญทางด้านการทำฟันคือมันไม่ใช่ว่านักเทคนิคไม่จําเป็น มันจำเป็นอย่างยิ่งต่อสังคม เช่น คุณเป็นหมอฟัน เป็นวิศวกร เป็นคนที่ทำเฉพาะด้าน เป็นเทคนิคด้านหนึ่งๆ แต่ว่าการศึกษาไทยควรจะเน้นการสร้าง ecosystem ที่ทำให้เกิดความรู้ใหม่มากกว่า 

การศึกษาไทยมีปัญหาในการ control เป็นรัฐไทยที่พยายามควบคุมทุกอย่าง พยายามจะบอกว่าหลักสูตรต้องผลิตบัณฑิตที่มีสมรรถนะตามนี้ ต้องมีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ซึ่งแปลว่าอะไรก็ไม่รู้ในทางปฏิบัติ ในแบบ on the ground ครูจะสอนอะไรเราก็ไม่รู้เลยใช่มั้ยคะ แต่จริงๆ แล้วส่วนตัวคิดว่าเหตุผลที่สังคมเราไม่ได้ผลิตผู้สร้างนวัตกรรม อันนี้ก็เป็นอีกคําหนึ่งที่การศึกษาไทยชอบมาก เพราะว่ารัฐไทยมีลักษณะของความไม่เชื่อใจสูง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านไหนก็ตาม นโยบายทางการเมืองเราเห็นชัดมาก นโยบายทางการศึกษาก็มีลักษณะของการไม่เชื่อใจคือไม่เชื่อว่าการปล่อยคน แล้วก็เอาทรัพยากรให้เขา แล้วก็สร้าง ecosystem ที่มันดี ถ้ารัฐไทยตอบไม่ได้ว่าหลังจากนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น รัฐไทยจะแบบไม่มั่นคง คือมีทัศนคติที่ไม่ค่อยไว้วางใจศักยภาพของคนไทยเท่าไหร่

โดยเฉพาะเยาวชนเราจะเห็นได้จากการพยายามยัดตารางสอนให้มันแน่น คือคุณต้องเรียนเยอะเข้าไว้ก่อน แล้วก็พยายามที่จะกำกับทุกอย่าง ในขณะที่ไอเดียใหม่ๆ มันจะเกิดขึ้นมาได้คนจะต้องมีอิสระในการคิด มีเวลาว่าง ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่รัฐไทยมองว่าจะนําไปสู่อะไร เหมือนกับว่าตอนนี้เราคิดในเชิงเทคนิคมากเกินไปว่าเราต้องการอะไร เราไม่ปล่อยพื้นที่ว่างให้มันเกิดอะไรที่เติบโตด้วยตัวเองได้เลย เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางที่สังคมไทยจะมีคนที่คิดในเชิงวิพากษ์ เพราะว่าทุกอย่างมันถูกกำกับไว้หมดแล้ว รัฐไทยต้องการผลลัพธ์รูปธรรมในทุกอณู

วิธีคิดแบบนี้เมื่อเอามาใช้ในวงการศึกษา มันไม่มีทางสร้างคนที่คิดสร้างสรรค์ได้ค่ะ แล้วพอคนเหล่านั้นจบมาจากระบบการศึกษาเข้ามาในตลาดแรงงาน คนเหล่านั้นก็จะเป็นได้แค่นักเทคนิคคือไม่สามารถคิดอะไรที่ใหม่จริงๆ ได้ แต่ว่าเป็นนักเทคนิคที่เก่งมาก เป็นคนที่สามารถเข้าไปเซิร์ฟ มันก็จะสะท้อนออกมาในตัวเลขจีดีพีของเรา ถ้าเราไปดูในเซ็กเตอร์อุตสาหกรรม ประเทศเราก็เป็นได้แค่ประเทศที่ผลิตชิ้นส่วนให้กับบริษัทใหญ่อื่นๆ 

ในแง่หนึ่งมันเป็นเรื่องของนโยบายทางเศรษฐกิจด้วยที่ประเทศเราก็ไม่ได้ให้โอกาสกับรายย่อย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าในทางการศึกษา ส่วนตัวคิดว่ามีปัญหาคือมันไม่ได้เอื้อให้คนคิดและทำอะไรใหม่ๆ แต่ว่ามันมีการพยายามจะเข้าไปกำกับในทุกอย่าง ตั้งแต่การออกแบบหลักสูตร ชีวิตของนักเรียนคนหนึ่ง ถ้าจบระบบไทยมาจะชินกับการที่ทุกอย่างจะต้องมี instruction ชัดเจนว่าหลังจากนี้ฉันต้องทำอะไร แล้วคนแบบนี้ไม่มีทางผลิตนวัตกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่การศึกษาไทยชอบมาก

รัฐต้องหยุดควบคุมและสร้าง ecosystem ที่เอื้อการเรียนรู้

ส่วนตัวคิดว่าจริงๆ ประเทศเรามีคนมีความสามารถเยอะมาก แต่ว่าด้วยความที่ระบบ ecosystem ของภาคธุรกิจ มันไม่ได้เอื้อให้รายย่อยสามารถเติบโตได้ อย่างที่บอกก็คือ สมมติว่าถ้าเราไปดูโครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่เข้ามาพยายามจะมาทำความร่วมมือกับระดับอุดมศึกษา พยายามจะให้ทุน โยนทุนไป 10 ล้าน สมมติ pitch project เข้ามา project นวัตกรรม แต่ว่ามันไม่ได้มีความไว้วางใจที่จะให้เอาทุนเหล่านั้นไปใช้โดยเอกชนจริงๆ

เราจะเห็นว่าทิศทางของ อว. (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) คือ พยายามจะให้นักวิชาการ ซึ่งสอนหนังสืออยู่แล้ว วิจัยก็ทำ มาผลิตนวัตกรรมอะไรก็ไม่รู้ แล้วมันก็ออกมาแบบครึ่งบกครึ่งน้ำ มันไม่ได้ คือ on paper มันดูดี มีชื่อโครงการ มีอะไรออกมา ภาครัฐเข้าใจว่าแค่โยนเงินมาแล้วบังคับทำให้เกิดนวัตกรรมขึ้นมา แต่ว่าสิ่งที่รัฐควรจะเข้าใจบทบาทตัวเองสมัยนี้คือ รัฐมีหน้าที่ facilitate ในเมื่อตัวเองไม่มีเทคโนแครตที่เชี่ยวชาญด้านนี้ ก็อย่าฝืน ควรจะเอื้อให้มันเกิด ecosystem เช่น อาจจะช่วยเรื่องมาตรการทางด้านภาษี ช่วยในการสร้างสถานที่ที่จะบ่มเพาะการคิดเชิงสร้างสรรค์ เช่น พิพิธภัณฑ์ public space infrastructure เหล่านี้ต่างหากที่จําเป็นสำหรับสังคมที่จะผลิตนวัตกรรมออกมาได้

รัฐไทยอย่างที่บอก ถ้าเปรียบก็คือมันจะมีโจ๊กกันใช่มั้ยคะ ไม่รู้เคยอ่าน The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy หรือเปล่า เป็น sci-fi classic เรื่องหนึ่ง ก็จะมีโจ๊กว่า เขาจะขับจรวดขึ้นไปในอวกาศ แล้วก็มีโน้ตแปะเอาไว้ตรงแดชบอร์ดว่า Don’t panic คือนึกสภาพของคนที่กําลังแพนิค แล้วก็ถูกตะโกนใส่ว่าอย่าแพนิคนะคือมันก็จะยิ่งแพนิคใช่มั้ยคะ การสร้างนวัตกรรม คุณสั่งไม่ได้ คุณสร้าง ecosystem ได้ แต่คุณสั่งชี้ให้คนนี้สร้างนวัตกรรม จงคิดอย่างสร้างสรรค์ สั่งให้คนคิดอย่างสร้างสรรค์นี่มันย้อนแย้งกันในตัวเอง

เพราะว่าความคิดสร้างสรรค์ในตัวของมันเองจะต้องเกิดมาจาก initiate ของคนนั้น สมมติอยากจะให้ลูกเป็นเด็กคิดสร้างสรรค์เราจะไปบังคับให้เขาเรียนศิลปะ 8 โมงเช้าถึงสองทุ่มอย่างนี้  คือมันบังคับกันไม่ได้เรื่องแบบนี้ แต่ว่ารัฐไทยอย่างที่บอกคืออยากจะควบคุมไปเสียทุกอณูเลย มันขัดแย้งกันกับการเจริญงอกงามของศิลปวัฒนธรรม นวัตกรรมทุกอย่าง รัฐควรจะมองบทบาทตัวเองเสียใหม่ค่ะ

องค์ความรู้ต้องเข้าถึงง่าย

การส่งเสริมการคิดใหม่ๆ ทั้งหมด สิ่งที่จะช่วยได้มากๆ เลยก็คือ การสร้างองค์ความรู้ที่มันเข้าถึงง่าย โดยทุกคนในสังคม ปัญหาของสังคมไทยอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่มีการจัดการองค์ความรู้ที่ดีค่ะ คือในฐานะนักประวัติศาสตร์ ปรากฏว่าเราศึกษาประวัติศาสตร์ตะวันตก เราทำงานง่ายมากเพราะมี archive base เก็บพวกเอกสารชั้นต้นไว้หมดแล้ว

ในขณะที่โอ้โห ลองไปหอสมุดแห่งชาตินะคะ เอกสารที่สัก 20 ปีก่อนเคยเข้าถึงได้เดี๋ยวนี้ อ้าว เข้าถึงไม่ได้แล้วจะต้องทำจดหมาย สังคมไทยไม่มีการจัดองค์ความรู้ที่เป็นระบบ เข้าถึงง่าย แล้วก็เอื้อประโยชน์ต่อผู้ใช้ ทุกอย่างเป็นอุปสรรคในทุกขั้นตอนจะต้องโทรไปหาคนโน้น จะต้องแจ้งเจตจํานงว่าทําไมถึงอยากจะได้บันทึกประชุมสภาของปีนั้นๆ คุณมีความต้องการอะไร มันเป็นอุปสรรคในตั้งแต่ขั้นตอนแรก เพราะฉะนั้นมันไม่เอื้อให้คนอยากศึกษาข้อมูลเชิงลึกค่ะ มันไม่บ่มเพาะความเป็นนักวิจัยของประชากร

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก