‘คนดี’ ที่ไหนจะอยากสุงสิงกับ ‘คนเลว’ บาปเหมือนใบมีดโกนเย็นเฉียบ รอยบาดของมันลบไม่ออก แผลเป็นจากบาปทำให้คนดีแปดเปื้อนและถูกคนดีด้วยกันรังเกียจ หนทางปลอดภัยที่สุดคือการเสือกไสคนบาปออกไปให้ไกลจากตัว
โธเบียสผู้ต้องการเดินทางไปแสวงบุญ ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขามาไม่ทันเรืออันงดงามของเหล่านักแสวงบุญคนอื่นๆ ไม่มีทางเลือก ความศรัทธาของเขาแรงกล้าเกินกว่าจะละทิ้งการเดินทางให้เนิ่นช้า เขาเลือกก้าวขึ้นเรือของโจรสลัด ยกทรัพย์สินติดตัวทั้งหมดให้เป็นค่าเดินทางแลกกับคำสัตย์ว่าจะพาเขาสู่จุดหมาย
คำสัตย์ของโจรสลัด!
ทว่า จิตใจของนักแสวงบุญกลับสงบนิ่งบนเรือของเหล่าคนบาป
น่าสงสัยว่าเมื่อโธเบียสเดินทางถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ถูกทะเลกลืนกิน นักแสวงบุญคนอื่นๆ จะมองเขาด้วยสายตาแบบไหน คนบาปหรือนักแสวงบุญ?
พาร์ ลอเกอร์คริสต์ (Pär Lagerkvist) นักเขียนรางวัลโนเบลปี 1950 ชาวสวีเดน คือผู้เสกสรรเรื่องราวชวนขัดแย้งและกระอักกระอ่วนใน ‘Pilgrim at Sea’ หรือ ‘เรือบาปของนักแสวงบุญ’ ไม่ได้ให้คำตอบไว้ว่าทำไมเมื่อเรือของโจรสลัดแล่นมาทันเรือของนักแสวงบุญ โธเบียสจึงไม่ยอมเปลี่ยนเรือ ยินยอมเดินทางร่วมกับคนโสมมบนเรือโสโครก
เรือโจรสลัดเดินทางต่อจนมาเจอกับเรืออัปปางของเหล่าพ่อค้าวาณิชย์ที่คอยความช่วยเหลือ โจรก็คือโจร พวกเขาซื่อสัตย์ต่อผลประโยชน์อย่างภักดี เห็นแก่ตัวอย่างเปิดเผย ทรัพย์สินทั้งหมดที่เหลืออยู่จะต้องเป็นของพวกเขาแลกกับการช่วยชีวิต แต่เหล่าพ่อค้ายอมรับข้อเสนอนี้ไม่ได้ มันแพงเกินไป จบลงด้วยการต่อสู้และพ่ายแพ้ โจรสลัดช่วงชิงทรัพย์สินทั้งหมดไป ยกเว้นชีวิตของพวกพ่อค้าที่ไม่มีค่าพอจะสังหารหรือขนขึ้นเรือ
ขณะที่บนเรือมีโธเบียสผู้ต้องการใกล้ชิดพระเจ้า ยังมีอีกคนหนึ่งที่ในอดีตเคยใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งกว่า และเมินหนีพระเจ้ายิ่งกว่าใครในปัจจุบัน จิโอวานนี อดีตนักบวชผู้คอยชี้เส้นทางสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แก่ฝูงแกะ ลูกชายของหญิงผู้เปี่ยมศรัทธาแก่กล้าที่ยกเขาให้กับโบสถ์ ปูเส้นทางให้เขาได้เป็นผู้รับใช้พระเจ้าเพื่อพิสูจน์ศรัทธาของเธอ
จิโอวานนีวัยหนุ่มรู้จักถ้อยคำในไบเบิ้ลและพระเจ้ามากกว่ารู้จักโลกและชีวิต เขาก้าวสู่อาราม บำเพ็ญพรต ถือพรหมจรรย์ตามที่แม่ของเขาต้องการ สถานการณ์ชักพาพระหนุ่มให้ต้องทำหน้าที่รับฟังคำสารภาพบาปของหญิงสาวนางหนึ่งเพราะเธอหลงรักชายหนุ่มมีเจ้าของ
น้ำเสียงกับแสงสลัวของเปลวไฟยามราตรีเป่ามนต์ใส่จิโอวานนี เขาหลงรักหญิงสาวทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าค่าตา คืนหนึ่งเขาตัดสินใจสะกดรอยตามเธอ มันจบลงด้วยการร่วมรักเร่าร้อน พลันที่ทั้งสองเห็นหน้ากัน จิโอวานนีพบว่าหญิงที่ตนหลงรักต่างจากความงดงามในจินตนาการของเขา ส่วนหญิงสาวก็ตื่นตระหนกว่าเหตุใดชายแปลกหน้าถึงนอนอยู่ข้างเธอแทนที่จะเป็นชายที่เธอแอบรัก
ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ยังแอบพบกันเพื่อเสพสังวาส ราคะคือน้ำแข็งเยียบเย็น เมื่อสัมผัสมือจะถูกตรึงติด รู้ทั้งรู้ว่าอาจเลือดตกยางออกถ้าต้องการดึงมือกลับ
ไม่มีความลับในสายตาของพระเจ้าและยิ่งไม่มีความลับในสายตาสอดรู้ของพระคนอื่น ชาวเมือง และโดยเฉพาะแม่ของเขา จิโอวานนีถูกจับได้ ถูกไต่สวน หรืออันที่จริงควรจะเรียกว่าถูกพิพากษาไปแล้วมากกว่า ฝ่ายหญิงเป็นลูกของผู้สูงศักดิ์ในเมือง บาปแห่งการผิดประเวณีจึงถูกเมินเฉยจากโบสถ์ ซ้ำเธอยังปรักปรำเขา
จิโอวานนีถูกขับออกจากความเป็นพระ ความเศร้าสลดสุดซึ้งคือแม่ผู้ศรัทธาในพระเจ้าของเขา หลังจากเธอมอบเขาให้แก่พระเจ้าไม่สำเร็จ เธอก็มอบเขาให้แก่ซาตาน ผ่านการดูถูก ถากถาง ชิงชัง พยาบาทลูกชายของตนผู้ทำให้ศรัทธาของเธอแปดเปื้อน ชาวเมืองมองเขาเป็นขยะที่ควรถูกฝังกลบให้พ้นหูพ้นตา
น่าสงสัย หากพระเจ้าทรงฤทธานุภาพสูงสุด ทุกเหตุการณ์ย่อมถูกกำหนดไว้แล้วมิใช่หรือ? มันเป็นความผิด ของใครกันล่ะ?
ไม่มีที่ยืนให้คนบาปในดงคนดี จิโอวานนีเลือกหันหลังให้แม่ ชาวเมือง และแน่นอน พระเจ้า รู้อีกทีเขาก็มาอยู่บนเรือโจรสลัดที่ท่องไปในท้องทะเลอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจริงแท้เสียยิ่งกว่าชายผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน
“มันทำให้ผมพอใจในสภาพของตัวเอง ที่ซึ่งชีวิตไม่เป็นระเบียบ โหดร้ายและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด และอาจจะหาความซื่อสัตย์ไม่พบ แต่อย่างน้อยที่นี่ไม่มีการโกหก ท่ามกลางทะเลอันเวิ้งว้าง ไม่แยแสอะไรทั้งหมด ไม่สนใจสิ่งไหนไม่ว่าจะเป็นซาตานหรือพระเจ้าซึ่งไม่ใช่มนุษย์ และนั่นกลับเป็นเรื่องที่ดีเสียอีก เราต้องรู้สึกเช่นนั้น ถ้าเราเรียนรู้ที่จะรู้จักผู้คน หญิงโสเภณีที่ท่าเรือไม่เคยเสแสร้งที่จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้นอกจากเป็นหญิงโสเภณี พวกหล่อนทำให้ผมพอใจเป็นที่สุดกับลีลาร่วมรักที่ช่ำชองอย่างสัตย์ซื่อของพวกหล่อน”
มนุษย์อ้างอิงศีลธรรม คุณงามความดี จากพระเจ้า จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากคำสอนของศาสดา จากสิ่งนามธรรมประดามี จากคนที่อยู่เหนือกว่าเพียงเพราะตนยินยอมก้มหัวให้ คงไม่ใช่เพราะมนุษย์ไร้ศักยภาพจะสร้างมันด้วยตัวเอง แต่เป็นไปได้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูถูกตัวเองเกินไป
จีโอวานนีถามโธเบียสว่าทำไมถึงอยากไปที่นั่น ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ โธเบียสตอบว่า
“ไม่ต้องสงสัย มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ”