นักเรียนที่โรงเรียน ฮิเดนกิวิ (Hiidenkivi Comprehensive School) ประเทศฟินแลนด์ ไม่ได้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเรียนรู้เรื่องราวที่คนอื่นค้นพบมาแล้ว แต่พวกเขากำลังเรียนรู้เพื่อค้นพบสิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวของเขาเอง
เด็กนักเรียนใช้เวลา 9 สัปดาห์ไปกับโครงการแบบสหวิทยาการที่ชาวฟินแลนด์เรียกว่า ‘การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน’ หรือ Phenomenon-based Learning ซึ่งเป็นคำที่ประดิษฐ์สร้างขึ้นมาโดยสำนักงานการศึกษาแห่งชาติฟินแลนด์
อันที่จริง การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน นั้นมีความใกล้เคียงอย่างมากกับ ‘การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน’ (หรือการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงาน) ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันแพร่หลายในสหรัฐ แนวคิดทั้งสองแบบนี้ให้ความสำคัญกับการลงมือปฏิบัติจริงหรือกิจกรรมที่ลงมือทำจริง เปิดให้ผู้เรียนเป็นคนกำหนดและควบคุมทิศทางของโครงการซึ่งสัมพันธ์กับโลกที่เป็นจริง เน้นให้ผู้เรียนรู้จักการใช้ทักษะหลากหลายผสมผสานกัน มากกว่าการยึดติดอยู่กับความรู้ที่ครูสอนหรือครูเป็นผู้กำหนด
การเรียนรู้แบบเปิดกว้างเช่นนี้ทำให้เด็กๆ มีอิสระมากขึ้นในการสำรวจค้นหาหัวข้อที่พวกเขาสนใจที่สุดอย่างแท้จริง ในกรณีของฟินแลนด์ การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องใช้ความรู้ผสมผสานแบบสหวิทยาการ ซึ่งจะต้องไม่มีข้อยกเว้น และคำถามที่อยากรู้ต้องเกิดขึ้นจากตัวของผู้เรียนจริงๆ ประเด็นนี้ทำให้มันมีลักษณะบางอย่างที่เหมือนกับ ‘การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน’ หรือ Problem-based Learning
ในงานประชุมวิชาการว่าด้วยการศึกษาโลก ที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเซตต์ เพตเทอรี่ อีโล (Petteri Elo) ซึ่งสอนอยู่ที่โรงเรียนฮิเดนกิวิมานานกว่า 12 ปี อธิบายให้เห็นว่าการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานทำงานอย่างไร เขาบอกว่าขณะที่หน่วยงานด้านการศึกษาของฟินแลนด์เรียกร้องให้ทุกโรงเรียนจัดให้มีกิจกรรมที่ใช้กระบวนการการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานอย่างน้อยปีละ 1 กิจกรรม แต่บรรดาโรงเรียนและครูต่างก็ลงมือจัดการเรียนการสอนโดยใช้แนวคิดนี้กันไปแล้วอย่างกว้างขวาง
ที่โรงเรียนฮิเดนกิวิ นักเรียนชั้นประถม 1 จนถึงมัธยม 3 ใช้กระบวนการเรียนรู้นี้ตลอด 9 สัปดาห์ในหนึ่งปีการศึกษา ผ่านเนื้อหา 4 สาระวิชาในลักษณะสหวิทยาการ ตัวอย่างเช่นเมื่อนักเรียนสนใจเลือกเรียนหัวข้อ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ครูในกลุ่มสาระวิชาฟิสิกส์ เคมี ภูมิศาสตร์ และคณิตศาสตร์ จะมาร่วมกันออกแบบการจัดการเรียนการสอน อาทิ ในวิชาภูมิศาสตร์ นักเรียนจะได้เรียนรู้เรื่องทวีปอาร์กติกและภาวะโลกร้อน ส่วนวิชาคณิตศาสตร์พวกเขาได้ฝึกฝนเรื่องของการคำนวณหาค่าสถิติต่างๆ ที่สะท้อนถึงประเด็นหัวข้อดังกล่าว
อีโล เป็นครูที่เก่งที่สุดในการนำเอาแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานมาใช้จัดการเรียนการสอน แต่เพื่อนร่วมงานบางคนก็ไม่เต็มใจยอมรับเท่าไรนัก เพราะโดยปกติแล้วการจัดการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษานั้น ครูส่วนใหญ่มักจะสอนในวิชาที่พวกเขามีความเชี่ยวชาญ จึงเป็นเรื่องค่อนข้างยุ่งยากที่จะปรับมาใช้วิธีผสานโครงการที่มีลักษณะสหวิทยาการ เพื่อนครูของอีโลจึงไม่ค่อยอยากจะเปลี่ยนแปลง และบ่ายเบี่ยงดึงดัน (แบบทึกทักเอาเอง) ว่าพวกเขาก็ทำสิ่งที่ไม่ได้แตกต่างกันคือใช้วิธีการสอนที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
“เมื่อไรก็ตามที่คุณบอกว่าจัดการเรียนการสอนโดยมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แล้วคิดว่ามันคือการสอนโดยที่ครูไม่ต้องเข้าไปทำอะไรมาก แค่ถอยออกมา แล้วปล่อยให้นักเรียนคิดโครงงานและลงมือทำสิ่งต่างๆ เอง ความคิดและวิธีการเช่นนี้ไม่ถูกต้อง”
อีโลบอกว่า การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานนั้น ครูต้องมั่นใจว่านักเรียนจะได้รับความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต้องรู้ตามหัวข้อหรือเรื่องต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ในหลักสูตร ครูต้องสามารถไตร่ตรองถึงคำถามที่จะใช้ในการศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่เด็กนักเรียนให้ความสนใจ ครูต้องมีบทบาทในการสอนนักเรียนว่าทำอย่างไรจึงจะสร้างหรือได้มาซึ่งคำถามวิจัยที่เหมาะสม และครูต้องสามารถแนะนำนักเรียนไปสู่กระบวนการค้นคว้าที่น่าสนใจ รวมถึงการให้พวกเขาได้ลงมือทำหรือทดลองทำวิจัยแบบง่ายๆ
กระนั้นก็ดี ในบางจังหวะครูอาจจำเป็นต้องหยุดกระบวนการค้นคว้าของนักเรียนไว้ชั่วขณะ เพื่อที่จะสอนและช่วยแนะนำทักษะหรือสร้างตัวแบบการใช้ทักษะที่หลากหลายให้กับผู้เรียน เพื่อให้นักเรียนนำไปใช้ในกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นของพวกเขาเอง
อีโลพบว่าตัวเขาได้เปลี่ยนมุมมองจากวิธีการสอนแบบ ‘สั่งสอนทางตรง’ ไปเป็นการยื่นมือออกไปช่วยเหลือนักเรียนเมื่อพวกเขาต้องการ ประเด็นนี้สำคัญมากเพราะการถอยกลับสลับเดินหน้าเช่นนี้ทำให้นักเรียนมั่นใจได้ว่าจะได้รับทักษะและเนื้อหาสาระที่กำหนดไว้อย่างถูกต้องครบถ้วนในโครงงานของเขา ตัวอย่างความช่วยเหลือจากครูก็เช่น ครูจะช่วยนักเรียนเตรียมคำถามสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ในการสัมภาษณ์จริงก็ปล่อยให้นักเรียนดำเนินการซักถามด้วยตัวพวกเขาเอง
การเรียนรู้รูปแบบนี้ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกระบวนการล้วนเป็นสิ่งสำคัญต่อตัวผู้เรียน ตั้งแต่วิธีการตั้งโจทย์คำถาม การค้นคว้า การทดลองลงมือทำ ไปจนถึงวิธีการหาคำตอบ นี่คือเป้าหมายซึ่งเป็นหัวใจของการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน
“ผมจะถอนตัวออกมาเมื่อเห็นว่าเด็กๆ เริ่มไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผมแล้ว นั่นก็คือ ณ เวลาซึ่งพวกเขาได้ค้นพบวิธีการเรียนรู้ที่เป็นแบบฉบับของเขาเอง”
อีโลบอกว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่เขาอยากทดลองทำในห้องเรียน
“ในความคิดของผม ผมกำลังสอนและกำลังสร้างตัวแบบการสอน แต่ผมไม่ได้สอนเนื้อหาสาระวิชาความรู้หรอกนะ มันคือการสอนและสร้างทักษะให้กับเด็กๆ ต่างหาก”
ที่มา
The Teacher’s Role in Finland’s Phenomenon-based Learning [Online]
สนใจแนวคิดเรื่อง การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน (Phenomenon-based Learning) ดูที่ https://hechingerreport.org/the-teachers-role-in-phenomenon-based-learning/
เนื้อหาเกี่ยวกับ Phenomenon-based Learning ผลิตโดย The Hechinger Report องค์กรข่าวสารอิสระและไม่แสวงหากำไร นำเสนอสาระด้านนวัตกรรมการศึกษาและปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ผู้ที่สนใจคลิกดูที่ https://hechingerreport.org/