‘ลอกคราบพุทธแท้’ การลงแดงทางความเชื่อที่ไม่เคยถูกเติมเต็ม

28 views
4 mins
May 7, 2025

          คลื่นพลังบุญ เชื่อมจิต พระจีวรดำ ร่างทรงพ่อปู่ไจแอนท์ ร่างทรงผีอีแพง ร่างทรงเจ้าแม่เมดูซ่า ฯลฯ เชื่อเถอะว่าในอนาคต ลัทธิความเชื่อทำนองนี้ที่ทั้งอิงและไม่อิงกับศาสนาจะปรากฏขึ้นอีกตราบใดที่จิตใจมนุษย์ยังต้องการสิ่งยึดเหนี่ยว

          บรรดาแนวคิดหรือลัทธิไม่ว่าจะผนวกแนวคำสอนของพุทธศาสนาเข้าไปหรือไม่ เมื่อเป็นข่าวในโลกโซเชียล คอมเมนต์มักไปในทิศทางเดียวกันคือไร้สาระ งมงาย โดนหลอก และเหล่าสาวกถูกมองด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน การจะบอกว่าอะไรไร้สาระหรือไม่ย่อมต้องมีตัวตัดเปรียบ หนึ่งในตัวตัดเปรียบที่สำคัญหนีไม่พ้นศาสนาพุทธซึ่งฝังรากลึกและแผ่กว้างในสังคมไทย

          โดยเฉพาะชนชั้นกลางไทยที่มีอุปนิสัยไขว่คว้าหา ‘พุทธแท้’ ด้วยแล้ว ลัทธิที่เป็น ‘พุทธเทียม’ หรือ ‘ไม่พุทธ’ ย่อมถูกกีดกันออกจากพุทธกระแสหลัก (แต่ก็ไม่เสมอไป) ถึงกระนั้นก็มีความขัดแย้งจนชวนประหลาดใจที่พุทธศาสนาชนชั้นกลางไทย “ไม่ได้ปลอดจากการถูกบงการโดยรัฐ” หมายความว่าชนชั้นกลางไทยที่เชื่อมั่นในวิจารณญาณของตนต่อพุทธศาสนานั้น เอาเข้าจริงก็หนีไม่พ้นการถูกครอบงำจากรัฐซึ่งใหญ่โตกว่าและซึมลึกยิ่งกว่าลัทธิต่างๆ เสียอีก

          พร้อมกับถูกใส่โปรแกรมเสร็จสรรพว่าความจริง ความดี ความงามที่รัฐไทยสถาปนาผ่านพุทธศาสนาเป็นสิ่งอันล่วงละเมิดมิได้ หากใครบังอาจ พุทธชนชั้นกลางไทยก็พร้อมกำจัดสิ่งแปลกปลอมชนิดไม่แคร์หลักธรรมเรื่องความเมตตาหรือเรื่องไหนๆ

          พุทธศาสนาชนชั้นกลางไทยไม่ได้ปลอดจากการถูกบงการโดยรัฐ เป็นสมมติฐานของหนังสือ ‘ลอกคราบพุทธแท้ ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาชนชั้นกลางไทยร่วมสมัย’ เขียนโดย อาสา คำภา ผู้เขียนไล่ลำดับพุทธไทยตั้งแต่การแยกธรรมยุติกนิกายในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยปฏิวัติ 2475 ถึงเหตุการณ์การเมืองร่วมสมัยที่พระสงฆ์จำนวนหนึ่งเข้าไปสนับสนุนการชุมนุมของ กปปส. หรือคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วตั้งคำถามต่อพุทธชนชั้นกลางไทยที่ดูจะยักแย่ยักยันอยู่ในหล่มจารีต ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับแนวทางเสรีนิยมประชาธิปไตย การจัดเรียงเช่นนี้ช่วยให้เห็นวิวัฒนาการของพุทธศาสนาชนชั้นกลางไทยอย่างเป็นระบบตามพัฒนาการของสังคมไทย

          ก่อนที่บทความนี้จะเผยแพร่ หนังสือเล่มนี้คงถูกรีวิวไปหลายครั้งแล้ว ผมจึงขอหยิบเอาบางเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังแทนที่จะพูดถึงหนังสือทั้งเล่ม

          เริ่มกันที่ศีล 5 และกฎแห่งกรรม อาสาอธิบายว่าความคิดเรื่องศีล 5 เริ่มมีอิทธิพลสูงขึ้นหลังปี 2500 มันแพร่กระจายไปกับระบบการศึกษาของรัฐ พร้อมๆ กับการเติบโตของแนวคิดบริโภคนิยม-วัตถุนิยม ถ้าคุณสนใจพุทธศาสนาต้องเคยเจอแนวคิดประมาณว่าศีล 5 เป็นศีลธรรมพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ไกลกว่านั้นก็คือหากมีศีล 5 เสียอย่าง สิทธิมนุษยชนหรือปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติก็ไม่มีความจำเป็น

          แล้วเรื่องกฎแห่งกรรมล่ะ? ทำไมพุทธไทยจึงเชื่อกฎแห่งกรรมอย่างไม่ลังเลหรือตั้งคำถาม ผู้เขียนอ้างอิงคำอธิบายของพระไพศาล วิสาโล

“แนวคิดเรื่องบุญกรรมยังดูจะเป็นคำตอบสำเร็จรูป เนื่องจากมนุษย์เราต้องการหาคำอธิบายที่ตอบคำถามได้ทุกเรื่อง ซึ่งความคิดเรื่องอดีตชาติ บุญ กรรม สามารถใช้อธิบายได้ง่ายว่าเหตุใดเราจึงเกิดมารวยจนไม่เหมือนกัน อายุยาวสั้นไม่เหมือนกัน นี้เองที่ทำให้ความเชื่อเรื่องกรรมในอดีตชาติจึงเป็นคำตอบที่ใช้งานได้อยู่เสมอ”

          ขณะเดียวกันก็มีงานศึกษามากมายที่ชี้ให้เห็นว่า กฎแห่งกรรมทำให้ผู้คนละเลยปัญหาเชิงโครงสร้าง เมื่อเผชิญความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม ความไม่เท่าเทียม ยินดีก้มหน้ายอมรับเพราะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เกิดจากกรรมที่ตนเคยทำในอดีตชาติ ฝากความหวังไว้กับอนาคตชาติว่าชีวิตจะดีขึ้น

          หรือลองสังเกตจากข่าวที่ประชาชนทั่วไปถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมโดยรัฐหรือผู้มีสถานะทางเศรษฐกิจเหนือกว่าในโซเชียลมีเดีย คอมเมนต์หนึ่งที่เราเห็นบ่อยๆ คือ ‘กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ’ ซึ่งถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเท็จมากกว่าเป็นจริง ที่สำคัญยิ่งกว่าเราไม่ควรปล่อยให้การลงโทษผู้กระทำผิดเป็นหน้าที่ของกรรม

‘ลอกคราบพุทธแท้’ การลงแดงทางความเชื่อที่ไม่เคยถูกเติมเต็ม

          ถึงกระนั้น พุทธศาสนาชนชั้นกลางไทยก็มีพลวัตแปรเปลี่ยนไปตามสภาพสังคม-เศรษฐกิจ เราพบแนวคิดที่แตกต่างจากพุทธกระแสหลักอย่างพุทธทาส สันติอโศก และธรรมกาย ซึ่งมีเสน่ห์ดึงดูดชนชั้นกลางไทย เราพบการเสาะแสวงหาหรือแม้กระทั่งชอปปิงครูบาอาจารย์ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเพื่อส่องทางแห่งการพ้นทุกข์ เราพบหนังสือธรรมะเบสต์เซลเลอร์ที่เขียนโดยฆราวาสที่กล่าวว่าอ้างอิงมาจากพระไตรปิฎกหรือจากผู้เขียนที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์หลอมรวมวิทยาศาสตร์กับศาสนาพุทธเข้าด้วยกัน เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าพระพุทธเจ้ารู้ทุกสิ่ง รู้มาก่อน และศาสนาพุทธคือแหล่งความรู้อันยิ่งใหญ่ที่สามารถตอบทุกโจทย์บนโลกได้

          แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังอยู่ภายใต้โครงสร้างเก่าๆ เรื่องเล่าเดิมๆ หนีไม่พ้นเรื่องศีล 5 และกฎแห่งกรรม ไม่ได้พยายามท้าทายโครงสร้างอำนาจรัฐเพื่อขยับให้พุทธศาสนารับใช้ผู้คนและร่วมเปลี่ยนแปลงสังคม อาสาใช้พื้นที่บทสุดท้ายที่ชื่อว่า ‘พุทธศาสนาชนชั้นกลางไทย ในอารมณ์ความรู้สึกก้าวไม่ถึงและไปไม่สุดของเสรีนิยมประชาธิปไตย’ กล่าวถึงประเด็นนี้

“มีข้อสังเกตมานานแล้วว่า ทัศนะของพระสงฆ์ ประกาศกผู้เป็นที่เคารพยกย่องของชาวพุทธชนชั้นกลางไทย ส่วนใหญ่แล้วมักสะท้อนทัศนะเรื่องความดีงามเชิงปัจเจก ที่เน้นการพัฒนาปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นพร้อมๆ กับการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ กระนั้นก็ตาม ความดีงามเชิงปัจเจกดูจะมีผลตอบสนองต่อจิตวิญญาณ ‘ภายใน’ ของบุคคล พร้อมๆ กับการมีมาตรวัดทางศีลธรรมบางอย่าง ทว่าไม่ใช่คำตอบที่จะนำไปสู่การขยับปรับเปลี่ยนปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม”

          นอกจากพุทธศาสนาชนชั้นกลางไทยจะละเลยปัญหาเชิงโครงสร้างแล้ว ในทางตรงกันข้ามยังให้ความสำคัญกับปัจเจกอย่างยิ่งบนฐานคิดที่ว่า ถ้าทุกคนเป็น ‘คนดี’ แล้วสังคมจะดีเอง ‘คนดี’ สำคัญกว่าทุกสิ่ง ซึ่งตีความได้ว่าสังคมจะปกครองด้วยระบอบใดก็ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ปกครองต้องเป็น ‘คนดี’ หรือจะเป็นเผด็จการก็ยังได้ หากต้องเป็น ‘เผด็จการโดยธรรม’ หรือ ‘เผด็จการโดยคนดี’

          ‘คนดี’ กลายเป็นปัญหาคาราคาซังมาตั้งแต่ช่วงรัฐประหาร 2549 ถึงปัจจุบัน ซึ่งคุณสมบัติของ ‘คนดี’ ในทัศนะพุทธชนชั้นกลางไทยไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหาศีลธรรมข้อใดในพระไตรปิฎก แค่ต้องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ก็ถือว่าเพียงพอ

          อาการหมกมุ่นกับ ‘พุทธแท้’-‘พุทธเทียม’ และ ‘พระแท้’-‘พระเทียม’ ยังลดทอนความหลากหลายในการตีความคำสอนและแนวทางปฏิบัติ (มิพักต้องพูดถึงบรรดาลัทธิร่างทรงต่างๆ ที่ถือเป็นไสยศาสตร์และไม่พุทธ) โดยมีตำรวจความคิดหรือมหาเถรสมาคมเป็นผู้สอดส่องชี้ถูกชี้ผิด ความหมกมุ่นนี้สร้างความผิดหวังให้แก่พุทธชนชั้นกลางไทยเป็นประจำเนื่องจาก ‘พระแท้’ จำนวนหนึ่งเปลี่ยนเป็น ‘พระฉาว’ 

          (ส่วนตัวผมคิดว่ารัฐไทยยินยอมให้มีการตีความพุทธศาสนาได้เสมอ ตราบเท่าที่มันไม่ไปกระทบกระทั่งกับอำนาจและโครงเรื่องหลักของรัฐ)

          จริตลักษณะนี้ (และประเด็นอื่นๆ ที่ปรากฏในหนังสือ) ส่งผลให้พุทธศาสนาแบบไทยๆ ไม่สามารถเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ (ซ้ำยังเดินสวนทาง) กับเสรีนิยมประชาธิปไตยได้ เกิดความไม่ลงรอย ขัดขืน คัดง้างโดยตลอด

          ‘ลอกคราบพุทธแท้’ ของอาสา คำภาเป็นหนังสือที่เหมาะกับนักอ่านที่อยากเข้าใจที่มาของ ‘พุทธแบบไทยๆ’ มีเนื้อหาอีกหลายส่วนที่ผมไม่ได้พูดถึง เช่น การแก้กรรม ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงคอร์สธรรมะ การใกล้ชิดครูอาจารย์เพื่อเสริมอัตตาบารมีของตน เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่น่าสนใจและลอกคราบความเป็นพุทธชนชั้นกลางไทยได้อย่างออกรสออกชาติ เสียดสี และมีอารมณ์ขัน (สำหรับผม)

          มันชวนให้ผมสงสัยใคร่รู้ว่า แล้วที่ไปของพุทธแบบไทยๆ จะเป็นอย่างไรในอนาคตท่ามกลางสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ดูจะพัดแรงขึ้นทุกขณะ รวมถึงข้อเรียกร้องให้แยกศาสนาออกจากรัฐ ซึ่งผมมองว่าเป็นข้อเรียกร้องที่ยากกว่าการแก้กฎหมายบางมาตราเสียอีก

          นั่นเพราะศาสนาพุทธแบบไทยๆ เป็นหนึ่งในเสาหลักอนุรักษนิยมที่สำคัญเกินกว่าโครงสร้างส่วนบนของรัฐจะยอมให้ล้ม

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก