ดินเผาด่านเกวียน เป็นของขึ้นชื่อประจำโคราช แต่ละแห่งที่ผลิตมักมีวิธีการคล้ายคลึงกัน ทว่าสำหรับ ‘ออตโต ฟาร์ม สตูดิโอ (OTTO farm Studio)’ ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย กลับมีวิธีการผลิตแตกต่างจากแหล่งอื่นๆ โดยนำเอาชิ้นส่วนดินเผาหรือวัสดุเหลือใช้ตามพื้นที่ต่างๆ ในจังหวัดมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่
สตูดิโอแห่งนี้อายุประมาณ 7 ปี มีคู่ชีวิตอย่าง เดียว – ฐานันดร ศรีเพ็ญ และ มิ้ม – กมลวรรณ เสาร์สุวรรณ เป็นเจ้าของ ตั้งต้นจากการทำดินเผา เซรามิก และเครื่องประดับดินเผา ‘ด้วยการใช้ดินอย่างรู้คุณค่า เพราะเราใช้ดินของลุ่มน้ำมูลในการสร้างงาน’ เป็นคำพูดของครูต๋อง – วัฒนา ป้อมชัย ศิลปินด่านเกวียน เจ้าของสวนศิลป์สองปั้นที่ทั้งคู่เคารพและได้นำมาเป็นคอนเซปต์ในช่วงแรก ก่อนจะผนวกเรื่องศิลปะและนวัตกรรมเข้ามา พร้อมทั้งได้รับแรงสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวชุมชนจาก ครูฝน – ณภัค คณารักษ์เดโช อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
ปัจจุบันออตโต ฟาร์ม สตูดิโอ จำหน่ายสินค้าควบคู่การผลิต และจัดกิจกรรมหรือนวัตกรรม “ถ้านับเป็นสินค้าจะเป็นกลุ่มเซรามิก กลุ่ม souvenir ถ้าเป็นงานนวัตกรรมก็มีดินปั้นซ่อนกลิ่น งานธรณีอาร์ตที่เรานำเศษเซรามิก เศษหินจากที่ต่างๆ เช่น แหล่งหินตัดอำเภอสีคิ้ว รวมถึง waste จากที่อื่นๆ คอนเซปต์คือ ‘จากของเสียสู่ของสวย’ ในภาษาอังกฤษเราใช้คำว่า ‘from waste to value’ คือเอา waste มาสร้างคุณค่าใหม่ให้เกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆ”
จุดหมายปลายทางของทุกๆ งานที่เดียวและมิ้มร่วมกันทำคือ การถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่น “เราตั้งใจจะถ่ายทอดสิ่งที่รู้ทั้งหมดไว้พันธุ์หมาบ้าเป็นแนวทางให้ทุกคนต่อยอด เพราะไม่สามารถทำสิ่งที่คิดและพูดได้หมด สุดท้ายปลายทางจะทำสัญญาณชีพลุ่มน้ำมูลคือการบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นทาง ไปจบปลายทางที่อุบลฯ หยิบภูมิปัญญาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ หยิบโบราณวัตถุต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย หยิบเรื่องเล่ามาสร้างสรรค์เป็นธรณีอาร์ต หยิบวัฒนธรรมมาสื่อสารผ่านตัวหนังสือ
“และหวังว่าวันหนึ่งทุกคนที่ได้เห็นงานออกแบบของเรา เขาจะตามรอยแล้วลงพื้นที่ไปดูในสิ่งที่เรานำเสนอว่ามันจริงไหม แล้ววันนั้น เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของผมมันจะเกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันช่วงนี้ผมยังมีแรง ผมยังคิดอะไรได้เรื่อยๆ ผมก็จะทำเรื่องเหล่านี้ไปก่อน”
ไม่นานมานี้ ออตโต ฟาร์ม สตูดิโอ เพิ่งเปิดโซนชื่อว่า ‘โรงเล่นเด็กปั้น’ ซึ่งได้รับงบประมาณและการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และโคราชเดิ่นยิ้ม “ผมกับมิ้มตัดสินใจเข้าโครงการนี้ เพราะเราเคยทำงานกับกลุ่มเดิ่นยิ้มเรื่องเด็กและเยาวชนมาสักพัก แล้วเห็นว่าทิศทางนี้ดี
“เราสร้างโรงเล่นขึ้นมาเพื่อเป็นพื้นที่เล่นอิสระให้กับเด็กๆ เราเชื่อว่านวัตกรเกิดขึ้นได้ผ่านการเล่น แต่ไม่ได้คาดหวังว่าพอโตขึ้นมาต้องทำตามแนวทางเรา เพียงแต่เป็นข้อมูลที่เรามากางให้ดูว่ามันมีเรื่องแบบนี้นะ เขาเรียนรู้แล้วจะต่อยอดไปทางไหนเป็นอิสระของเขา
“โรงเล่นเรามีขนาดเล็ก ซัพพอร์ตเด็กได้ครั้งละไม่เกินสิบคน ซึ่งตรงนี้เป็นข้อดีมันทำให้มีเวลาได้มองดูเด็ก ผู้ใหญ่อย่างเรามีหน้าที่แค่สนับสนุน มองให้เห็นแล้วสนับสนุน ส่วนไหนไม่ปลอดภัยค่อยห้าม”
การได้เฝ้าดูเด็กๆ ในพื้นที่แห่งนี้ ทำให้เดียวเห็นว่า ‘เด็กๆ เล่นไม่เป็น’ ซึ่งนั่นคือสัญญาณของปัญหาใหญ่ “เราเตรียมครกไว้ลูกหนึ่งพร้อมสากเล็กๆ เด็กถามผมว่า ครกเล่นยังไงเหรอคะ หรืออย่างชุดขนมครกดิน เราจะบอกว่าขนมครกมีหน้าอะไรบ้าง แล้วเตรียม waste หรือเศษย่อยจากงานธรณีอาร์ตไว้ ซึ่งเขาจะเล่นเท่าที่เราเตรียมให้




“อันนี้สำหรับผมถือว่าเป็นปัญหานะ เพราะว่าเราตั้งใจจะพาเขาออกไปหาอะไรที่มากกว่า สมัยเราเป็นเด็กเล่นขายของ เราไปเอาใบไม้มาแทนเงิน หยิบดอกไม้มาโรยหน้า เอาใบไม้แห้งมาขยี้ทำนั่นทำนี่ แต่เด็กสมัยนี้ไม่เป็นแบบนั้นนะ ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่คาดเดาว่า นี่เป็นบุคลิกหนึ่งของการเล่นที่ถูกฟิกซ์เอาไว้
“ผมกำลังมองว่าเด็กขาดจินตนาการ หยิบอะไรที่จะมาสร้างมาต่อเติม ของมันไม่มีเราหาได้ไหมในเมื่อพื้นที่ไม่ใช่พื้นที่ปิด โดยรอบมันยังปลอดภัยที่จะออกมาหยิบมาเล่นของที่มันมากกว่า โรงเล่นมีของน้อยเพราะผมตั้งใจ เราจะไม่เตรียมทุกอย่างให้เด็ก แต่อยากให้เด็กออกไปหาอะไรเล่น หาวิธีเล่น เราคาดหวังความคิดสร้างสรรค์ เราไม่ได้คาดหวังจำนวนของเด็ก”
เมื่อถามเหตุผลว่าทำไมเดียวถึงให้ความสำคัญกับเรื่องเด็ก เขาตอบทันทีว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ มันคือคำที่เก่าแต่มันจริงนะ อย่างผม 42 จะไปบอกคนรุ่นใกล้ๆ กันให้ทำแบบนี้ เขาจะเหลืออายุอยู่เท่าไรกันเชียว มันผ่านมาครึ่งคนแล้ว เวลามันเริ่มถอยหลังแล้ว แต่กับเด็กเขามีเวลาอีกเกินครึ่งชีวิตที่จะทำสิ่งต่างๆ
“ในอนาคต waste กับสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ควบคู่กันอย่างชัดเจน คนรุ่นผมหรือคนเจนก่อน เราใช้ทรัพยากรกันมาหนักหน่วงแล้ว เราได้ประโยชน์จากทรัพยากรกันมาเยอะ อีกสักยี่สิบปีเราจะมีอะไรทิ้งไว้ให้คนรุ่นต่อไปใช้ ตอนนี้เราผลิต waste กันสนุกสนาน ผมกำลังวางรากฐานให้เขาได้มองเห็นและเข้าใจใน waste ว่ามันมี value อยู่นะ ไม่ใช่มองไปรอบตัวก็เจอแต่ขยะ”
ก่อนจะจบบทสนทนา เดียวได้ทิ้งท้ายถึงชื่อของสตูดิโอแห่งนี้อันมีที่มาจาก ‘อ๊อดโต้’* หนึ่งในตัวละคร ‘พันธุ์หมาบ้า’ นวนิยายของ ชาติ กอบจิตติ “ข้อความหนึ่งที่ผมชอบมากในนวนิยายเรื่องนี้คือ ‘กูรู้ว่ากูกำลังทำอะไรอยู่’ ผมก็เช่นเดียวกัน ดูเป็นคนสะเปะสะปะในแนวทาง คนมาสตูดิโอจะงงว่า ที่นี่ทำไมมีอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด มันดูไม่ชัดเจนในแนวทางว่าจะไปเซรามิก ธรณีอาร์ต ดินปั้น หรือศิลปะ แล้วยังมีเรื่องเด็กอีก
“แต่สุดท้ายผมก็จะพูดแบบออตโตว่า ‘กูรู้กูกำลังทำอะไรอยู่’ ผมมีปลายทางชัดเจนแล้วว่าจะทำอะไร แต่ตอนนี้ผมยอมเป็นคนสะเปะสะปะ เมื่อวันหนึ่งทั้งหมดขมวดรวม ทุกอย่างจะกลายเป็นเรื่องเดียวกัน”

* ในนวนิยายพันธุ์หมาบ้าใช้คำว่า อ๊อดโต้