เราพบ อ้อมแก้ว กัลยาณพงศ์ ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อพูดคุยถึงโครงการ Art and Archives of Angkarn Kallayanapong ที่เธอค่อยๆ ทำอย่างบรรจง อาคารกำลังปรับปรุง เครื่องมือช่างจึงวางเต็มพื้นที่ส่วนหน้าของบ้าน ผลงานของศิลปินแห่งชาติถูกเก็บรักษาตามหลักการอนุรักษ์งานศิลปะ ภายใต้การดูแลของลูกสาว
บ้านหลังนี้หลบจากความวุ่นวายของถนนพระรามเก้า เข้ามาอยู่ในความสงบภายในซอยพระรามเก้า 59 ครั้งหนึ่งบ้านหลังนี้เคยเป็นที่พำนักและสร้างสรรค์ผลงานของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติประจำปี 2532 สาขาวรรณศิลป์ และกวีซีไรต์ ปี 2529 กวีผู้เป็นพ่อของเธอ

โครงการ Art and Archives of Angkarn Kallayanapong เป็นแหล่งรวบรวมผลงานทุกประเภทของอังคาร กัลยาณพงศ์ ข้าวของเครื่องใช้และผลงานของท่านมากกว่า 10,000 ชิ้น ได้รับการจัดทำทะเบียนสำหรับ archive และฐานข้อมูลระบบดิจิทัล เพื่อให้ผู้สนใจได้สืบค้นอย่างเป็นระบบ
“เราเก็บรวบรวมและบันทึกข้อมูลของทุกชิ้นค่ะ เพราะหอจดหมายเหตุเป็นแหล่งรวบรวมผลงานรวมถึงข้าวของเครื่องใช้ของศิลปินคนนั้นๆ เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงและสืบค้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า องค์กรต่างๆ สามารถยืมผลงานไปจัดแสดงได้ แต่ที่ผ่านมาองค์กรที่ดูแลผลงานของศิลปินไม่มีระบบทะเบียนที่แน่ชัด ฉะนั้นบางทีก็ทำให้ผลงานสูญหาย การทำทะเบียนไว้จะทำให้ข้อมูลเป็นระบบ เวลาที่ใครมีคำถามหรือต้องการศึกษา ที่นี่จะเป็นแหล่งรวมข้อมูลทุกอย่างที่สืบค้นได้ ให้คำปรึกษา ให้คำตอบ ให้ความเห็น รวมทั้งพิสูจน์หลักฐานบางอย่างได้อย่างเป็นระบบ”
ในระหว่างรีโนเวตอาคาร ผลงานจิตรกรรมราว 90 เปอร์เซ็นต์ของท่านอังคารถูกถอดออกมาจากกรอบและเก็บรักษาตามหลักการอนุรักษ์งานศิลปะ เราจึงเห็นกรอบรูปเปล่าวางซ้อนกันหลายร้อยชิ้น
“ส่วนนี้เป็นกรอบรูปที่เราถอดเอาผลงานออกมาเก็บรักษา เพราะการจะทำเป็น archive จะต้องมีวิธีการเก็บรักษาผลงานศิลปะให้ถูกต้อง ไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติม เพราะผลงานจำนวนมากถูกสร้างมาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 2490 ความเสียหายก็มีทุกรูปแบบค่ะ ผลงานขึ้นรา กระดาษฉีกขาด กระดาษไหม้ตัวเอง ทำให้ผลงานเสียหายค่อนข้างเยอะ ในแง่การเก็บรักษาต้องเก็บในเชิงอนุรักษ์งานศิลปะ เพื่อให้มันอยู่ได้อย่างถูกต้องตามหลักการอนุรักษ์งานศิลปะ เราทำเองหมดเลยเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย”



อ้อมแก้วใช้ทุนส่วนตัวในการทำโครงการ Art and Archives of Angkarn Kallayanapong โดยมี วิศาขา กัลยาณพงศ์ น้องสาวช่วยดูแลเรื่องการรีโนเวตอาคาร ส่วนเธอดูแลผลงานทุกชิ้นของอังคาร กัลยาณพงศ์ ศึกษาการจัดการหอจดหมายเหตุเพื่อนำมาใช้กับหอจดหมายเหตุที่ทำให้พ่อ
“การจัดการหอจดหมายเหตุจะมีความซับซ้อนกว่าการจัดการพิพิธภัณฑ์ เราอยากทำให้หอจดหมายเหตุแห่งนี้มีความร่วมสมัย ไม่อยากให้แห้งแล้งหรืออยู่ในความคุ้นชินเดิมๆ อยากทำให้หอจดหมายเหตุเปลี่ยนไป มีความร่วมสมัย เพราะคนเจเนอเรชันต่อไปที่จะมาดูจะเป็นคนรุ่นใหม่”
เรานั่งอยู่ในห้องที่ครั้งหนึ่ง อังคาร กัลยาณพงศ์ เคยนั่งทำงานจิตรกรรมและวรรณกรรม บนโต๊ะมีปากกาคอแร้ง ขวดหมึก ปากกาหมึกดำ และดินสอสำหรับเขียนบทกวี แท่งชาร์โคล พู่กันและสีอะคริลิก สำหรับวาดภาพ ไม้รองมือขณะเขียนรูป ไม้เท้าที่ใช้ประจำ และแว่นตา
ผนังด้านหลังยังมีร่องรอยของเขา เป็นเหมือนร่างความคิด หรือไม่ก็รอยแสดงอารมณ์ชั่วขณะ และเบอร์โทรศัพท์มือถือของภรรยา
“ห้องนี้ คือห้องทำงานของท่าน เราเลือกบางชิ้นมาจัดแสดง เพราะถ้านำของทุกอย่างเข้ามา มันจะรกจนไม่น่าดู ผนังด้านนี้เราเปลือยเพื่อให้เห็นว่าท่านมีการร่างหรือเขียนอะไรบนผนัง นี่คือเบอร์มือถือของภรรยาท่าน มีสีหกเลอะเทอะ ด้วยความที่มีลายมือของท่าน เราก็เลยเว้นไว้ ไม่ทาสีทับ อยากให้มันดูน่าสนใจ มีความเป็นส่วนบุคคลและความเป็นครอบครัว ให้คนที่จะเข้ามาชม เห็นเบื้องหลังการทำงานว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างการสร้างผลงาน”
บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ อังคาร กัลยาณพงศ์ พำนักตั้งแต่ราว ปี 2525 จนกระทั่งเสียชีวิต การจัดทำโครงการหอจดหมายเหตุ จึงทับซ้อนระหว่างความเป็นส่วนตัวและสาธารณะ เป็นการแบ่งพื้นที่ในการสร้างความทรงจำที่สังคมไทยจะมีต่อ อังคาร กัลยาณพงศ์ และเป็นความทรงจำส่วนตัวที่อ้อมแก้วมีต่อพ่อ
“เราย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ ตอนอายุ 3-4 ขวบจนปัจจุบัน แต่ระหว่างนั้นท่านก็ไปทำงานที่พะเยา เราก็ติดสอยห้อยตามท่านไป กลับมาบ้านหลังนี้อีกทีก็ 6-7 ขวบแล้ว แต่บ้านหลังนี้จะเป็นบ้านหลักที่ท่านทำงาน เราจะเห็นวิถีชีวิตการทำงานของท่านตั้งแต่เรายังเด็ก ได้เห็นวิธีการทำงาน ได้คลุกคลีกับท่าน ได้ใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้ ก็เลยมีความทรงจำมากมายในบ้านหลังนี้ เราก็เลยมีข้อมูลเยอะมากที่จะเล่า ฉะนั้นการทำที่นี่ให้เป็นสถานที่จัดแสดงผลงาน มันก็ดีในแง่ที่ว่าคนจะได้เห็นและซึมซับบรรยากาศและสัมผัสถึงอินเนอร์บางอย่าง”
ในฐานะผู้จัดการโครงการ Art and Archives of Angkarn Kallayanapong และในฐานะลูกสาว ทำให้อ้อมแก้วได้ศึกษาผลงานของท่านอังคารอย่างใกล้ชิด และจัดหมวดหมู่แบ่งช่วงเวลาของการสร้างผลงานเพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาของสาธารณะ
งานของท่านอังคารมีแนวคิดและรูปแบบปรับเปลี่ยนไปตามช่วงอายุ สุขภาพ และสภาพสังคม ในช่วงปี 2490 จนถึง 2507 เป็นการทำงานยุคแรก เป็นช่วงติดตาม อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ไปทำงานอนุรักษ์จิตรกรรมไทยโบราณ ทำให้ได้อิทธิพลด้านการใช้ลายเส้นไทยที่ละเอียดและอ่อนช้อย
ช่วงต่อมาระหว่างปี 2521-2530 เป็นช่วงที่ท่านอังคารสนใจเรื่องพุทธศาสนา ปรัชญา และจักรวาล ทำให้เนื้อหาสะท้อนคติชีวิต ปรัชญา และสัจธรรมผ่านรูปสัญลักษณ์ต่างๆ ดังปรากฏในภาพวาด เมฆมโนคติ และบทกวีที่ถูกสร้างสรรค์ในช่วงนั้น
ในช่วงบั้นปลายชีวิตตั้งแต่ปี 2530 จนกระทั่งท่านเสียชีวิตจากภาวะไตวายเมื่อปี 2555 เป็นช่วงที่สายตาไม่ดีจากทั้งอายุที่มากขึ้นและปัญหาสุขภาพทำให้ภาพวาดลดทอนรายละเอียดลงไปมาก
ขณะที่งานวรรณกรรมเป็นงานศิลปะอีกแขนงที่ อังคาร กัลยาณพงศ์ มอบความรักและทุ่มเททำงานต่อเนื่องมาทั้งชีวิต
“ท่านมีความรักและหลงใหลในงานจิตรกรรมและวรรณกรรมมากๆ แต่งเป็นลมหายใจเลยก็ว่าได้” อ้อมแก้ว กล่าวถึงความรักในบทกวีของพ่อ
บทกวีของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ถูกเผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ เล่มที่ 1 ปีที่ 1 ฉบับเดือนมิถุนายน ซึ่งในขณะนั้น สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นบรรณาธิการ ก่อนที่รวมบทกวีเล่มแรกจะถูกรวบรวมและจัดพิมพ์ในชื่อ กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ในปี 2507
ในทัศนะของ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ บทกวีของอังคาร มิได้เดินแบบท่านผู้มาก่อน “กลอนของเขาละสัมผัสในแบบสุนทรภู่สิ้น กาพย์ของเขามิได้เลียนลีลาของเจ้าฟ้ากุ้ง โคลงของเขาก็มิได้ตกเป็นทาสของศรีปราชญ์หรือนรินทร์อิน แต่แล้วข้อเขียนของเขาก็มิได้ทิ้งแบบแผนโบราณ หากส่อให้เห็นว่าเขาทั้งเข้าใจ และเคารพนับถือแต่ก่อน เป็นแต่เขาเขียนในสมัยของเขาเอง การแสดงออกจึงมิได้เป็นไปตามแบบโบราณ”


อ้อมแก้วบันทึกไว้ในหนังสือ พ่ออังคาร ผู้มาจากดาวโลก ว่า สุลักษณ์ได้แนะนำให้ อัลเลน กินสเบิร์ก (Allen Ginsberg) กวีคนสำคัญของ Beat Generation* ได้พบกับ อังคาร กัลยาณพงศ์ ทำให้บทกวี วักทะเล ของพ่อ ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ ตีพิมพ์ในนิตยสารกวีนิพนธ์ Evergreen Review
กวีผู้กบฏ เป็นชื่อบทหนึ่งในหนังสือ พ่ออังคารผู้มาจากดาวโลก อ้อมแก้วได้บันทึกข้อมูลและความคิดในเชิงกวีของผู้เป็นพ่อ
“พ่อมีเจตคติในการกำเนิดมาเป็นมนุษย์เพื่อที่จะสร้างสรรค์งานวรรณกรรม จนปวารณาตนว่า จะขอเกิดเป็นกวีทุกชาติไป ซึ่งความคิดนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของพ่อในเวลาต่อมา เจตนาของพ่อที่จะสื่อถึงความคิดนี้ ก็เพื่อต้องการให้มนุษย์เห็นความสำคัญของงานวรรณศิลป์ กล่าวคือตราบใดที่พ่อยังคงเวียนว่ายตายเกิด ก็จะขอเอาดีทางด้านกวี” (หน้า 81)
“กลอนแบบสุนทรภู่เป็นกลอนที่ถูกขัง ถูกขังด้วยลีลาสัมผัสอย่างนั้น แต่วิธีของกวีไม่ใช่วิธีที่ถูกลงโทษในฉันทลักษณ์ เหมือนดวงดาวในท้องฟ้า เราจะเห็นว่ามันมีอิสระมากมาย ถ้อยคำหรืออะไรก็ตามที่เจียระไนมาเป็นบทกวีนี่มันไม่ควรจะถูกจำกัดในรูปฉันทลักษณ์” คือน้ำเสียงของพ่อที่ลูกสาวบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเผยให้เห็นความคิดริเริ่มในการสร้างสรรค์งานวรรณกรรม

อ้อมแก้วค่อยๆ ซึมซับความสนใจในงานจิตรกรรมและวรรณกรรมจากพ่อ จนกระทั่งสองสิ่งนี้กลายเป็นตัวตนของเธอ
“ตอนนี้เราทำ Digital Content Marketing อยู่ที่ JWD Art Space เป็นนักเขียนอิสระ และกำลังทำสิ่งนี้อยู่” อ้อมแก้วผายมือไปรอบตัว การจัดการความทรงจำของคุณพ่อให้อยู่ในรูปแบบของหอจดหมายเหตุ คืองานสำคัญของเธอ
“ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เราพยายามดูแลท่านเท่าที่เราทำได้ เพราะช่วงวัยเราก็ห่างกันมาก เราได้ดูแลท่านตามสมควร พอท่านไม่อยู่ เราก็ได้มาเก็บตกสิ่งที่ท่านได้สร้างไว้ ไม่ทำให้ท่านหายไป การที่เราทำสิ่งนี้ก็เพราะว่าไม่อยากทำให้ท่านหายไปจากกระแสสังคม ทำให้คนรู้ว่ามีศิลปินที่ชื่อ อังคารอยู่นะ เขาสร้างผลงานอะไรไว้บ้าง ให้ผลงานของท่านคงอยู่ ไม่เลือนหายไป ถ้าไม่มีอะไรรองรับเลย มันจะหายไปเหมือนที่เกิดขึ้นกับบุคคลมากมาย หอจดหมายเหตุถูกสร้างมาเพื่อสิ่งนี้ เป็นแหล่งรวบรวมทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เพื่อการศึกษาและสืบค้น”
ถามอ้อมแก้ว หากคนรุ่นใหม่จดจำ อังคาร กัลยาณพงศ์ ในแบบที่ต่างไปจากเดิม เธอคิดอย่างไร
“คนรุ่นท่านทยอยล้มหายตายจากไป ซึ่งคนรุ่นก่อนจะจดจำท่านในแบบกึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็มองท่านเป็นแบบนั้นไป คนรุ่นใหม่จะมีความคิดที่ต่างไป เขาไม่ได้อยู่ในมิติแบบนั้น เขาอาจจะไม่ได้เห็นความลึกซึ้งบางประการในผลงานของพ่อ พอสังคมผลัดเปลี่ยนรุ่น บางอย่างมันก็จะหายไป ฉะนั้นในรุ่นต่อไป ถ้าคนจะจดจำแค่ว่าเขาเป็นศิลปิน เป็นนักเขียน เป็นศิลปินแห่งชาติ ก็ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว หน้าที่ของเรา คือส่งต่อข้อมูลเท่าที่เราจะทำได้ นำเสนออย่างสร้างสรรค์ บอกเล่าความหมายให้ครบถ้วน นั่นคือหน้าที่ของเรา”
“ระหว่างที่คุณจัดระบบผลงานและข้าวของเครื่องใช้ของพ่อ เพื่อจัดการความทรงจำของท่านอังคารให้ปรากฏต่อสาธารณะ มันทำให้ความรับรู้หรือความทรงจำที่มีต่อพ่อเปลี่ยนไปไหมครับ”
“ไม่นะ เพราะเราเห็นท่านชัดเจน เพราะฉะนั้นแก่นของท่านไม่เปลี่ยน เรารู้อยู่แล้วว่าท่านเป็นคนยังไง เราจะนำเสนออะไรในแง่ไหนให้คนได้ชม สิ่งที่เพิ่มคือสิ่งที่พบเจอระหว่างทาง แต่ไม่ได้ทำให้แกนกลางของเรื่องเปลี่ยนไป เราแค่หยิบจับมันมาเล่าเรื่อง ฉะนั้นความทรงจำไม่ได้เปลี่ยนไป เอาจริงๆ เราก็มีเวลาอยู่กับท่านเยอะ เพราะเราไม่ได้ทำงานประจำตลอด ทำให้เราได้มีเวลาอยู่กับท่าน ได้ใช้ชีวิตอยู่กับท่านในช่วงสุดท้ายของชีวิตด้วย มันก็เลยเป็นความทรงจำที่ลึกซึ้งที่เรามีต่อพ่อ
“คนอื่นจะมองว่าท่านเป็นปราชญ์ หรือบุคคลผู้มีความรู้ ซึ่งโอเคท่านก็เป็นแบบนั้น แต่ด้วยความที่เราเป็นลูก เราจะเห็นอีกมุมที่เป็นชีวิต ท่านก็เป็นคนธรรมดา มีอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ ขี้เล่น เห็นความน่ารัก รักโลภโกรธหลง ฉะนั้นก็อยากนำเสนอให้คนได้เห็นในมุมมองนี้ด้วย
“การได้อยู่กับผลงานของท่าน ทำให้เราเห็นอารมณ์ของท่านมากขึ้นด้วย บนกระดาษที่ท่านร่างงานร่างความคิด มันมีความละเอียดอ่อน ความรู้สึก ความลึกซึ้งที่สัมผัสได้จากร่องรอยเหล่านั้น ก็ทำให้เรารู้สึกผูกพัน แม้ว่าท่านจะจากไปแล้ว แต่ก็เหมือนว่าท่านอยู่กับเราตลอดเวลา”

งานเขียนของอังคาร กัลยาณพงศ์ เผยให้เห็นความสนใจในสรรพชีวิตที่เชื่อมร้อยกัน แต่งานเขียนของเธอดิ่งตรงลึกเข้ามาภายในความซับซ้อน อันเป็นแก่นกลางและปริศนาของความเป็นมนุษย์
อ้อมแก้ว มีผลงานวรรณกรรมนับตั้งแต่ เงาลับจากปลายป่า, ในเงาคือเราผู้ซ่อนเร้น, อีกไม่นานเราจะสูญหาย และ โนอาห์แห่งความทรงจำ
“เราสนใจเรื่องของมนุษย์ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ ความคิดกึ่งดิบกึ่งดีของมนุษย์ สิ่งที่ซ่อนเร้นในตัวเอง” อ้อมแก้ว จึงขุดเอา little monster ที่ซ่อนอยู่ในมนุษย์ออกมาโลดแล่นผ่านตัวละครของเธอ
“เราพยายามนำเสนอสิ่งเหล่านี้ออกมาจากตัวละคร เพื่อให้เห็นความเป็นมนุษย์ สิ่งที่ไม่ได้มีแต่ด้านดี เป็นความซับซ้อนของมนุษย์ ความซับซ้อนของความสัมพันธ์ ไม่ว่าความสัมพันธ์รูปแบบไหน มันก็มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่”
“มีเงาของพ่ออยู่ในเรื่องแต่งของคุณบ้างไหม”
“มีบ้าง แต่เราจะหยิบจากความฝันมาเล่า เพราะในฝันมันจะเป็นอะไรที่แฟนตาซี เราไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวมากเกินไป นักเขียนหลายคนอาจจะชอบเล่าเรื่องของตัวเองผ่านตัวละคร แต่สำหรับเรา เราไม่อยากเขียนงานที่ตอบสนองอารมณ์ หรือชีวิตของตัวเอง เราอยากจะค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือค้นหาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเป็นประเด็นในการเล่าเรื่อง มันจะทำให้งานมีรูปแบบของมันเอง ถามว่ามีกลิ่นอายของครอบครัว หรือมีชีวิตส่วนตัวไหม เราหยิบมาใช้เป็นกิมมิกมากกว่า“
“พอจะเล่าดีเทลของความฝันที่ฝันถึงพ่อให้ฟังได้ไหมครับ”
“เล่าจากเล่มนี้ก็แล้วกัน” เธอชี้ไปที่ปกหนังสือนวนิยาย โนอาห์แห่งความทรงจำ
“เราฝันหลังท่านเสียไปแล้ว เราฝันว่าท่านยังนอนอยู่ ยังนอนป่วยอยู่เลย เราก็เข้าไปประคองกอดท่าน ในฝันท่านยังมีชีวิต ในฝันเรารู้สึกว่าต้องดูแลท่านให้ดีที่สุด มันเหมือนกับอยากจะกลับไปทำอะไรให้มันดีขึ้นกว่านี้ ในฝันมักจะมีความรู้สึกแบบนี้ปรากฏ จะดูแลให้ดีที่สุด ซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติของทุกคนที่พอคนที่เรารักไม่อยู่แล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกแบบนี้ แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิด เพราะเราได้ดูแลท่านจนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิตจริงๆ เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดตกบกพร่อง”
หอจดหมายเหตุแห่งนี้น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันว่า หลังจากที่เธอลืมตาตื่นจากความฝัน เธอได้ดูแลพ่อ ในทุกนาที ไม่เฉพาะนาทีสุดท้ายของชีวิต แต่เริ่มนับหนึ่งนาทีแรกของความทรงจำที่จะผลิดอกออกช่อ
“ในนิยายเล่มนี้ ก็จะมีฉากประคองกอดพ่อ” เธอยิ้ม

* กลุ่มหนุ่มสาวในช่วงยุค 50’s ถึงช่วงกลางยุค 60’s ชอบฟังเพลงแนว modern jazz และนั่งแฮงเอาต์ในร้านกาแฟ ผับบาร์ สนทนากันเรื่องวรรณกรรมและบทกวี