‘เห็นสภาพหนังสือแล้วคิดว่ามันคงอยู่กับคุณวีรพงษ์นานมาก’ ลายมือของ นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ ปรากฏบนแผ่นรองปกนวนิยาย หยามเหยียด (Il disprezzo) ของ อัลแบร์โต โมราเวีย (Alberto Moravia) นักเขียนเอกแห่งศตวรรษที่ 20 สภาพหนังสือเก่าคร่ำเกินอายุการจัดพิมพ์เหมือนคนหนุ่มที่แก่ก่อนวัย เพราะนายโมลแตนีตัวแสบผู้น่าหยามเหยียดทำให้ผู้อ่านระทึกไปกับความซับซ้อนของมนุษย์
นี่คือผลงานแปลของนันธวรรณ์ในปี 2015 ก่อนที่ อภิรดา มีเดช เพื่อนร่วมกองบรรณาธิการสำนักงานจะยืมหนังสือเล่มนี้เดินทางไปท่องเที่ยวอิตาลีในช่วงฤดูร้อนของปีเดียวกับที่นวนิยายเล่มนี้ถูกเผยแพร่ในฉบับภาษาไทย โดยไลต์เฮาส์ พับลิชชิ่ง หนังสือเล่มนี้จึงเดินทางจากถนนลาดพร้าวไปยังเมืองฟลอเรนซ์ เมืองที่นันธวรรณ์ย้ายไปอาศัยตั้งแต่ปี 1999 ปัจจุบันเธอพำนักอยู่ที่เมืองแห่งนี้กับครอบครัวที่น่ารัก ประกอบด้วยสามีและลูกชายวัยรุ่น
ช่วงปลายปี 2015 สำนักพิมพ์ อ่านอิตาลี จัดพิมพ์บทละครคลาสสิกของ ลุยจิ ปิรันเดลโล (Luigi Pirandello) ตัวละครทั้งหกตามหานักประพันธ์ (Sei personaggi in cerca d’autore) ออกมาเป็นหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์อ่านอิตาลี นันธวรรณ์ เป็นผู้แปลและก่อตั้งสำนักพิมพ์ขนาดเล็กแห่งนี้
“ก่อนหน้านั้น นันแปลนิยายให้ บทจร, กำมะหยี่, ไลต์เฮาส์, มติชน และอีกหลายแห่งค่ะ” นันธวรรณ์ เล่าถึงจุดกำเนิด อ่านอิตาลี ผ่านวิดีโอคอลในเดือนมกราคม 2023 อากาศต้นปีในอิตาลีหนาวทารุณ แต่คู่สนทนาของเธอนั่งอยู่ในอุณหภูมิอบอุ่นของเมืองขอนแก่น ซึ่งเป็นเมืองเกิดของเธอ ก่อนที่จะทิ้งเมืองแห่งนี้ไว้เบื้องหลังด้วยการหนีออกจากบ้านในวัย 14 ปี
อ่านอิตาลี เคยถูกใช้เป็นชื่อเพจสำหรับประชาสัมพันธ์ผลงานของนันธวรรณ์ ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ต่างๆ มาก่อน แต่ เรืองเดช จันทรคีรี บรรณาธิการและผู้จัดการสำนักมาตรฐานวรรณกรรมพิมพ์จำกัด (มวจ.) ยุให้เธอตั้งสำนักพิมพ์ โดยเสนอให้ใช้ชื่อที่มีอยู่แล้วเป็นชื่อสำนักพิมพ์
“อ่านอิตาลี! เราก็ขำๆ มันจะเป็นไปได้เหรอ” ต่อมา วรงค์ หลูไพบูลย์ แห่งสำนักพิมพ์บทจร ก็เป็นอีกแรงส่งให้นันธวรรณ์ก่อตั้งสำนักพิมพ์ “หลังจากสองคนนี้บอก เราก็ลองดู”

ตัวละครทั้งหกตามหานักประพันธ์ จัดพิมพ์ในปี 2015 หลังจากนั้นนันธวรรณ์เพียงคนเดียวได้ออกตามหานักประพันธ์อิตาเลียนทั้งคลาสสิกและร่วมสมัย กระทั่ง ลุยจิ ปิรันเดลโล, อันตอนีโอ ตาบุคคี, อัลแบร์โต โมราเวีย, อุมแบร์โต เอโค, มิเลนา อากุส, เลโอนาร์โด ชัชชา, เอเลนา แฟร์รานเต, เปาโล จอร์ดาโน และ เปาโล คนเญตติ เดินทางข้ามกำแพงภาษามาสู่โลกของนักอ่านไทย
สำนักพิมพ์ขนาดเล็กแห่งนี้ทำงานข้ามประเทศ รับส่งข้อมูลกันบนอากาศ ทีมงานเกือบทั้งหมดอยู่ประเทศไทย มีเพียงนักแปลหญิงเพียงคนเดียวที่พำนักในอิตาลี แต่ราวกับว่าสำนักพิมพ์แห่งนี้ทำงานด้วยกองทัพภาคพื้นดิน
“ดูเป็นคนไม่มีอุดมคติอะไรนะคะ นันเป็นคนไปเรื่อยๆ แล้วแต่โชคชะตา” เธอบอก แต่ผมแย้งทันที
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ครับ เพราะคุณนันเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ต้องการทำสิ่งดีๆ ตอบแทนประเทศอิตาลี ถ้อยคำนี้ไม่น่าจะมาจากคนที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ”
“ใช่ ตอนมาอยู่อิตาลีแรกๆ นันรู้สึกมีความสุข เพราะชีวิตก่อนหน้าที่จะมาอิตาลี เคยคิดว่าความสุขไม่มีอยู่จริง ก็เลยอยากตอบแทนประเทศที่ทำให้เรามีความสุข”
“คุณนันช่วยขยายความได้ไหมครับ ทำไมการแปลวรรณกรรมจึงเป็นสิ่งดีงามที่คุณนันเลือกทำเพื่อเป็นการตอบแทนประเทศที่มาพำนัก”
“คนในประเทศนี้บอกว่า เราเผยแพร่วัฒนธรรมของประเทศอิตาลีไปให้ประเทศอื่นได้เรียนรู้วัฒนธรรมของเขา” นันธวรรณ์ตอบคำถามด้วยการอ้างอิงคำประกาศของกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ในวาระการมอบรางวัล ‘ผลงานแปลแห่งชาติ’ สาขารางวัลพิเศษ ประจำปี 2019 ให้แก่เธอ
“ก่อนหน้าที่จะทำอ่านอิตาลี เราเคยปลูกผักออร์แกนิก คุณยายคนหนึ่งอยู่ละแวกบ้านถามว่าเรียนจบอะไรมา เราบอกว่าจบอักษรศาสตร์ ยายบอกว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้ทำงานอย่างที่เรียนมา เราก็ฉุกคิด หรือเราน่าจะทำงานอะไรที่มันสร้างบางสิ่งให้ดำรงคงอยู่ อะไรที่มีส่วนสำคัญสักอย่างต่อโลกใบนี้ ก็คิดว่าคงจะเป็นงานแปลนี่แหละที่เราทำได้”
‘นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ เป็นนักแปลงานประพันธ์อิตาลีเป็นภาษาไทยคนสำคัญที่สุดในปัจจุบัน’ คือคำประกาศเกียรติยศให้แก่นันธวรรณ์ ในฐานะนักแปลวรรณกรรม กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ระบุว่า เธอ ‘ทำงานแปลมาเป็นเวลาหลายปี จึงเป็น ‘ทูต’ของวรรณกรรมอิตาลีในประเทศไทยอย่างแท้จริง และสมควรได้รับรางวัลสำหรับความทุ่มเทในการทำงานของเธอเป็นอย่างยิ่ง’
นันธวรรณ์บอกผมว่า รางวัลเป็นแรงกระตุ้นและพลังให้เธอต้องทำงานแปลอย่างจริงจังมากขึ้น
“แต่บอกตรงๆ นะคะ ส่วนตัวยังหาไม่เจอเลยว่าจุดมุ่งหมายของชีวิตคนคืออะไร บางทีก็เจอ บางทีก็ไม่เจอ บางทีก็ใช่ บางทีก็คิดว่าไม่ใช่ แต่การที่เราทำงานที่สร้างบางสิ่งให้ดำรงคงอยู่ อย่างน้อยก็ 20 ปี 50 ปี มันอาจจะเป็นคำตอบนั้นหรือเปล่า”
เป็นคำตอบที่ชวนให้ประหลาดใจ เพราะเธอทำงานแปลมาอย่างจริงจังและต่อเนื่องยาวนาน แต่กลับบอกว่า นี่คือการเริ่มต้น

“ช่วงนี้นันกำลังปิดต้นฉบับ 2 เล่ม เล่มหนึ่งที่กำลังแปลคือ L’ Arminuta* ผลงานของ โดนาแตลลา ดิ ปิเอตรันตอนีโอ (Donatella Di Pietrantonio) เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงฐานะยากจน เธอถูกยกให้ครอบครัวมีฐานะเป็นผู้เลี้ยงดู จนวันหนึ่งถูกส่งตัวกลับมายังครอบครัวที่ให้กำเนิด ทำให้ชีวิตของเธอพลิกผัน
“L’ Arminuta เป็นภาษาถิ่นของแคว้นหนึ่งในอิตาลี ใช้เรียกเด็กที่พ่อแม่ยกให้คนอื่นเอาไปเลี้ยง แต่หากเด็กคนนี้กลับมาหาครอบครัวเดิม เด็กคนนั้นจะมีฉายาว่า L’ Arminuta แปลว่า ‘เด็กที่หวนคืนกลับมา’ เป็นเหมือนตราติดตัว”
ผมฟังเรื่องย่อของ L’ Arminuta ที่เธอกำลังแปล แล้วนึกถึงชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งที่เกิดในชนชั้นล่างของเมืองขอนแก่น ตอนเด็กๆ เธอต้องทำนา ถอนกล้า ดำนา หาบกล้า ตีข้าว เลี้ยงควาย พ่อแม่แยกทางกัน แม่จึงลงประกาศหนังสือพิมพ์เพื่อหาผู้อุปการะ เธอได้ไปอยู่บ้านของใครคนหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่เธอทะเลาะกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่มาก่อน เพราะเขาชอบแกล้งเธอ
วันหนึ่งตอนขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนอนุบาลด้วยกันพร้อมเด็กคนอื่นๆ เธอไม่ขึ้นรถคันเดียวกับเขา เธอขึ้นรถสาย 25 เพราะจำได้ว่า รถคันนี้ผ่านปากน้ำ จากปากน้ำเธอนั่งรถสองแถวไปลงวัดตำหรุ เธอไปหาตายายคู่หนึ่งที่เธอรัก เธอไม่มีเงินจ่ายค่ารถ แต่สมัยนั้นเด็กนักเรียนไม่จำเป็นต้องจ่ายค่ารถ เธออยู่กับตายาย และพี่ๆ ซึ่งเป็นลูกๆ ของตากับยาย ต่อมาแม่ตามให้กลับ แต่เธอไม่ยอม แม่เลยต้องฝากเข้าเรียนชั้น ป.1 ที่โรงเรียนวัดตำหรุ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในวัยเด็ก เธอเล่นหมากเก็บกับพี่ๆ จับปูแสม ไปดูลิเกคณะสมศักดิ์ ภักดี ในตอนกลางคืน แต่พอขึ้น ป.2 ญาติฝ่ายพ่อไปรับให้กลับไปอยู่ขอนแก่น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
พออายุ 14 ปี เธอจึงหนีออกจากบ้าน นั่งรถไฟจากขอนแก่นไปสมุทรปราการเพื่อไปหาพ่อ
“ตอนอ่าน L’ Arminuta ครั้งแรก นันอ่านแล้ววางเลย ตอนแรกจะไม่แปล เพราะมันกระเทือน คิดว่าตัวเองทำไม่ไหวหรอก เพราะตอนที่ตัวละครเด็กผู้หญิงเข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง เธอต้องนอนแออัดกับพี่น้อง เด็กผู้หญิงคนนี้นอนบนฟูกเดียวกับน้องสาว แต่นอนสลับหัวกับเท้ากัน คือเอาเท้าขึ้นไปไว้บนหัวของอีกคน แล้วน้องสาวก็ฉี่รดที่นอน แม่กับพ่อก็เย็นชา เป็นเหมือนคนบ้านนอกของบ้านเราที่ไม่แสดงความรักออกมา พอเราอ่านนิยายเรื่องนี้ ความรู้สึกในตอนเด็กก็กลับมา วางหนังสือเล่มนี้ทันที ตอนนั้นคิดว่าจะไม่ทำเล่มนี้ แต่พอผ่านไปสักระยะ ก็ตัดสินใจแปลหนังสือเล่มนี้โดยไม่ใช้ความรู้สึก เห็นตัวอักษรแล้วก็แปลไปตามนั้น พยายาม keep distance”
“คุณนันเคยให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อก่อนคิดว่าความสุขไม่มีอยู่จริง พอจะเล่าถึงชีวิตช่วงนั้นได้ไหมครับ”
“แล้วคุณรู้สึกไหมคะ ว่ามันมีอยู่…ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย เราโดดเดี่ยว ไม่มีใคร ไม่มีความสุข เหงา และเคว้งคว้าง”
หลังจากนั่งรถไฟไปหาพ่อที่สมุทรปราการ เธอจำต้องกลับไปขอนแก่นอีกครั้ง แต่ก็ออกจากโรงเรียนตอน ม.4 ไปทำงานเป็นคนรับใช้ที่ระยอง ต่อมาก็ลาออกไปอาศัยอยู่กับพ่อ และได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนจนจบ ม.6 เอ็นทรานซ์เข้าคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
“เอ็นท์เข้าคณะเกษตร เพราะดูหนังเรื่อง บุญชูผู้น่ารัก สันติสุข (สันติสุข พรหมศิริ) กับ จินตหรา (จินตหรา สุขพัฒน์) แสดงก็เลยเลือกคณะเกษตร” เธอหัวเราะให้ความทรงจำรสขม เพราะเรามองอดีตจากมุมมองของปัจจุบัน
“ช่วงปิดเทอม เราได้อ่านหนังสือ The Old Man and the Sea ฉบับแปลของ อาจารย์วิทย์ ศิวะศริยานนท์ (ผลงานของ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway) ใช้ชื่อภาษาไทยว่า เฒ่าผจญทะเล) ซึ่งแปลดีมาก เราชอบมาก อ่านแล้วมีกำลังใจ หนังสือเล่มนี้ให้พลังกับชีวิตมาก จากนั้นก็ไปหาฉบับภาษาอังกฤษมาอ่าน หนังสือเล่มนี้ทำให้อยากเขียนหนังสือ ทำให้อยากแปลหนังสือ ปีต่อมาก็เลยเลือกคณะอักษรศาสตร์ The Old Man and the Sea เป็นหนังสือเปลี่ยนชีวิตค่ะ”
ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมเธอเลือกตัวละครอย่างตาเฒ่าซานติเอโก ใน เฒ่าผจญทะเล ให้เป็นตัวละครที่น่าจดจำในโลกวรรณกรรม ตอนนั้นผมสัมภาษณ์เธอลงในเว็บไซต์ WAY นันธวรรณ์ขุดลึกลงไปในหัวใจตาเฒ่าซานติเอโกให้ผมฟังอีกครั้ง จนมองเห็นเธอนั่งคุดคู้ในความโดดเดี่ยวแต่สง่างามของตาเฒ่าผจญทะเล
“ตาเฒ่าซานติเอโกโดดเดี่ยวมากเลยนะ เขาอยู่คนเดียว ก่อนจะออกทะเล เขากินแค่กาแฟถ้วยเดียว แล้วก็ไม่ได้บ่นอะไรเลย การที่เขาไม่โวยวายไม่ฟูมฟายทำให้เรามีพลัง เขาตื่นเช้ามืดออกไปหาปลา ต่อสู้เพียงลำพังกับปลาในทะเล แต่กลับไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ชอบวิธีที่เขาเผชิญสิ่งต่างๆ อย่างสงบ ไม่ฟูมฟาย สิ่งนี้ทำให้เรามีพลัง”
ปีถัดมา นันธวรรณ์ย้ายไปเรียนสาขาวิชาภาษาอิตาเลียน คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอเลือกอธิบายเส้นทางชีวิตของตัวเองผ่านตัวละครในนวนิยายที่เธอแปล
“คุณได้อ่าน พยานไม่รู้เห็น (Testimone inconsapevole) แล้วใช่ไหมคะ กุยโด แกวร์เรียรี (ตัวเอกของเรื่อง) บอกว่า ถ้าเขาบอกว่าเลือกเป็นทนายเพราะอยากต่อสู้กับโจรผู้ร้ายก็เหมือนเป็นการโกหก โชคชะตาต่างหากที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ค่ะ
“ตอนนั้นเด็กเรียนดีจะเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะจบมาได้งานดี เป็นที่ต้องการของตลาด แต่อาจารย์ที่สอนเคร่งครัดมาก ถ้าไม่ทำงานส่ง จะใช้ไม้ตีข้อมือ เราไม่ชอบให้ใครบงการชีวิต ก็เลยเลือกภาควิชาอิตาเลียน เพราะชอบงานศิลปะของอิตาลีและภาพวาดของราฟาเอล (Raphael)”
นันธวรรณ์ เริ่มต้นทำงานแปลตั้งแต่เรียนชั้นปีที่ 1 ตั้งแต่ยังไม่ย้ายมาเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ แต่พอมาเรียนคณะอักษรศาสตร์ เธอเริ่มมองหาลู่ทางที่จะนำผลงานไปตีพิมพ์ตามหน้านิตยสาร
“เราไปดูที่แผงหนังสือ เปิดนิตยสารดูว่ามีเล่มไหนลงเรื่องแปลบ้าง เราเห็น ลลนา จึงลองส่งวรรณกรรมเยาวชนไปให้พิจารณา ลลนา ลงให้ทั้ง 2 ตอน ให้ค่าเรื่องละ 2,000 บาท ซึ่งเยอะมาก เราดีใจมาก ได้ตั้ง 4,000 บาท ตอนนั้นคุณนันทวัน หยุ่น เป็นบรรณาธิการค่ะ”

จากนั้น เธอทำงานแปลอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยกระทั่งทำงานที่บริษัทขายสปอตไลต์และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เธอซื้อหนังสือวรรณกรรมภาษาอังกฤษจากร้านหนังสือบนถนนสุรวงศ์ บางเล่มสั่งซื้อจาก Amazon แต่นันธวรรณ์บอกว่า หัวใจของการแปลวรรณกรรม ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอิตาเลียน แต่เป็นการใช้ภาษาไทย
“การอ่านหนังสือภาษาต่างประเทศ ไม่ได้ทำให้เราแปลหนังสือได้เสมอไปนะคะ แต่เป็นการอ่านหนังสือภาษาไทย ช่วงนั้นเราอ่าน ช่อการะเกด อ่านเรื่องสั้น สะพานขาด ของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ แล้วชอบมากเลย รวมถึงนักเขียนหลายๆ คนในช่อการะเกด ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้มีส่วนมากในการทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้ เพราะเราอ่านแบบจริงจังมาก เหมือนเราหลุดเข้าไปในนั้น เราจมเข้าไปในภาษา แล้วติดอยู่ในรสของถ้อยคำ จนกระทั่งทำให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้”
ช่วงแรกของการแปล เธอแปลงานวรรณกรรมจากภาษาอังกฤษ แปลผลงานของ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์, มาร์กาเร็ต แอ็ตวูด, เคท โชแปง, แคทเธอรีน แมนส์ฟิลด์, ออสการ์ ไวลด์, จอห์น สไตน์เบ็ก, ดอริส เลสซิง, อันตอน เชคอฟ และนักประพันธ์ชั้นเอกของโลกอีกมากมาย
“เราทำงานแปลมาอย่างสม่ำเสมอค่ะ แต่ตอนทำงานที่สภาอุตสาหกรรม เรารู้สึกว่ากำลังเสียเวลาในชีวิตเพื่ออะไร แปลกดีเนาะ บางคนก็พอใจกับการทำงาน โดยไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามมากมายกับชีวิต แค่ไปทำงานเพื่อให้ได้ค่าตอบแทน ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้ เรารู้สึกว่ากำลังทำสิ่งนี้เพื่ออะไร พอกลับบ้านเปิดคอมพิวเตอร์แปลหนังสือ รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เราต้องทำ นี่คืองานของเรา นี่คือชีวิตของเรา”
การแปลวรรณกรรม คือ ความสุขเดียวของชีวิต เธอเหงา โดดเดี่ยว ไม่มีใคร เคว้งคว้าง และไม่อยากมีชีวิต เหมือนตัวละครในนวนิยายที่เธอแปล
“แต่ความโดดเดี่ยวทำให้อินกับวรรณกรรม” เธอบอกเหมือนเผยความลับ “เคยไปปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาว่าเราไม่มีความสุข เหงา โดดเดี่ยวมีความทุกข์ อาจารย์ก็สอนว่า นี่คือผลกำไรของชีวิต ถ้าเราไม่เคยเจ็บปวด เราจะอ่านบทกวีได้ไม่ลึกซึ้ง ถ้าเราไม่เคยเหงา เราจะไม่เข้าใจบทกวีที่เราอ่าน เราจะต้องดิ่งลงไปในอีกด้านหนึ่งของชีวิต เราจึงจะอ่านงานบางประเภทแล้วซาบซึ้ง”
วรรณกรรม คือ ความสุขเดียวของชีวิต ส่วนชีวิตในด้านอื่นๆ ล้วนจมอยู่ในความทุกข์ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ เพราะบ้านคือ จำนวนของความสัมพันธ์ที่สามารถนับได้และอยู่รายรอบเรา การอยู่โดดเดี่ยวคือ จำนวนเฉพาะ จำนวนเฉพาะสามารถหารด้วย 1 และตัวมันเองเท่านั้น นี่คือเงื่อนไขที่ทำให้จำนวนเฉพาะแตกต่างไปจากตัวเลขในลำดับจำนวนต่างๆ ตามที่ เปาโล จอร์ดาโน (Paolo Giordano) ใช้ ‘จำนวนเฉพาะ’ เป็นเมตาฟอร์ อธิบายตัวละครในนวนิยาย ความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ (La solitudine dei numeri primi) นวนิยายที่ นันธวรรณ์แปลและรักมัน
“จริงๆ แล้ว ตอนที่ทำงานอยู่สภาอุตสาหกรรม ก็พยายามหาลู่ทางไปเรียนต่อ แต่เราไม่มีเงิน เราไม่พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ขณะนั้น ตอนนั้นมีโปรแกรมแชต ICQ เราก็แชตพูดคุยทำความรู้จักกับผู้คนและฝึกภาษา ตอนนั้นเองสามีก็ทักมา
“ตอนนั้นเราแชตคุยไปหมดทุกคน เขาทักมาเราก็ตอบ พอมาอีกวัน เขาทักมา แต่เราจำคนผิด (หัวเราะ) ปรากฏว่าเขาเอาจริง เขาอยากมีแฟน แต่ไม่อยากได้คนอิตาลี ตอนนั้นเราคิดว่ามันเป็นพลังของคนสองคนที่จูนเข้าหากัน เขามาหาเราที่เมืองไทย บวกกับการที่เราไม่อยากจะอยู่ที่เมืองไทยอยู่แล้ว เราก็เลยไปกับเขา”
“เหมือนมัตเตียกับอลิเชใน ความโดดเดี่ยวของจำนวนเฉพาะ” ผมรู้สึกแบบนั้น แต่เป็นมัตเตียกับอลิเชในเวอร์ชันสมหวัง
“พอเราสองคนอยู่ด้วยกัน ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย เหมือนมาเติมเต็มให้กัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็รู้สึกว่าความสุขมีอยู่จริง” เมื่อเธอเล่าถึงตรงนี้ ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับพันตัวกระพือปีกบินอยู่ในท้อง
“มีเรื่องอะไรไปเขียนบ้างไหมคะ นันพูดอะไรไม่ฉะฉานเอาซะเลย” เธอแสดงความกังวลหลังการสัมภาษณ์
“ผมรู้สึกสนุกที่ได้คุยกับคุณนันในวันนี้ครับ คงเหมือนกับวันที่คุณนันได้รับพลังจากตาเฒ่าซานติเอโก ใน The Old Man and the Sea ผมมีเรื่องเขียนแน่นอนครับ”

เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือ ‘Readtopia 2 ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศการอ่านของไทย’ (2567)
* หนังสือ ลาร์มินูตา แปลและจัดพิมพ์แล้วโดยสำนักพิมพ์อ่านอิตาลี