นักรบ มูลมานัส ปกหนังสือคือพื้นที่ฉายงานศิลปะ

471 views
8 mins
May 6, 2025

          จากปกนับพันนับหมื่นที่มีอยู่ในตลาดหนังสือหากถามว่านักออกแบบปกหนังสือคนไหนที่คุณจำชื่อได้ หนึ่งในนั้นอาจมี นักรบ มูลมานัส ศิลปินแนวคอลลาจที่ฝากฝีไม้ลายมือไว้บนปกหนังสือหลายสิบเล่ม ด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ที่มักผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน

          ผลงานของเขาโดดเด่นจนทำให้คนอ่านรู้ได้ทันทีว่าปกไหนเป็นศิลปะการตัดปะของเขา แต่ถึงพอจะคาดเดาได้ นักรบกลับสร้างความสดใหม่ออกมาอยู่เรื่อยๆ ดังเช่น การออกแบบปกอมตะนิยายของ เสนีย์ เสาวพงศ์ เรื่อง ปีศาจ และ ความรักของวัลยา ที่ไม่เพียงเชื้อเชิญอยากให้เก็บสะสม แต่ยังเป็นการประกาศก้องว่า เขายังมีของให้โชว์อีกเยอะ แม้ในวันที่ท้องตลาดเต็มไปด้วยการแข่งขันออกแบบหน้าปกหนังสือให้งดงามก็ตาม

นักรบ มูลมานัส ปกหนังสือคือพื้นที่ฉายงานศิลปะ

ย่างก้าวของการเป็นนักออกแบบ

          นักรบสนใจในงานศิลปะแนวคอลลาจมาตั้งแต่ยังเด็ก จากการที่บ้านเป็นร้านเสริมสวย และมักรับนิตยสารอยู่เสมอ ความชื่นชอบในการเก็บสะสมสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร รูปภาพ โปสต์การ์ด จึงเริ่มต้นขึ้น ณ วันนั้น โดยหารู้ไม่ว่ามันจะกลายมาเป็นรากฐานผลงานศิลปะของเขาในวันนี้

          “สมัยก่อนเราเติบโตอยู่ในแวดวงของคนที่สนใจนิตยสาร เพราะที่บ้านเปิดร้านทำผม ก็จะรับนิตยสารต่างๆ ค่อนข้างเยอะ เราเลยเติบโตมากับการอ่านนิตยสาร ดิฉัน ขวัญเรือน พลอยแกมเพชร ฯลฯ และก็เห็นว่ามันมีการทำภาพประกอบหลากหลายวิธี วิธีแบบคอลลาจก็มีเหมือนกัน

          “พอตอนที่อยากทำอะไรเป็นของตัวเองก็เลยมองว่าวิธีการนี้น่าสนใจ เพราะเราไม่ได้วาดรูประบายสีสวยงามมาก และเราสนใจประวัติศาสตร์ พวกรูปภาพ โปสต์การ์ด หรือสิ่งพิมพ์ จึงเริ่มหยิบจับหนังสือหรือนิตยสารเก่าๆ มาตัดปะให้กลายเป็นบริบทใหม่”

          เมื่อจบจากภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ความชื่นชอบในงานภาพเป็นแรงผลักดันให้นักรบเบนเข็มจากการทำงานตรงสายอาชีพ มาสมัครเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ให้กับนิตยสารแห่งหนึ่งในช่วงบั้นปลายของยุคสิ่งพิมพ์รุ่งเรือง หรือราว 8-9 ปีก่อน

           “ตอนเริ่มทำงานกราฟิก เรายังไม่รู้สไตล์ตัวเองเท่าไร แต่ก็มีสไตล์ที่เราชอบ มีสิ่งพิมพ์เก่าๆ ที่เก็บเอาไว้ เลยเริ่มหยิบสิ่งเหล่านั้นมาทำเป็นงานคอลลาจ โดย based on text และส่งพอร์ตโฟลิโอไปตามนิตยสารต่างๆ ประมาณ 4-5 แห่ง น่าเสียดายที่ทุกวันนี้นิตยสารเหล่านั้นไม่เหลือแล้ว และนิตยสารดิฉัน ก็เป็นที่เดียวที่ตอบรับมา นั่นจึงเป็นงานแรกที่เริ่มทำภาพประกอบคอลัมน์ หลังจากนั้นค่อยมาทำภาพปกหนังสือ”

          ย้อนกลับไปในช่วงที่นักรบเริ่มสร้างสรรค์ผลงาน ศิลปะแนวคอลลาจอาจยังไม่ได้เป็นที่สนใจเท่าไรนักในเมืองไทย แต่หลังผลงานของเขาเผยแพร่ออกไป ก็มีทั้งกระแสชื่นชมในความสร้างสรรค์ รวมทั้งกระแสที่ว่าไม่เหมาะสมที่นำศิลปวัฒนธรรมของไทยมาดัดแปลงเข้ากับวัฒนธรรมอื่น ทว่าวันนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านักรบพิสูจน์ตนเองจนผลงานของเขาเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาทั้งในและต่างประเทศ

          “ตอนนั้นคนอาจจะไม่ค่อยเห็นงานในลักษณะแบบนี้ แต่ความจริงงานคอลลาจเกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว และเราเลือกที่จะหยิบจับวิธีนี้มาใช้ เพราะมันสามารถสื่อสารภาพที่อยู่ในหัวเราได้โดยที่ไม่ต้องวาดหรือระบายสี ไม่ต้องทำอะไรขึ้นมาเป็นพิเศษ ในช่วงแรกๆ คนอาจจะมองว่าแปลกดี เพราะเราเอาความเป็นไทย หรือศิลปะไทยมาใช้เป็นวัตถุดิบ และหยิบจับมาวางให้อยู่ในบริบทประวัติศาสตร์อย่างอื่นด้วย เช่น แนวตะวันตก”

          แม้ปัจจุบันศิลปะแนวนี้จะพบเห็นไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ควบคู่กับการถือกำเนิดศิลปินแนวคอลลาจหน้าใหม่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่นักรบมองว่าเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขายังคงแจ่มชัด เพราะแก่นสำคัญในการเป็นศิลปินคอลลาจคือ การเข้าใจตัวเอง

          “เราพูดอยู่เรื่อยๆ ว่าคอลลาจเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเลยของการทำงานศิลปะหรืองานออกแบบต่างๆ ถึงงานคอลลาจจะเป็นวิธีการเดียวกัน แต่วิธีที่จะทำให้งานออกมาไม่เหมือนกัน คือ material บวกกับความสนใจของแต่ละคน ถ้าคุณจะทำคอลลาจ คุณต้องมีความเข้าใจตัวเองระดับหนึ่ง มีคลังรูปที่เราเก็บแล้วนำมาตีความหรือเอามาทำงาน ไม่อย่างนั้นงานของคุณอาจจะคล้ายกับคนอื่นที่ทำลักษณะเดียวกันได้

          “มันเป็นโจทย์ของคนที่ทำงานสร้างสรรค์ประเภทนี้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรให้หยิบจับรูปภาพ หรือนำเสนอสิ่งต่างๆ ออกมาโดยที่คนดูยังรู้อยู่ว่าเป็นงานของเรา ซึ่งเราก็พยายามขยับขยายคอลลาจให้ไปไกลขึ้น เช่น เอา text มาเป็นวัตถุดิบบ้าง หรือทำอะไรที่เป็น installation บ้าง ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ให้สดใหม่ ให้เราไม่เบื่อด้วย ถ้าเกิดเราเบื่อคนดูเขาก็คงจะเบื่อด้วยเหมือนกัน”

          สำหรับกระบวนการทำงานคอลลาจนั้น นักรบบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การลงมือตัดปะภาพหนึ่งเข้ากับอีกภาพหนึ่งให้สอดคล้องกลมกลืนกัน แต่เป็นการเก็บรวบรวมคลังข้อมูล ที่บางครั้งอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต

          “การที่เราเก็บสะสมรวบรวมคลังข้อมูลหรือคลังรูป ใช้เวลามากกว่าที่เราทำงานอีก มันเป็นช่วงที่กินเวลายาวนาน อาจจะใช้เวลาไปทั้งชีวิตของเราก็ได้ แต่มันทำให้เราเรียนรู้ว่า สิ่งไหนใช่ สิ่งไหนไม่ใช่ ส่วนนี้จึงเป็นกระบวนการที่สำคัญ เพราะสิ่งที่จะทำให้งานแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็เริ่มจากตรงนี้”

นักรบ มูลมานัส ปกหนังสือคือพื้นที่ฉายงานศิลปะ
นักรบ มูลมานัส ปกหนังสือคือพื้นที่ฉายงานศิลปะ
นักรบ มูลมานัส ปกหนังสือคือพื้นที่ฉายงานศิลปะ

โลกของปกหนังสือ

          พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ ผลงานการเขียนเล่มที่ 2 ของ วีรพร นิติประภา เจ้าของรางวัลซีไรต์ 2 สมัย เป็นหนังสือเล่มแรกที่ปูทางให้นักรบเริ่มเข้าสู่โลกการออกแบบปกหนังสือ หลังจากนั้นเขาก็ถือเป็นนักออกแบบปกคู่บุญของวีรพรเลยก็ว่าได้

          “เรารู้จักคุณวีรพรมาตั้งแต่สมัยเรียน เพราะเป็นคุณแม่ของรุ่นน้องที่คณะ พอเห็นว่าหนังสือเล่มแรกของเขาได้รางวัลซีไรต์ พอได้ออกแบบปกเล่มที่สอง ก็รู้สึกกดดันนิดหนึ่ง เพราะเขาเป็นนักเขียนเบอร์ใหญ่ แถมเรื่องราวก็เข้มข้น ซับซ้อน เต็มไปด้วยเลเยอร์ของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือความเหนือจริง

          “ด้วยความยิ่งใหญ่ของตัวนักเขียนและความทรงพลังของหนังสือ มันจึงเป็นโจทย์ที่ยาก ขณะเดียวกัน มันก็มีความง่ายอยู่ เพราะเป็นหนังสือที่มีภาพชัดเจน เราอ่านแล้วได้มู้ดแอนด์โทนที่ชัด เห็นสี เห็นรูปภาพที่เกิดจากการพรรณนาของคุณวีรพร รวมถึงภาษาและท้องเรื่องก็แข็งแรงมาก แข็งแรงจนทำให้เราเห็นภาพของนิยาย ก็เลยคิดว่าเป็นโจทย์ที่มีทั้งยากแล้วก็ง่ายอยู่ในเล่มเดียวกัน แต่ก็รู้สึกว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สวยงาม เป็นหนังสือที่นำพาอารมณ์ของเราไปสู่มิติต่างๆ มากมาย เลยรู้สึกดีมากที่ได้ทำเล่มนี้เป็นเล่มแรก”

          ปกตินักออกแบบปกหนังสือส่วนใหญ่มักจะจบมาทางด้านศิลปศาสตร์ หรือการออกแบบโดยตรง แต่การสร้างสรรค์ผลงานของนักรบนั้นเกิดขึ้นจากการเรียนรู้และทดลองด้วยตัวเอง โดยอาศัยความรู้เมื่อครั้งยังเรียนเอกภาษาไทยมาใช้เป็นอาวุธในการตีความตัวบทหนังสือ และต้นทุนเรื่องการอ่านนี้เอง ที่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งทำให้ผลงานของเขาช่วยส่งเสริมเนื้อหาภายในได้เป็นอย่างดี

          “ผมคิดว่าเป็นทั้งข้อเด่นและข้อด้อยนะ ข้อเด่นคือ เรามีพื้นฐานการอ่าน ทำให้มองเห็นจุดต่างๆ ที่สามารถหยิบจับมาตีความได้ หรือมองเห็นบริบทในแง่สภาพสังคมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในสมัยนั้น ซึ่งก็เป็นแรงบันดาลใจจากการที่เราเรียนประวัติศาสตร์หรือเรียนปรัชญามาด้วย แน่นอนว่าเป็นข้อดีที่ทำให้เราวิเคราะห์อะไรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

           “แต่ข้อด้อยก็คือ เรื่องทักษะในการวาด ในงานฝีมือเรามีไม่เท่าคนที่เขาจบศิลปะหรืองานออกแบบมาโดยตรง เพราะฉะนั้นเราก็พยายามจะชูสิ่งที่ทำได้ออกมา พยายามหาวิธีการต่างๆ ที่ดึงข้อด้อยของเราให้น้อยลง นั่นแหละคือวิธีการที่เราทำคอลลาจ เราหยิบยืมภาพที่มีอยู่แล้วในอดีตมาใช้ แทนที่จะสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ 100 เปอร์เซ็นต์”

          ในวิธีสกัดความคิดความเข้าใจออกมาเป็นภาพนั้น นักรบแจกแจงให้ฟังว่า เวลาอ่านหนังสือสักเล่ม เขาจะเห็นแนวทางว่า มู้ดแอนด์โทนควรเป็นแบบไหน หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ ตัวเนื้อหาจะกำหนดมู้ดแอนด์โทนเอาไว้ให้ชัดเจน สิ่งที่นักออกแบบควรทำก็คือ ดึงสารที่หนังสือส่งมาแสดงให้เห็นอยู่บนหน้าปก เหมือนเวลาที่อ่าน พุทธศักราชอัสดงฯ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าไม่ควรเป็นปกสีชมพูหวานแหวว ส่วนการทำให้ภาพเล่าเรื่องนั้น นักรบมองว่าภาพทุกภาพล้วนเล่าเรื่องด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เหมือนเป็นกลวิธีการสื่อสารที่เมื่อมองไปเห็นภาพภาพหนึ่ง ก็สามารถจุดประกายความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

          “แต่สิ่งที่ยากคือ ทำอย่างไรให้ภาพร้อยเรียงเข้าด้วยกัน และเข้ากับท้องเรื่องของหนังสือเล่มนั้น เพราะภาพหมา ภาพแมว ภาพนก ภาพผลไม้ แต่ละภาพเล่าเหมือนกันหมด แต่มันกำลังพูดถึงเรื่องราวของอะไร สิ่งที่ยากจึงไม่ใช่การให้ภาพเล่าเรื่อง แต่เป็นการร้อยเรียงให้เป็นเนื้อเรื่องที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นมากกว่า”

          แม้งานของนักรบจะอิงกับประวัติศาสตร์ แต่หนังสือที่เขาออกแบบนั้นกลับไม่ได้ตีวงจำกัดอยู่แค่ความเป็นอดีต ไม่ว่าจะหมวดนวนิยาย เศรษฐศาสตร์ ไปจนถึงจิตวิทยา การพัฒนาตัวเอง ล้วนเคยผ่านมือเขามาทั้งสิ้น ความสามารถในการลื่นไหลไปตามแต่ละโจทย์ได้โดยยังคงเอกลักษณ์ของตัวเองไว้อยู่นั้น ถูกฝึกฝนมาตั้งแต่ครั้งเริ่มออกแบบภาพประกอบให้คอลัมน์ในนิตยสารดิฉัน

           “งานแรกที่ทำให้กับนิตยสารดิฉัน เป็นคอลัมน์ตอบปัญหาทางกฎหมาย ตอนนั้นก็รู้สึกท้าทายมากและเป็นโจทย์ที่ดี เพราะหัวข้อเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ผัวๆ เมียๆ หรือการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล งานตรงนั้นเลยเหมือนกับฝึกให้เราคิดว่าถ้าโจทย์วนกลับมาพูดถึงเรื่องเงินทองอีก เราจะใช้รูปอะไรในคลังของเราที่เป็นภาพทางประวัติศาสตร์มาบอกเล่าเรื่องนี้ และจะหาวิธีนำเสนออย่างไรให้แตกต่าง คล้ายกับเราต้องหาวิธีการทำงานภายใต้ข้อจำกัดของคอลลาจว่าจะทำอย่างไรให้ภาพที่ออกมาต่างออกไป ทำให้เขายังสนใจอยู่ ซึ่งมันก็มีทางไปได้ และเราก็คงจะรู้สึกเสียใจถ้าเกิดทำปกหนังสือขึ้นมาอีกเล่มหนึ่ง แต่คนเห็นกลับจำมันไม่ได้ หรือคิดว่า

เป็นเล่มเดิมที่เราทำ แบบนั้นเหมือนเราย่ำอยู่กับที่ เราอยากจะเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่ายังทำอะไรได้อีกเยอะ แม้เทคนิคแบบคอลลาจจะดูเป็นวิธีเดียว แต่จริงๆ ยังมีช่องว่างหรือมีวิธีตีความเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่จะทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัด”

          หนึ่งในผลงานการออกแบบปกหนังสือของนักรบที่ถ้าหากไม่พลิกดูด้านใน คงไม่รู้แน่ว่าเขาคือผู้ออกแบบ คือ SELF-SEARCHING คุณค่า ตัวตน คน ละคร ของ อรชุมา ยุทธวงศ์ ที่เผยให้เห็นความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัดตามที่เขาพูดถึง ปกนี้เป็นเพียงภาพม่านสีแดงเล็กๆ อยู่ตรงกลาง และกระดาษสีเงินด้านในก็ทำหน้าที่เหมือนกระจก สอดประสานไปตรงกลางม่านที่ถูกเจาะช่องเอาไว้

           “บางสำนักพิมพ์มีคาแรกเตอร์ค่อนข้างแข็งแรง เล่มนั้นเป็นของสำนักพิมพ์ openbooks ที่มีแบรนดิ้งเป็นสไตล์มินิมอลประมาณหนึ่ง ตอนแรกเราเสนอไปหลายทางว่าควรจะเป็นทางไหนดี ควรจะเป็นภาพตัดปะเยอะแยะมากมายหรือเปล่า หรือควรจะลดลงมาเป็นแบบไหน ก็พยายามหาแนวทางกับสำนักพิมพ์เหมือนกันว่าทำยังไงให้ยังเป็นงานของเราอยู่ โดยที่ตอบโจทย์สำนักพิมพ์ด้วย เราจึงพยายามถอดงานของเราที่เป็นดีเทลเยอะๆ หรือภาพอะไรเกี่ยวกับอดีตไปใส่ไว้ข้างในเล่ม ส่วนตัวปกก็ตั้งใจทำให้มินิมอลหน่อย แต่ใส่กิมมิกบางอย่างลงไป”

นักรบ มูลมานัส ปกหนังสือคือพื้นที่ฉายงานศิลปะ

ปกหนังสือคืองานศิลปะ 

          หากหนังสือไม่มีปก เรายังสามารถเรียกว่าเป็นหนังสือได้อยู่หรือไม่

          เมื่อตั้งคำถามนี้กับตัวเอง เราก็เห็นความสำคัญของปกหนังสือขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง กระดาษเปลือยเปล่าไร้ปกห่อหุ้ม คงแทบไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษ หน้าที่ของปกหนังสือจึงเป็นทั้งการปกป้องเรื่องราวที่อัดแน่นอยู่บนหน้ากระดาษนับร้อยนับพันหน้า เป็นเหมือนพ่อค้าที่เชื้อเชิญให้ผู้คนยอมหยุดสายตา หยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาลูบคลำ สัมผัส หรือพลิกดูปกหลังเพื่ออ่านเรื่องย่อ แต่สำหรับนักรบนั้นปกหนังสือคือ ‘งานศิลปะ’

          “ในสังคมร่วมสมัย ปกทำหน้าที่หลายอย่างอย่างแรกคือทำหน้าที่เชื้อเชิญให้ผู้พบเห็นเข้ามาในโลกของสิ่งพิมพ์ บางคนอาจบอกว่าสิ่งพิมพ์กำลังจะตาย แต่เราไม่คิดแบบนั้น เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการออกแบบหน้าปกให้ดูสวยงามก็เป็นเรื่องของการตลาดที่อยากให้คนอยากสัมผัสและเก็บสิ่งเหล่านี้เอาไว้”

          “สำหรับเราปกหนังสือเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง แน่นอนเราปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานในแวดวงสิ่งพิมพ์อาจจะไม่ให้รายได้มากเท่างานอื่นๆ แต่เรามองว่าเป็นพื้นที่สำคัญ เป็นผืนผ้าใบให้เราได้แสดงผลงาน และกระจายไปทั่วทุกแผงหนังสือ

          ปกหนังสือจึงมีคุณค่าทั้งในเชิงการค้า และคุณค่าในเชิงจิตใจที่จะเชื้อเชิญให้คนไปสัมผัสกับเรื่องราว ความรู้สึก หรือสาระอะไรต่างๆ ที่แฝงอยู่ในเล่มด้วย”

          นักรบเปรียบปกหนังสือประหนึ่งผืนผ้าใบในการสร้างสรรค์งานศิลปะ เพราะวิธีการทำงานต้องใช้ชุดความคิด ใช้การตกตะกอน ใช้มิติการเชื่อมโยงอะไรบางอย่างเพื่อจะถ่ายทอดให้เป็นภาพที่ชักชวนให้คนคิดหรือจินตนาการต่อเหมือนกัน และถ้าบางครั้งผู้อ่านจะไม่สามารถรับสารที่ส่งออกมาผ่านงานศิลปะคอลลาจของเขาได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าการออกแบบล้มเหลวเสมอไป

           “เราแค่อยากให้ภาพสื่อสารออกมา ผู้อ่านอาจไม่ต้องรับสารอะไรที่อยู่ในหนังสือก็ได้ เพราะดูภาพภาพเดียวอาจไม่ได้ทำให้เรารับรู้สารผ่านตัวอักษรที่มีเป็นร้อยหน้าได้ แต่เราแค่ต้องการสรุปเนื้อหา ให้อยู่ในภาพเดียว เมื่อคนเห็นก็จะรู้สึกอยากรู้ว่าเรื่องราวข้างในเป็นอย่างไร

           “ถ้าสมมติหนังสือหนึ่งเล่มเป็นภาพยนตร์ สิ่งที่เราทำบนหน้าปกจะเป็นเหมือนทีเซอร์สั้นๆ ที่ไม่สปอยล์ แต่จะทำให้คนอยากรู้ว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร หรือถ้าสมมติหนังสือเป็นนายแบบหรือนางแบบสิ่งที่เราต้องทำคือหาเสื้อผ้าให้เขาว่าแบบไหนจะนำเสนอบุคลิกของเขาออกมาได้ คนเห็นแล้วสะดุดตา อยากรู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร”

นักรบ มูลมานัส ปกหนังสือคือพื้นที่ฉายงานศิลปะ

เคารพหนังสือครึ่งหนึ่ง เคารพตัวเองครึ่งหนึ่ง

          เมื่อถามเขาว่าจนถึงวันนี้จำได้ไหมว่าตัวเองออกแบบปกหนังสือไปกี่เล่ม นักรบตอบกลับมาเกือบจะทันทีว่า “จำไม่ได้” พร้อมหัวเราะเล็กน้อย แต่เขามั่นใจว่าไม่ต่ำกว่า 20 เล่ม เพราะการออกแบบปกหนังสือถือเป็นงานหลักประมาณ 1 ใน 3 ของงานทั้งหมดที่ทำ และหากงานนี้จะทิ้งบทเรียนอะไรไว้ให้ นักรบคิดว่าเป็นการพาตัวเองก้าวออกจากกรอบที่คุ้นชิน โดยเฉพาะกรอบในการอ่าน

          “งานนี้ทำให้เราได้ค้นพบโลกที่หลากหลาย ได้อ่านหนังสือที่คิดว่าปกติฉันอาจจะไม่ได้อ่าน ซึ่งก็ท้าทายตัวเองเหมือนกัน ในการต้องทำหนังสือในหลายวงการ เพราะต้องรู้เงื่อนไขของแต่ละแวดวงด้วย แน่นอนสิ่งต่างๆ อาจจะไม่ได้พวยพุ่งขึ้นมาจากแรงบันดาลใจของเราเอง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เราจะทำอย่างไรที่จะพวยพุ่งไปด้วยกันกับสิ่งที่เราพบเจอในหนังสือ ไปกับสิ่งที่นักเขียนกำลังจะบอก เราต้องลดอัตตาของตัวเองหรือเปล่า เราต้องผสมผสานสไตล์ของตัวเองอย่างไรให้เข้ากันกับลีลาหรือว่าน้ำเสียงของนักเขียน

          “สิ่งที่ต้องระลึกไว้ก็คือ เราต้องหาวิธีการในการประสานความเป็นศิลปินกับความเป็นนักออกแบบให้ออกมาได้ ต้องเก็บลายเซ็นของเราไว้ แต่ก็ต้องวางอยู่ในกรอบของเรื่อง สมมติถ้าเป็นหนัง เราไม่ใช่ผู้กำกับ เราเป็นคนตัดต่อ คนทำทีเซอร์ เราต้องเคารพนักเขียนและตัวหนังสือ แล้วก็เคารพความเป็นตัวเราเหมือนกัน”

          แม้การออกจากเซฟโซนของตัวเองจะพานักรบไปเจอโลกอีกใบ แต่ถ้าบังเอิญโลกใบนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่รู้สึกเข้าถึง นักรบจะพยายามคิดว่า ‘อย่างน้อยก็ต้องมีคนอื่นที่ชอบ’

          “ถึงแม้ว่าเล่มนั้นจะไม่ถูกจริตเรา แต่เราก็คิดเสมอว่าต้องมีคนถูกจริตกับหนังสือเล่มนี้บ้างแหละ เราต้องทำตามโจทย์ หยิบจับภาพขึ้นมาให้ได้ และโจทย์ในที่นี้ก็คือ เนื้อหา มันพูดถึงสิ่งไหนบ้าง มีน้ำเสียงอย่างไรบ้าง แน่นอนว่าเล่มที่เราชอบ เราก็อาจจะทำงานออกมาได้เร็วกว่าหน่อย คล่องกว่าหน่อย ใส่อะไรเข้าไปเต็มที่หน่อย”

นักรบ มูลมานัส ปกหนังสือคือพื้นที่ฉายงานศิลปะ

การออกแบบปกหนังสือที่เห็นและรู้สึก

          คำกล่าวที่ว่า ‘อย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก’ อาจใช้ไม่ได้แล้วในยุคนี้ หากไปเดินในร้านหนังสือคุณจะเห็นการออกแบบปกที่สวยสดงดงามชนิดไม่มีใครยอมใคร ราวกับจะเป็นการบอกทุกคนว่า ‘สิ่งพิมพ์ยังไม่ตาย’ ในความเห็นของนักรบที่คลุกคลีกับการอ่านมาตั้งแต่เด็กนั้น เขาเองก็รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

          “สิ่งที่ทำให้เราสนใจเกี่ยวกับการออกแบบปกขึ้นมา เพราะเราไปดูหนังสือที่มีการตีพิมพ์ครั้งแรกๆ ในประเทศไทยประมาณ รัชกาลที่ 4 หรือ รัชกาลที่ 5 ช่วงนั้นหนังสือดูเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นสิ่งที่หรูหรา กลวิธีการคิดการออกแบบก็ประณีตงดงาม เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมสมัยที่เราเป็นเด็ก เมื่อเห็นหนังสือกลับรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร กระทั่งช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา คนให้ความสนใจกับการเลือกซื้อหนังสือผ่านหน้าปกมากขึ้น อย่างคำที่บอกว่า ‘อย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก’ ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ยังสามารถใช้ได้อยู่ไหม เพราะทุกสำนักพิมพ์ต่างออกแบบหน้าปกให้สวยเพื่อดึงให้คนมาสนใจซื้อหนังสือเล่มนี้เก็บเอาไว้ ซึ่งก็เป็นอีกวิธีหนึ่งสำหรับคนทำงานสร้างสรรค์หรือคนทำงานศิลปะ แน่นอนเราปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานในแวดวงสิ่งพิมพ์อาจจะไม่ให้รายได้มากเท่างานอื่นๆ แต่สำหรับเราเห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญ เป็นผืนผ้าใบให้เราได้แสดงผลงาน และงานที่เรานำไปแสดงที่ต่างๆ ก็ไม่ได้มีแค่ผืนผ้าใบอย่างเดียว แต่กระจายออกไปทั่วทุกแผงหนังสือ” 

          การที่นักรบสั่งสมชื่อเสียงของตนเองในฐานะศิลปิน และการที่ยังคงมีคนจ้างเขาออกแบบปกหนังสืออยู่ไม่ขาด อาจเป็นข้อพิสูจน์เบื้องต้นว่า ผลงานของเขาช่วยกำหนดชะตากรรมของหนังสือเล่มนั้นได้ไม่มากก็น้อย จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นักรบก็นับเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งที่มีส่วนขับเคลื่อนให้วงการสิ่งพิมพ์ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน

          “คิดว่าไม่ใช่เราคนเดียว ยังมีพี่นักออกแบบที่ทำงานมาเนิ่นนาน เราเป็นแค่กลไกหนึ่งที่ช่วยกันขับเคลื่อนวงการสิ่งพิมพ์ เพราะการทำหนังสือเป็นงานที่ต้องทำเป็นงานกลุ่ม นักเขียนก็ทำงานในรูปแบบของเขา ศิลปินนักออกแบบก็ทำงานในรูปแบบของเรา บรรณาธิการก็ทำงานในส่วนนั้น เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด

          “เราก็อยากทำให้สวยเพื่อให้คนเข้าไปเห็นคุณค่าของหนังสือ บางเล่มอาจจะเป็นหนังสือที่ดีมาก แต่ถ้าหน้าปกไม่สวย ก็เป็นยาขมเหมือนกัน เราต้องให้คนผ่านด่านแรกมาให้ได้ก่อน เลยรู้สึกว่าถ้าจะทำให้คนเปลี่ยนความคิดว่าอย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปกมาเป็นเลือกซื้อหนังสือจากปกก็อาจจะเวิร์กเหมือนกัน หากปกถ่ายทอดคุณค่าของหนังสือออกมาได้ทัดเทียมกับคุณค่าภายในเล่มนั้น”

          ทุกวันนี้งานสัปดาห์หนังสือเปรียบดั่งเส้นตายที่คนทั้งสายพานต้องเร่งให้ทันเวลา จนบางคนอดบ่นไม่ได้ว่า ‘เวลา’ คือศัตรู ในฐานะคนออกแบบปกนักรบกล่าวว่าเวลาไม่ใช่ปัญหา ทว่าค่าตอบแทนต่างหากที่เขาอยากเห็นเพดานมันสูงกว่านี้

          “ในแง่ของค่าตอบแทนของทั้งวงการไม่ใช่แค่คนออกแบบปกคนเดียวนะ ทั้งคนเขียน คนแปล ถ้ามีมาตรฐานที่สูงขึ้น ทำให้เรายึดตรงนี้ได้เป็นอาชีพ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็คงจะดี เพราะทุกวันนี้คนออกแบบปกหรือคนทำภาพประกอบหนังสืออาจจะไม่ได้ทำสิ่งนี้อย่างเดียว อย่างเราเองก็ต้องทำงานศิลปะ ทำงานออกแบบเพื่อให้มีรายได้ในการขับเคลื่อนชีวิตบนโลกทุนนิยมนี้ แต่เมื่อเทียบกับหลายวงการ ถ้าทำภาพหนึ่งภาพให้กับสำนักพิมพ์กับทำหนึ่งภาพให้กับวงการโฆษณาหรือออกแบบให้กับห้างร้าน โรงแรมต่างๆ ก็เห็นชัดเจนว่าราคาคนละเรตกันเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีเพดานที่สูงกว่านี้ อาจทำให้คนอยากหันมาออกแบบปกหนังสือมากขึ้น ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนทำงานสร้างสรรค์ในไทย เขาไปทำงานอย่างอื่นที่ได้เงินมากกว่ายกเว้นคนที่มีใจรักในการอ่านหนังสือจริงๆ เพราะเราต้องใช้เวลาในการอ่านหนังสือหนึ่งเล่มให้จบแล้วมาตีความเป็นภาพ ถ้าเพดานค่าจ้างตรงนี้เพิ่มขึ้น เราอาจจะเห็นนักทำภาพประกอบหน้าใหม่ ที่มาสร้างความน่าตื่นเต้นมากขึ้นก็ได้”

          คำตอบของนักรบทำให้เราฉุกคิดถึงการให้คุณค่าต่อคนทั้งวงการสิ่งพิมพ์ คำว่า ‘ศิลปินไส้แห้ง’ ยังคงเป็นวาทกรรมที่ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน และคงจะจริงหากเมื่อไรค่าตอบแทนของพวกเขาถูกให้ค่าเท่ากับคุณภาพของผลงาน เมื่อนั้นวงการสิ่งพิมพ์ก็จะเบ่งบานยิ่งกว่าที่เป็น

นักรบ มูลมานัส ปกหนังสือคือพื้นที่ฉายงานศิลปะ


เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือ ‘Readtopia 2 ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศการอ่านของไทย’ (2567)

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก