ชายชราผมยาวขาวโพลน นัยน์ตาแกร่ง มือกระชับไม้เท้า ย่างก้าวระมัดระวัง โดยมีลูกสาวคอยประคอง คือภาพคุ้นตาของแขกผู้มาเยือนไร่ธารเกษม
ในวัย 92 คำสิงห์ ศรีนอก หรือ ลาว คำหอม ยังดูแข็งแรงแจ่มใส ทุกเช้าหลังตื่นขึ้นมากินข้าว กินปลา เขามักจะเสพข่าวสารบ้านเมืองผ่านโทรทัศน์ ท้องอิ่มก็ออกไปนั่งชมนก ชมไม้ริมสระน้ำ ตกบ่ายเอนหลังงีบหลับพอให้สดชื่นมีแรง จึงค่อยฉวยไม้เท้าคู่ใจ เดินนำฝูงหมาพาตรวจไร่
บนแผ่นดินกว้างใหญ่กว่า 100 ไร่แห่งนี้ เคยเป็น ทั้งทุ่งปลูกข้าวโพด ไร่ฝ้าย ไร่ละหุ่ง จนถึงฟาร์มโคนม ทั้งยังเคยเป็นที่หลบภัยของนักศึกษายุคตุลาวิปโยค เป็นแหล่งพักพิงของบรรดานักคิด นักเขียน ปัญญาชน นักวิชาการ ศิลปินรุ่นแล้วรุ่นเล่า ที่ คำสิงห์ ศรีนอก หรือ ลาว คำหอม ต้อนรับทุกคนอย่างเท่าเทียมและเปี่ยมด้วยเมตตา
ในยามบ่ายวันหนึ่งที่กรุงเทพฯ ถูกรมด้วยฝุ่น PM2.5 กลายเป็น เมืองในหมอก เหมือนชื่อนวนิยาย ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ มองไปทางไหนก็มีแต่ม่านควันสีเทาปกคลุม ลมหายใจอบอวลด้วยสารพิษ
ผมและช่างภาพขับรถเกือบสามชั่วโมง แล่นฉิวบนถนนมิตรภาพ หนีละอองฝุ่นและลมแล้ง มุ่งหน้า แสวงหาความร่มเย็นจากแมกไม้ในไร่ธารเกษม รวมถึงความร่มเย็นทางจิตใจ ผ่านการสนทนากับผู้เฒ่าเจ้าของไร่ อย่าง คุณลุงคำสิงห์
เราสองนั่งเคียงกัน ณ ลานหน้าบ้านริมสระน้ำเขียวเข้มร่มรื่นด้วยพรรณไม้ป่า ตรงข้ามเป็นบ้านหลังน้อยให้อารมณ์คล้ายกระท่อมริมบึงในนิยาย เรื่อง วอลเดน แดดอุ่น ลมพัดโชยชื่นใจ หมาสามตัวนอนกระดิกหางอยู่ใกล้ๆ แล้วบทสนทนาระหว่างชายชรากับคนหนุ่มก็เริ่มต้นขึ้น
“ทุกวันนี้ ชีวิตในแต่ละวัน คุณลุงทำอะไรบ้างครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้
“ลุงเป็นคนปกติคนหนึ่ง เป็นสามัญชนที่เป็นสามัญจริงๆ อยู่แบบชาวบ้าน มีอะไรทำก็ทำ มีอะไรกินก็กิน ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรซับซ้อน
“นักเขียนนี่นะ โดยพื้นฐานเราต้องสนใจความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง และแน่นอน ความเปลี่ยนแปลงของมันไม่มีแต่ด้านดีด้านเดียว มันมีด้านที่ไม่ดีด้วย แต่เราก็จำเป็นต้องเรียนรู้ ซึ่งก็คงไม่มีอะไรดีกว่าการติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในบ้านเราอย่างใกล้ชิด ก็ยังอาศัยทีวีในการติดตามข่าวสารบ้านเมือง ตื่นขึ้นมา 8 โมง ก็นั่งหน้าจอทีวีแล้ว ผมชอบดูช่อง 10 ทีวีรัฐสภา เพราะมีผู้หลักผู้ใหญ่แวะเวียนมาออกความเห็นต่างๆ นานาทำให้เราตามทันยุคสมัย ไม่ถึงกับเป็นคนตกยุค”

ลุงคำสิงห์หยุดพักหายใจ ก่อนพูดต่อ “และที่ผมยังต้วมเตี้ยมตามเขาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะได้คุยกับคนรุ่นใหม่ๆ คนรุ่นใหม่เขาคือครูนะครับ ผมเรียนรู้จากเขา เพราะคนรุ่นเก่าไม่มีอะไรจะสอนเราได้แล้ว สิ่งจำเป็นสำหรับคนรุ่นเราคือ ต้องติดตามสติปัญญาของคนรุ่นใหม่ให้ทัน ผมถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องติดตามความคิดของคนรุ่นใหม่ ด้วยความมั่นใจว่า ถ้าเราติดตามความคิดของพวกเขาทันเราจะสามารถอยู่ในโลกปัจจุบันได้อย่างเป็นปกติ”
น้ำเสียงเนิบช้า เว้นจังหวะยาว ต้องใช้เวลาฟังอยู่ชั่วอึดใจกว่าจะจบประโยค ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังแหงนมองใบไม้หมุนเคว้งจากต้นร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน อ้อยอิ่งแต่ก็งดงาม
แม้จะเคลื่อนไหวน้อยตามสรีระสังขาร แต่ทุกคำถามเขาตั้งอกตั้งใจฟัง ก่อนตอบออกมาแทบทันที แสดงถึงความคิดความอ่านที่ยังคงกระจ่างชัด แม้จะพูดช้า แต่ทุกประโยคก็ลึกซึ้งคมคาย ไม่ต่างจากสำนวนภาษาที่เขาเขียน
“ทุกวันนี้ยังอ่านหนังสืออยู่ไหมครับ”
“ก็ยังอ่านอยู่นะครับ ถ้ามีหนังสือส่งมาให้อ่าน ส่วนมากเป็นงานของพวกเด็กๆ ส่งมาให้ช่วยดูบางทีก็ขอให้เขียนคำนำให้บ้าง ผมบอกเขาว่าผมควรจะเลิกเขียนแล้ว แต่ถ้าอยากคุยเรื่องหนังสือหนังหา หรือขอคำแนะนำเป็นเรื่องๆ ไป ผมก็คุยได้”
“ขอโทษนะครับ อายุขนาดนี้ยังมีคนส่งงานมาให้ช่วยดูอีกเหรอ” ผมถามอย่างสุภาพ รู้สึกเกรงใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าใครกันหนอส่งต้นฉบับมาให้นักเขียนชราวัยเก้าสิบช่วยดู
“เท่าที่ผมสังเกตจากคำถามก็พบว่า ยังมีโรงเรียนหลายแห่งเขาเอา ฟ้าบ่กั้น ให้เด็กๆ อ่าน เด็กเขาก็สนใจที่มาที่ไปของเรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฏในนั้นมีวิธีเก็บข้อมูล สะสมข้อมูลยังไง ผมก็บอกว่าจริงๆ ไม่มีหรอก ก็เป็นนักท่องเที่ยวน่ะครับ ไม่อยากอยู่นิ่งๆ สมัยก่อนไปที่ไหนก็ขยันเขียน ชอบเขียนไดอารีมีเรื่องให้เขียนเยอะแยะ แล้วก็กลับมานั่งทบทวนเพื่อเปลี่ยนความจำของตัวเองให้เป็นตัวหนังสือ”

คำสิงห์ ศรีนอก เกิดปี 2473 ที่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เขาเป็นลูกชาวนาหมู่บ้านทุรกันดารแห่งหนึ่งในจำนวนนับหมื่นนับแสนหลังคาเรือนของภูมิภาคอีสาน
จากเด็กขี้โรค (เลือดออกตามไรฟันเพราะขาดสารอาหาร-ผู้เขียน) เรียนหนังสือกับพระแถวบ้าน เข้ากรุงเทพฯ มาศึกษาต่อวิชาการหนังสือพิมพ์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ แนวหน้า แต่เงินเดือนไม่พอยาไส้ จึงเบนเข็มไปสมัครรับราชการเป็นพนักงานป่าไม้ ใช้ชีวิต 5 ปีในหุบเขาดงดอยภาคเหนือ กระทั่งผันตัวมารับบทผู้ช่วยนักวิจัยมหาวิทยาลัยคอร์เนล ลงพื้นที่เก็บข้อมูลชีวิตชาวนาในชนบทภาคอีสาน ราวปี 2499
ช่วงนั้นเองที่คำสิงห์วัยหนุ่มได้สัมผัสกับ ‘ชีวิตสดๆ ในชนบท’ หมายถึงชีวิตจริงที่เป็นปัญหาของชาวไร่ชาวนาในภาคอีสานที่คนอื่นไม่ค่อยเห็น เขาจึงอยากแนะนำคนอีสานให้เป็นที่รู้จัก เพื่อให้คนส่วนใหญ่ของประเทศรู้จักชาวอีสานมากขึ้น
“ตอนนั้นสายตาของคนทั่วไปมองคนอีสานว่าเป็นพวกกินข้าวไม่ล้างมือ นี่มาจากคำพูดของนักการเมืองที่อภิปรายในสภาเลยนะครับ ผมก็คิดว่าเขายังไม่รู้จักคนอีสาน ก็เป็นหน้าที่ของคนอีสานที่รู้จักคนอีสาน และรักคนอีสาน น่าจะต้องเขียน”
นั่นจึงเป็นที่มาของหนังสือรวมเรื่องสั้น ฟ้าบ่กั้น ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2501 สำนักพิมพ์ เกวียนทอง ส่งให้นามปากกา ลาว คำหอม แจ้งเกิดในวงการวรรณกรรมไทย
ลาว คำหอม เปรียบ ฟ้าบ่กั้น ไว้ว่าเป็น ‘วรรณกรรมแห่งฤดูกาล’ หมายถึงฤดูแห่งความยากไร้และคับแค้น ซึ่งเป็นฤดูที่ยาวนานมากของประเทศไทยส่วนคำว่า ‘ฟ้าบ่กั้น’ มาจากคำกวีภาษาอีสานว่า ‘ฟ้าบ่กั้นหยังว่าให้ห่างกัน’ หมายถึง ฟ้าก็ไม่ได้ขวางกั้น แต่ทำไมเราช่างห่างกันเหลือเกิน
“ชีวิตคนอีสานในสมัยนั้นเป็นชีวิตที่ต่ำกว่าศูนย์ ได้รับการดูแลจากบ้านเมืองจากราชการนิดหน่อยเท่านั้น ผมจึงอยากให้มันเป็นคำร้องทุกข์ อยากเรียกร้องผู้มีชีวิตโอ่อ่าดีงามในเมือง ให้เห็นหัวอกเห็นอาการภายในของบุคคลผู้อมทุกข์ในชนบท เป็นคำเรียกร้องจากผู้ไม่มีอันจะกินต่อผู้ที่มีอยู่มีกินล้นฟ้าเหลือคณานับ ผมคิดว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ดีก็คือ สภาพของคนที่จมอยู่ในแอ่งของความทุกข์ยาก งานเขียนของผมก็เหมือนดูดน้ำจากแอ่งแห่งความทุกข์ให้มันเหือดแห้งไป”

เรื่องสั้น 17 เรื่องใน ฟ้าบ่กั้น ฉายภาพเรื่องราวชีวิตของชาวบ้านที่ต้องต่อสู้กับภัยรอบด้าน ทั้งภัยจากธรรมชาติ และภัยจากสังคมเมือง โดยมีฉากหลังเป็นชนบทอันยากไร้ เสื่อมโทรม และล้าหลังของภาคอีสาน
บรรดาเรื่องเอกที่คนกล่าวขานถึงอย่างลือลั่นก็เช่น เขียดขาคำ บรรยากาศสังคมหมู่บ้านชนบทที่เต็มไปด้วยความยากจนข้นแค้น ฟ้าโปรด เรื่องขำขื่นของเด็กสองคนกับคนแก่ที่แก่งแย่งขี้ควายกัน เพื่อคุ้ยหาแมงกุดจี่ไปเป็นอาหาร สะท้อนความแร้นแค้นไม่มีจะกินในฤดูแล้งอีสาน กระดานไฟ ตีแผ่ความงมงายของชาวบ้านที่เชื่อว่านอนบนกระดานไฟ ทำจากไม้ตะเคียนทองจะทำให้คลอดลูกปลอดภัย คนหมู บอกเล่าความอดอยากระดับที่ทำให้ชาวบ้านต้องเปลี่ยนจากกินข้าวมากินรำ คนพันธุ์ ยั่วล้อนโยบายในการพัฒนาของรัฐบาลยุคนั้นที่รับโคอ้วนท้วนจากอเมริกามาแทนที่โคไทยอันผ่ายผอม ชาวไร่เบี้ย ชะตากรรมของลุงมี ชายชราผู้พ่ายแพ้ต่อการเอารัดเอาเปรียบของเหล่านายทุน ไพร่ฟ้า โศกนาฏกรรมกลางป่าลึกของคนชั้นล่างที่ถูกคนชั้นสูงกดขี่ข่มเหงจนต้องจบลงด้วยความตาย นักกานเมือง ประจานภาพลักษณ์ชั่วช้าสามานย์ของคนที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้แทน’ ฯลฯ
นอกเหนือจาก ฟ้าบ่กั้น ชั่วชีวิต ลาว คำหอม เขียนหนังสือออกมาอีกเพียงไม่กี่เล่ม ได้แก่ กำแพง, แมว, ลมแล้ง, กำแพงลม, กระเตงลูกเลียบขั้วโลก, ประเวณี, เวียดนาม: ความห่างเหินที่อยู่ติดรั้วบ้าน, ฟ้าไร้แดน รวมถึงบทภาพยนตร์เรื่อง ทองปาน
“เรื่องหนึ่งที่คนชมกันเยอะคือการใช้ภาษา เขาว่า ลาว คำหอม เป็นนายของภาษาชาวบ้าน คือเรียบง่ายคมคายลึกซึ้ง” ผมถามถึงวิธีใช้สำนวนภาษาในงานเขียนของเขา พร้อมหยิบยกเอาประโยคที่ชอบ
เป็นการส่วนตัวขึ้นมา เช่น
‘หน้าผ่องผุดประดุจสลักด้วยหยกพุกามนั้นเชิดและเฉย เหมือนกับว่า ณ ที่นั้นปราศจากศัพท์สำเนียงใดๆ ทั้งสิ้น ลูกปัดสีเหลืองเข้มสลับแดงห้อยระย้าใต้กลีบหู สุกปลั่งอยู่ในแสงแดดอ่อนเอื้องผึ้งหลายช่อทอดนิ่งบนเรือนผมดำสนิท’
‘ข้าพเจ้ารักน้ำใจที่บึกบึนของเขา…’
‘ในความรู้สึกจริงๆ ของข้าพเจ้านั้น ข้าราชการประเภทปกครองปราบปรามนั้น เป็นคนอีกพวกหนึ่งต่างหากกับประชาชนสามัญ และในระหว่างคนสองพวกนี้ ได้มีความหวาดกลัวเป็นช่องว่างขวางกั้น ฝ่ายคนธรรมดาสามัญก็มองท่านเจ้าหน้าที่เสมือนเป็นเจ้าชีวิตโหดที่เข้าใกล้มีแต่จะแพ้ภัยตัว นานๆ หรอกเขาจึงมีโชคได้พบพระมาลัยสักครั้งหนึ่ง และทางฝ่ายเจ้านายก็มองราษฎรเป็นเสมือนผักหญ้า จึงลิดรอนถอนกินตามใจชอบ’
‘แดดกล้าเริงแรงเหมือนจงใจจะแผดเผาทุกชีวิตบนทุ่งกว้างให้มอดไหม้จนสิ้นซาก สะแบงหลวงกับพะยอมยืนโดดเด่น ทิ้งใบแก่สีเหลืองคล้ำร่อนลงดินเป็นครั้งคราว เขาหย่อนกายลงตรงโคนไม้ด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อน เสื้อสีครามคล้ำเปียกชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ รอบตัวมีแต่ความอ้างว้างแห้งแล้ง…’
‘นาคเดินออกมาสมทบเพื่อนข้างนอกอย่างเงื่องหงอย เกิดเป็นราษฎรชาวนานี่ช่างมีแต่กองทุกข์ เขาคิด อดอยากปากหมองก็สุดจะทุกข์อยู่แล้ว หันหน้าไปหาเจ้านายก็มีแต่คำขู่เข็ญ …’
‘เศรษฐีบุญหันไปจ้องหน้าที่ดำคล้ำ มองตาที่ขุ่นมัวเหมือนตาปลาตะเพียนสลบแดด แล้วยิ้มน้อยๆ ทำให้ชายชรายิ้มออกมาบ้าง พลางยกมือไหว้อย่างลืมตัว’
‘ชีวิตชาวนาแท้ๆ ที่เกิดและเติบโตกลางท้องทุ่งอย่างลุงคง เป็นชีวิตที่ไม่มีแง่เงื่อนซับซ้อนอะไรนักมีเส้นทางวางไว้เกือบแน่นอน พอฝนมาก็ลงไถแล้วหว่านปักดำ ปีไหนฝนพอเหมาะก็เหลือได้ขาย ปีใดน้ำท่วมก็หันไปกินข้าวเชื่อ รวมถึงกะปิและน้ำปลาด้วย แล้วรอคอยแก้ตัวในปีหน้า’
ฯลฯ
“ตอนเขียนคุณลุงคิดอะไรอยู่ครับ” ผมถามหลังสาธยายเสียยืดยาว
“ผมตั้งใจอยากจะให้เป็นภาษาง่ายๆ นะครับ ใน ฟ้าบ่กั้น เป็นภาษาที่ห่างจากวัด ไม่ใช่ภาษาวัด ไม่ใช่ภาษาพระ เป็นภาษาชาวบ้านการที่เราผูกพันกับวัด ถึงจะพยายามยังไงมันก็ยังคงติดภาษาวัดอยู่ไม่น้อย นี่ขนาดระมัดระวังมากแล้วนะครับ ยังไงก็ออกจากวัดไปไม่พ้นยังป้วนเปี้ยนอยู่บนศาลาวัดนั่นเอง ภาษาของ ลาว
คำหอม ก็เป็นภาษาที่ป้วนเปี้ยนอยู่บนศาลาวัด
“ศรีบูรพา เคยพูดกับผมว่า คำสิงห์มันร่ำรวยภาษาจังเลย เขาเองกว่าจะคิดออกมาได้แต่ละคำคิดแล้วคิดอีก คำสิงห์นั่งแป๊บเดียวก็เขียนออกมาได้ภาษาชัดเจน ให้ภาพทางภาษาชัดเจน ท่านบอกว่าอ่านงานของผมตั้งแต่อยู่ในคุก ผมก็แปลกใจว่าในเมื่อติดคุกอยู่แล้วท่านอ่านงานผมได้ยังไง ท่านเล่าว่าพวกนักโทษที่อยากเป็นนักเขียน นำโดย คุณไสว มาลยเวช ก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรมในคุก ก็มีคนข้างนอกส่งเรื่องสั้นเข้าไปให้อ่าน เรื่อง เขียดขาคำ ท่านว่าป๊อปปูลาร์มากในหมู่นักโทษ”
เจ้าของนามปากกา ลาว คำหอม ยิ้มแย้มในดวงตา เป็นยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ คุณเคยเห็นดวงตายิ้มไหม บางทีมันก็มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดยิ่งกว่ารอยยิ้มบนริมฝีปาก
พูดเรื่องเทคนิคการใช้ภาษา ผมก็เลยนึกขึ้นได้อีกคำถาม
“เห็นคุณลุงไปเปิดคอร์ส master class สอนการเขียนออนไลน์ สนุกไหมครับ”
ลุงคำสิงห์นิ่งคิด ก่อนตอบว่า “ในความรู้สึกของผม โลกการอ่านมันเปลี่ยนไปแล้วนะครับ ภาษาที่สื่อสารกันอยู่ในธรรมดานี้ ไม่ใช่ภาษาที่จะสร้างวรรณกรรมได้ เป็นภาษาหักๆ ขาดๆ วิ่นๆ เป็นภาษาอิเล็กทรอนิกส์ที่มีไว้สำหรับส่งอีเมล ไม่ใช่มีไว้สำหรับเขียนวรรณกรรม
“ผมเองไม่คิดว่าตัวเองจะทำวรรณกรรมโดยอาศัยอุปกรณ์เหล่านี้ อุปกรณ์ที่มีอยู่ในเว็บ มาคิดอย่างนี้ก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองเขียน อย่างน้อยก็ได้สร้างวรรณกรรมไว้เล่มหนึ่ง โดยใช้อุปกรณ์ภาษาที่เรามี”

ครั้งหนึ่ง เสนีย์ เสาวพงศ์ นักเขียนผู้ล่วงลับเจ้าของนิยายอมตะเรื่อง ปีศาจ เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าจะวัดงานวรรณกรรมว่ามีพลังมากน้อยเพียงไรได้จากแรงสั่นสะเทือนและปฏิกิริยาที่ตามมา
เวลาเกือบ 7 ทศวรรษ ฟ้าบ่กั้น ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนมากแค่ไหน ทั้งเป็นวรรณกรรมไทยเล่มแรกที่ถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศถึง 9 ภาษา เคยเป็นหนังสือต้องห้ามถูกกดดันจากรัฐบาลเผด็จการให้เก็บออกจากแผงอยู่ในลิสต์หนังสือดีที่คนไทยควรอ่าน ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอีสาน ถูกใช้เป็นหนังสือประกอบการสอนในโรงเรียนมาหลายทศวรรษถูกอ่าน ถูกวิจารณ์ แม้กระทั่งหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบนเวทีไฮด์ปาร์กเวลามีการชุมนุม ประหนึ่งคู่มือปลุกใจของเหล่านักประท้วง
“พี่เส (เสนีย์ เสาวพงศ์) ท่านบอกว่า หนังสือเล่มหนึ่งที่ส่งผลสะเทือนทางสังคมตั้งแต่ยอดจนถึงรากก็คือ ฟ้าบ่กั้น คนระดับพี่เสให้แต้มมากมายถึงเพียงนั้น มันก็คงจะมีแก่นแกนที่แข็งแกร่งพอควร แม้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังยืนยันว่า งานวรรณกรรมแกร่งพอที่จะทะลุทะลวงแก่นแกนความเปลี่ยนแปลงของโลกได้มากที่สุด วรรณกรรมส่งผลสะเทือนต่อความคิดของมนุษย์ ตั้งแต่ยอดจนถึงราก ไม่มีงานใดที่จะมีอิทธิพลต่อจิตใจของคนได้มากเท่ากับงานวรรณกรรม”
“รู้สึกยังไงบ้างครับ ที่ทุกวันนี้เด็กรุ่นใหม่ยังอ่าน ฟ้าบ่กั้น กันอยู่”
“การที่ผมยังถูกชักชวนให้ไปพูดเรื่อง ฟ้าบ่กั้น อยู่เป็นระยะๆ ก็คิดว่า ฟ้าบ่กั้น มันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งบัดนี้ โรงเรียนระดับมัธยมตามบ้านนอกยังชักชวนให้ผมไปพูดอยู่เลย” ลุงคำสิงห์หัวเราะ-หัวเราะในดวงตา คุณต้องมาเห็นด้วยตัวเองอย่างผม แล้วจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร
“อะไรที่ทำให้วรรณกรรมเล่มหนึ่งอยู่เหนือกาลเวลาครับ”
“หนึ่งนะครับ ต้องยอมรับว่ามันจะต้องมีสัจจะเป็นแกนหลักเหมือนนิทานอีสป เขียนมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีแล้ว แต่เมื่อมันเป็นสัจจะของชีวิต มันก็ยังคงอยู่ อย่างเรื่อง ราชสีห์กับหนู อ่านแล้วก็ตีความได้ร้อยแปดประการบนแก่นแกนที่เป็นสัจจะของชีวิต
“ที่ผมใช้คำว่าแก่นแกนที่เป็นสัจจะของชีวิต ซึ่งก็เป็นแก่นแกนที่แข็งแกร่งของ ฟ้าบ่กั้น มันจะไม่คด ไม่งอ ไม่บิด ไม่เบี้ยวไปง่ายๆ เพราะผมมั่นใจว่าตัวเองได้ตั้งใจไว้สูงมาก ที่จะสร้างแก่นแกนที่เป็นสัจจะของชีวิต แล้วก็ไม่เคยสงสัยว่ามันเป็นอย่างนั้นหรือไม่”

ลุงคำสิงห์เชื่ออยู่เสมอว่า ตัวละครใน ฟ้าบ่กั้น เข้มแข็งพอที่จะยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้
“ฟังดูมีน้ำเสียงขี้โม้โอ่อ่าหน่อยนะครับ แต่ผมได้ตั้งใจสูงสุดแล้วที่จะให้ตัวละครเหล่านั้นอยู่กับกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะหวือหวายังไง ตัวละครใน ฟ้าบ่กั้น ก็เข้มแข็งพอที่จะยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ได้ในทุกสภาวการณ์ ตัวละครใน ฟ้าบ่กั้น จึงไม่น่าจะตาย ผมเชื่อว่าเขาจะอยู่คู่โลกไปอย่างนี้แหละ เพราะแก่นชีวิตเขาเป็นสัจจะ”
ผมถามไถ่ถึงนักเขียนรุ่นหลังว่า มีใครบ้างไหมที่เขียนงานวรรณกรรมได้อย่างทรงพลังและอยู่เหนือกาลเวลา ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2535 ผู้เปรียบดั่งต้นไม้ใหญ่แห่งแวดวงวรรณกรรมไทย เหม่อมองท้องฟ้าราวกับคิดถึงใครบางคนที่อยู่บนนั้น
“เสียดาย วัฒน์ วรรลยางกูร เขาตั้งใจมาก เป็นนักเขียนที่ทุ่มเท ให้ความสำคัญกับพัฒนาการทางความคิด และในตัวเขาเองก็มีความคิดที่แสดงออกมาอย่างแข็งแกร่งและแหลมคม พอที่จะนำพาชีวิตให้ดำรงอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมั่นคง” ลุงคำสิงห์ เว้นวรรคนิดหนึ่ง “คิดว่าที่เราพูดกันมาจะประเด็นซ้ำๆ หน่อย แต่มันมีแค่นี้จริงๆ แก่นแกนของชีวิตต้องแข็งพอ ไม่บิด ไม่งอ ปักหมุดความคิดบนโลกแผ่นนี้ให้มั่นคง”
เสียงชายชราผมสีดอกเลาเริ่มแผ่วเบา ขาดห้วงคล้ายหมดแรง เวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว แดดยามเย็นสาดแสงเรืองรอง ลูกสาวคนกลาง-คำหอม ศรีนอก เดินออกจากบ้าน เธอคะยั้นคะยอให้พ่อจิบน้ำในขวด แล้วจัดแจงหาไม้เท้าคู่ใจ เตรียมตัวไปตรวจไร่ตามกิจวัตร
ผมนึกถึงข่าวใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น ข่าวหญิงสาวสองคนตัดสินใจอดอาหารเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม* วินาทีนั้นก็พลันนึกถึงสภาพสังคมไทยไม่ว่าจะในชนบทหรือในเมือง ผู้คนยังต้องเผชิญกับระบอบที่กดขี่เอารัดเอาเปรียบ ระบอบที่ยังแบ่งแยกชนชั้น ไม่เท่าเทียมกัน แทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเรื่องราวใน ฟ้าบ่กั้น เมื่อ 60 ปีที่แล้ว
“คุณลุงดูข่าวม็อบเด็กๆ ที่ออกมาเดินขบวนประท้วงกันบ้างไหมครับ ข่าวคนถูกจับขัง อดข้าว อดน้ำ เพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง”
ผมถามคำถามสุดท้ายเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ลุงคำสิงห์ตอบทันที
“สภาพปัจจุบัน เราต้องยอมรับว่า ไม่ใช่สภาพของชีวิตที่สมบูรณ์ ไม่ใช่ชีวิตที่ดีเลิศลงตัว เพราะฉะนั้นการยืนหยัด ติดตาม แสวงหาความคิดที่แข็งแกร่งคมชัดเป็นแนวทางดำเนินชีวิต ยังเป็นสิ่งต้องทำ ต้องมีอยู่ต่อไป”
“แล้วอยากจะบอกอะไรพวกเขาไหมครับ”
“ก็ไม่มีอะไรมากเกินกว่าการให้กำลังใจ ผมขอบอกกล่าวพวกเด็กๆ ที่กำลังดิ้นรนแสวงหาโลกที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา ผมเอาใจช่วย อวยพรให้พวกเขาสำเร็จในเป้าประสงค์ที่เขาแสวงหา”
สีหน้าเรียบนิ่ง แววตาเบิกกว้างแต่แน่วแน่ของ คำสิงห์ ศรีนอก ชายชราผู้มีชีวิตโชกโชน ลูกชาวนาอีสาน เด็กวัด นักหนังสือพิมพ์ไฟแรง ข้าราชการตัวเล็กจ้อย นักเขียนต้องห้ามยุคท็อปบู้ตทมิฬ ผู้ลี้ภัยในต่างแดน เกษตรกรเลี้ยงวัว ศิลปินแห่งชาติ
ไม่ว่าอยู่ในบทบาทใด แต่ ‘แก่นแกนที่เป็นสัจจะของชีวิต’ ของเขาก็ยังคงมั่นคงเช่นเดิม นั่นคือการเป็นสามัญชนที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เป็นกระบอกเสียงให้แก่คนชั้นล่างผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผ่านงานวรรณกรรม
ชื่อของ ลาว คำหอม และ ฟ้าบ่กั้น จะยืนเด่นดั่งเช่นภูผาต่อไป ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม

* สัมภาษณ์เมื่อต้นปี 2566