ใครจะไปคาดคิดว่า คำคำหนึ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกในนวนิยายวิทยาศาสตร์เมื่อ 30 ปีก่อน จะกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงได้เร็วกว่าที่ใครเคยฝันไว้ ‘Metaverse’ หรือ ‘จักรวาลนฤมิต’ กลายเป็นหนึ่งในคำยอดฮิตที่แสดงถึงก้าวต่อไปของโลกจริงและโลกเสมือน ซึ่งกำลังผนวกเข้าด้วยกันมากกว่าที่เคย
ยิ่งเราใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์มากเท่าไหร่ Metaverse ก็ยิ่งเข้าใกล้ความเป็นจริงมากเท่านั้น แม้จะยังไม่มีคำอธิบายใดที่จะสามารถอธิบายจักรวาลแห่งนี้ได้อย่างชัดเจนจนกว่ามันจะกลายเป็นรูปเป็นร่างที่สมบูรณ์ดี แต่ก็มีนิยามมากมายที่หลายคนพยายามจะใช้อธิบายปรากฏการณ์นี้ บ้างก็ว่า Metaverse คืออินเทอร์เน็ตใหม่ บ้างก็ว่ามันคือการบรรจบกันของความจริงทางกายภาพและความจริงเสมือน และบ้างก็ว่านี่คือแฝดดิจิทัลของโลกของเรา
แต่หากจะอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น Metaverse ก็เหมือนกับพื้นที่หรือโลกเสมือนแห่งหนึ่งที่ผู้คนจะสามารถใช้ชีวิต ซื้อของ ทำงาน ท่องเที่ยว ทำกิจกรรมใดๆ หรือแม้กระทั่งสร้างปฏิสัมพันธ์กับใครก็ตามผ่านตัวตนที่เป็นอวตาร์ของเราเอง โดยมีอุปกรณ์ต่างๆ เป็นตัวกลางที่ทำให้เราดื่มด่ำและรู้สึกราวกับว่าเราได้สัมผัสกับชีวิตเหล่านั้นในเวลานั้นจริงๆ ทั้งที่กายหยาบของเราไม่ได้อยู่หรือสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำ
ในโลกแห่งนี้ เรายังสามารถจำลองกิจวัตรและความสนใจของเราลงในตัวอวตาร์ได้ จึงไม่แปลกนักที่จะบอกว่านี่คือจักรวาลคู่ขนานหรือแฝดดิจิทัลที่กำลังใช้ชีวิตในโลกอีกใบในขณะที่เราก็กำลังใช้ชีวิตไปพร้อมกับมันด้วย การเกิดขึ้นของ Metaverse จึงไม่ได้เป็นแค่ ‘สิ่งเสมือน’ ทว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพราะในทุกวินาทีที่จักรวาลแห่งนี้กำลังนฤมิตขึ้น ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ก็พลันเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน รวมถึงช่องว่างในชีวิตและโลกจริงที่จะถูกเติมเต็มผ่านการมีอยู่ของพื้นที่แห่งนี้ด้วย
รู้จัก 4R ที่จะพาเราไปไกลกว่า Reality
เพราะโลกเสมือนไม่ได้มีพื้นที่ที่จับต้องได้เหมือนกับการนั่งรถไปที่ไหนสักแห่ง การจะเข้าถึงโลกเสมือนจึงจำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ อันประกอบไปด้วย Augmented Reality (AR), Virtual Reality (VR), Mixed Reality (MR) และ Extended Reality (XR) เพื่อเข้าไปในโลกนั้น โดยมีรายละเอียดเบื้องต้นที่แตกต่างกันออกไป
ในขณะที่ AR คือการผสานกันของโลกเสมือนและโลกความจริง และแสดงผลซ้อนทับกับสภาพแวดล้อมในโลกความจริงที่เราอยู่เหมือนกับเวลาเราเล่นเกมอย่างโปเกม่อนโก VR กลับปิดการรับรู้ในโลกจริงของเราทั้งหมด และพาเราดำดิ่งเข้าไปสู่โลกเสมือนอย่างเต็มตัว ส่วน MR นั้นเปรียบเสมือนกับ AR ที่พัฒนามาอีกขึ้นหนึ่ง ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถรับรู้สภาพแวดล้อมผ่านเซนเซอร์ที่วัดมิติความลึก ทำให้องค์ประกอบดิจิทัลสามารถผสานเข้ากับสภาพแวดล้อมทางกายภาพได้แนบเนียนขึ้น โดยองค์ประกอบนั้นสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมจริงตรงหน้า อาจถูกบดบังด้วยวัตถุในโลกจริงได้ ต่างจาก AR ที่จะฉายภาพซ้อนทับลงบนโลกจริงแบบทื่อๆ ตามที่กล้องเห็นเท่านั้น ในขณะที่ XR คือการรวบเอาความสามารถของทั้ง AR, VR และ MR เข้ามาใช้ด้วยกัน
เป็นไปได้มากกว่าที่เคยได้เป็น
การเกิดขึ้นของ Metaverse ค่อยๆ เนรมิตสิ่งที่เคยเหนือจินตนาการให้เป็นรูปเป็นร่างตรงหน้าและดันกำแพงแห่งความเป็นไปได้ในทุกแวดวง ดังเช่นในวงการแฟชั่นที่ความคิดสร้างสรรค์มากมายลอยอยู่ในอากาศ แต่บางครั้งก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยข้อจำกัดทางกายภาพในโลกจริง
“มันออกจะคร่ำครึไปแล้ว ถ้าจินตนาการของคุณจะเป็นข้อจำกัดเพียงอย่างเดียว ถ้าคุณคิดมันขึ้นมาได้ คุณก็ทำมันได้” คำกล่าวของ Kerry Murphy จาก The Fabricant สะท้อนให้เห็นก้าวใหม่ของวงการที่ปลดล็อกทุกข้อจำกัดของการออกแบบในโลกความเป็นจริง เพราะในโลกเสมือนแห่งนี้ไม่มีกฎใดตายตัว แม้แต่กฎแห่งแรงโน้มถ่วง การออกแบบเสื้อผ้าในโลกเสมือนแห่งนี้จึงหล่อเลี้ยงด้วยจินตนาการที่ไม่สิ้นสุด เสื้อผ้าของเราอาจจะลอยอยู่บนฟ้า หรือทำมาจากควัน แสง หรือน้ำ ก็สุดแล้วแต่ที่เราจะสามารถวาดฝันออกมาได้ ในทำนองเดียวกับการใช้ AR เพื่อเปลี่ยนลวดลายของเสื้อเราไปในทุกวินาทีตามสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา
นอกจากนี้ โลกเสมือนยังช่วยเปิดพื้นที่ในมิติใหม่เพื่อรองรับความสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด งานศิลปะมากมายสร้างขึ้นและตั้งตระหง่านในพื้นที่เสมือนของนิทรรศการผสมผสาน สามารถมองเห็นได้ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ และกลายเป็น ‘ส่วนขยายของความจริง’ ในขณะที่งานอีกมากมายจัดขึ้นผ่านโลกเสมือนอย่างเต็มตัว ทำให้ผู้เข้าชมสามารถดูความตระการตาผ่าน VR แค่เครื่องเดียว และลดค่าใช้จ่ายทั้งการเดินทางและการสร้างนิทรรศการในพื้นที่จริงไปได้มาก
Metaverse ยังฉีกข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยวออกไป เมื่อเทคโนโลยีสามารถพาเหล่านักท่องเที่ยวทิพย์ไปยังจุดหมายปลายทางที่มุ่งหวัง ราวกับว่าได้เอาเท้าไปเหยียบยอดเขาที่สูงที่สุดหรือหาดทรายเม็ดละเอียดโดยไม่ต้องกระดิกตัวออกจากเก้าอี้ที่บ้านเลยแม้แต่นิดเดียว โดย Microsoft Flight Simulator ได้นำเทคโนโลยีที่นักเรียนการบินใช้ในการเรียนรู้ มาเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เพื่อใช้สำหรับการท่องเที่ยว ประกอบกับการใช้ข้อมูลและ AI เพื่อสร้างภาพสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมให้เสมือนจริงสุดๆ เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ที่เริ่มสร้างทัวร์เสมือนจริงที่จะพาเราไปสัมผัสดินแดนอันไกลโพ้นอย่างใกล้ชิดมากขึ้น รวมถึงได้เห็นปรากฏการณ์อย่างแสงเหนือที่เคยต้องพึ่งโชคมหาศาลด้วยตาตัวเองแบบไม่ต้องลุ้น
แต่การท่องเที่ยวในดินแดนไกลโพ้นอาจไม่ได้หมายถึงแค่ระยะทาง ทว่ารวมถึงระยะเวลาด้วย เมื่อโลกเสมือนสามารถพาเราไปได้ไกลถึงขั้นร่วมยุคกับบรรพบุรุษ จะสนุกแค่ไหนหากเราได้กลับไปเดินสวนอยู่กับคนในอารยธรรมอียิปต์ หรือได้ตื่นตากับบรรยากาศของลอนดอนในช่วงทศวรรษ 1970 อย่างที่หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ไม่อาจให้เราได้ แน่นอนว่าในโลกเสมือนแห่งนี้ การเดินทางข้ามเวลาอาจไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนัก
ถึงโลกจะเสมือน แต่ความรู้สึกจริง
ต่อให้โลกอีกใบจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นไม่เว้นกระทั่งตัวเราที่เป็นอวตาร์ แต่พวกเราในฐานะผู้สัมผัสประสบการณ์ล้วนเป็นของจริง ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายของ Metaverse ที่ต้องการผสานโลกเสมือนและโลกกายภาพให้เป็นหนึ่ง ก็สนับสนุนให้เรายิ่งรู้สึกและมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกเสมือนใบนี้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนี้แล้วการสร้างสัมพันธ์ทางไกลให้ใกล้กันผ่านเทคโนโลยีจึงกลายเป็นเรื่องที่ปกติขึ้นทุกวัน
เกมออนไลน์กลายเป็นพื้นที่หนึ่งที่เชื่อมโยงผู้คนให้เข้าถึงกัน ในช่วงปีที่ผ่านมา เกมได้รับการพัฒนาให้สร้างเสริมประสบการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อนขึ้น ‘Sky: Children of the Light’ ชวนให้ผู้เล่นได้มีไมตรีจิตที่ดีต่อกันผ่านเควสต่างๆ เช่นการส่งของขวัญหรือการกอดกันในเกม ส่วน ‘Kind Word’ ก็เป็นเกมรูปแบบใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เขียนจดหมายหาคนแปลกหน้าเพื่อขอคำแนะนำหรือแรงสนับสนุนกับเรื่องต่างๆ ที่ต้องเผชิญ
ไม่เพียงแต่ความสัมพันธ์ฉันมิตรสหายเท่านั้น ความสัมพันธ์คู่รักก็สามารถแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ Raspberry Dream Labs ได้พยายามพัฒนาประสบการณ์ไซเบอร์เซ็กซ์ให้กลายเป็นความสัมพันธ์ที่มีความหมายมากยิ่งขึ้น ผ่านโปรเจกต์แรกอย่าง Sensory Seduction ที่นำ XR เข้ามาเติมเต็มความรู้สึก ให้ผู้ใช้ได้รับรู้ถึงชีพจรในร่างกายและเลียนความรู้สึกของการถูกสัมผัสได้อย่างสมจริง คลิกเพื่อชมคลิปประกอบ Sensory Seduction
นอกจากเรื่องของความสัมพันธ์แล้ว สุขภาวะทางกายและใจก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน และเทคโนโลยีก็สามารถช่วยผู้คนให้มีสุขภาวะทางกายและใจที่ดีมากขึ้นได้ ในช่วงที่ผ่านมา เกมกลายมาเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องเผชิญกับภาวะสมองล้า และยังมีการใช้ VR ในเกม ‘Labryinth-VR’ เพื่อช่วยพัฒนาในเรื่องของความจำให้กับวัยผู้ใหญ่ นอกจากนี้ VR ยังมีคุณประโยชน์ต่อแวดวงการแพทย์ หลังจากที่ค้นพบว่ามันสามารถช่วยลดระดับความดันเลือด ต่อสู้กับภาวะวิตกกังวล บรรเทาอาการเจ็บปวดขณะคลอดบุตร เยียวยาผู้ป่วย PTSD และบำบัดกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมการกินอาหารผิดปกติได้
Michael Moskowitz ผู้บริหารสูงสุดของ Moodrise แอปพลิเคชันที่ช่วยดูแลสุขภาวะทางจิต เชื่อมั่นว่าเนื้อหาดิจิทัลที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม มีอำนาจที่จะเพิ่มความยืดหยุ่นทางอารมณ์ เพิ่มพูนศักยภาพ ความสุข พร้อมสุขภาพที่ดีของบุคคลได้อย่างเต็มพิกัด การปลูกฝังนิสัยการอยู่ใน Metaverse ที่ดีต่อสุขภาพจึงต้องชี้นำทุกคนให้เข้าถึงประสบการณ์ที่ทั้งน่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกออกแบบให้สร้างความรู้สึกสงบ รับรู้ถึงความรู้สึกเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน รวมถึงความเมตตาและความหวัง แทนที่จะชี้นำไปสู่เนื้อหาที่กระตุ้น norepinephrine ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดและเป็นสารสื่อประสาทที่จะถูกกระตุ้นผ่านเนื้อหาที่คุกรุ่นเดือดดาล
เป็นเราในแบบที่เรา (อยาก) เป็น
ยิ่งเราเข้าใกล้โลกเสมือนมากเท่าไหร่ อัตลักษณ์ของเราในโลกอีกใบก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น โลกเสมือนกับตัวเราในโลกดิจิทัลแทบจะเกิดและเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน นั่นจึงทำให้เราสามารถร่วมสร้างแนวทางของโลกเสมือนที่เราอยากให้เป็นได้ง่ายกว่าโลกจริงมาก เพราะตัวตนของเราในโลกเสมือนสามารถเป็นไปในแบบที่เราอยากเป็นได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอก หรือความสนใจที่สะท้อนความเป็นเรา แบรนด์เครื่องแต่งกายชั้นนำหลายแบรนด์เริ่มเข้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล ทำให้สามารถจับจ่ายสินค้าที่ถูกใจให้กับตัวเราในโลกเสมือนได้ ไม่ต่างอะไรกับการซื้อเสื้อผ้าในโลกจริงเพื่อแสดงออกถึงตัวตนและสถานะทางสังคมของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีบริษัทอีกหลายแห่งที่พยายามสร้างอวตาร์ของเราให้ละเอียด ครอบคลุม และหลากหลาย เพื่อให้มนุษย์ในโลกเสมือนนี้มีความคล้ายคลึงกับบุคคลในโลกจริงมากที่สุด
แต่เมื่อความเป็นเราไม่ได้สะท้อนแค่รูปลักษณ์ภายนอก แบรนด์ต่างๆ จึงให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ที่สะท้อนตัวตนของเราด้วย เช่นแคมเปญรีไซเคิลชุดในเกม Animal Crossing ร่วมกับ H&M ที่สะท้อนความเป็นสาวรักษ์โลกในตัวคุณ หรือ ‘IMVU’ ที่เปิดพื้นที่สำหรับการแสดงจุดยืนและร่วมสร้างสังคมแบบที่อยากให้เป็น ผ่านการเคลื่อนไหวและแคมเปญในประเด็นสังคมต่างๆ รวมถึงประเด็นทางการเมือง อาทิ LGBTQ+ และ Black Lives Matter
ยิ่งไปกว่านั้น Metaverse ยังมีพื้นที่เหลือเฟือสำหรับทุกความชอบของทุกคน กิจกรรมที่หลากหลายทั้งคอนเสิร์ตหรืองานเทศกาลต่างๆ ที่เราเลือกเข้าร่วม จึงสามารถบ่งบอกถึงความเป็นเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน แถมยังพาคนที่มีความสนใจเหมือนกันจากทั่วทุกมุมโลกมารู้จักกันได้ง่ายขึ้น
ในอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกล ยังมีความเป็นไปได้ใหม่ๆ อีกมากที่ Metaverse จะบันดาลให้เกิดขึ้น ตราบที่มันยังไม่หยุดพัฒนา และแน่นอนว่าเราเองต่างก็เป็นผู้ร่วมสร้างโลกเสมือนนี้ด้วย จึงเป็นที่น่าจับตาว่า เราจะช่วยกันสร้างโลกเสมือนนี้ให้ออกมาในทิศทางไหน มีหน้าตาเป็นอย่างไร ให้สมกับเป็นโลกแห่งอนาคตที่มนุษย์ได้แสดงฝีมือสรรค์สร้างด้วยทักษะทั้งหมดที่มีอย่างเต็มที่
ที่มา
รายงาน Into the Metaverse โดย Wunderman Thompson Intelligence [online]