The KOMMON
TK Park website
No Result
View All Result
The KOMMON
TK Park website
No Result
View All Result
The KOMMON
No Result
View All Result
 
Read
Book of Commons
จากดับสูญสู่นิรันดร์: โลกหลังความตายกับภารกิจสุดท้ายของคนเป็น
Book of Commons
  • Book of Commons

จากดับสูญสู่นิรันดร์: โลกหลังความตายกับภารกิจสุดท้ายของคนเป็น

2,648 views

 4 mins

2 MINS

November 23, 2021

Last updated - December 17, 2021

Share on facebook
Share on twitter

          ผมเคยคิดและยังคงคิดว่า เมื่อร่างกายนี้สิ้นลม ผมยินดีให้ศพของตัวเอง (ถ้ายังใช้คำว่า ของตัวเอง ได้) นอนเน่าอยู่ข้างทาง ในป่า หรือทิ้งลงทะเล แม่น้ำ เป็นอาหารของสัตว์อื่นๆ เพราะเวลานั้นผมคงไม่สนใจไยดีแล้วว่าร่างกายผมจะอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร หรือผ่านพิธีกรรมอะไร

          แน่นอน เงื่อนไขจากความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติ วัฒนธรรม ทัศนะอุจาด และสาธารณสุข เจตนารมณ์ของผมย่อมไม่ได้รับการตอบสนอง

          ไม่รู้คนส่วนใหญ่จินตนาการหรือวางแผนงานศพของตนอย่างไร เป็นไปได้ว่าเรามักไม่ค่อยมีโอกาสได้เลือกวิธีจัดการกับศพตนเอง ญาติพี่น้องต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจแทน แม้บางกรณีผู้ตายจะระบุเจตนารมณ์ไว้แล้ว ก็ใช่ว่าจะถูกปฏิบัติตาม เพราะถึงเวลานั้นร่างกายของเราก็เป็นเพียงทรัพย์สินที่ไม่มีค่าอะไรของเหล่าเครือญาติ แถมยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับจัดการเสียอีก

          ความตายเรียบง่ายเสมอ แค่ชีวิตหนึ่งปลิดปลิวไปจากสารพัดสาเหตุ ทว่าวิธีจัดการกับศพมักยุ่งยาก ซับซ้อน และราคาแพง ที่ดูแย่ยิ่งกว่าคือมันพรากความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นกับคนตาย ตัดขาดชีวิตกับประสบการณ์ว่าด้วยความตายอันเป็นสิ่งสามัญของชีวิต อย่างน้อยก็ในบริบทของประเทศสหรัฐฯ ในความคิดของ Caitlin Doughty

          จุดมุ่งหมายของ ‘จากดับสูญสู่นิรันดร์: ส่องวิถีหลังความตายจากหลากหลายวัฒนธรรม’ Caitlin Doughty ต้องการตีแผ่ธุรกิจงานศพในสหรัฐฯ ที่ทั้งแสนแพง หยุมหยิมด้วยกฎระเบียบ และแข็งกระด้าง ผ่านการสำรวจวัฒนธรรมความตายของผู้คนจากหลากหลายมุมโลก

          “หากจะยกให้เราเป็นเลิศที่สุดในโลกในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นคงหนีไม่พ้นการแยกครอบครัวที่กำลังโศกเศร้าออกจากผู้ล่วงลับ” เธอประชด

จากดับสูญสู่นิรันดร์

          Doughty พาคนอ่านไปดูการเผาศพกลางแจ้งในโคโลราโด โครงการทดลองให้ศพเน่าเปื่อยผุพังตามธรรมชาติในนอร์ท แคโรไลนา (แสดงว่าผมไม่ได้คิดอยู่คนเดียว) การที่ครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับศพของญาติในบ้านที่สุลาเวสีใต้ อินโดนีเซีย การหยิบยื่นพลังอำนาจของคนตายมาช่วยคนเป็นในโบลีเวีย วิธีเก็บเถ้ากระดูกแบบกิ๊บเก๋ในญี่ปุ่น หรือแม้แต่การจัดการศพแบบสมัยใหม่และเป็นธุรกิจในสเปน

          มันแสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมว่าด้วยความตายช่างหลากหลาย ยากจะหากฎเกณฑ์บอกได้ว่าอันไหนดี-ไม่ดี การกินเนื้อกับการเผาศพผู้ล่วงลับเป็นได้ทั้งความดีงามและน่าสยดสยองหากมันอยู่กันคนละวัฒนธรรม

          Doughty ไม่ได้ตัดสินวัฒนธรรมในแต่ละมุมโลกในลักษณะนั้น แต่ใช่ว่าเธอไม่ตัดสิน

          ดังที่เกริ่นไปบ้าง เธอต้องการกระตุ้นเตือน ประชดประชัน และตีแผ่ธุรกิจงานศพในสังคมอเมริกันที่ทำให้คนตายกลายเป็นภาระของคนเป็นด้วยค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว พิธีการ (ไม่ใช่พิธีกรรม) จุกจิก ยุ่งยาก แต่เหี่ยวแห้ง ไร้หัวจิตหัวใจ แยกขาดความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นกับคนตาย การจัดการศพที่เคยเป็นหน้าที่ของญาติ ความละเอียดอ่อนของการดูแลคนที่เป็นรักเป็นครั้งสุดท้าย ถูกพรากไปอยู่ในมือของใครก็ไม่รู้ ซ้ำยังทำให้ศพเป็นพื้นที่หวงห้ามของญาติ

          ในเม็กซิโก โบลิเวีย อินโดนีเซีย โลกของคนเป็นและโลกของคนตายประหนึ่งถูกขีดคั่นด้วยประตูที่ไม่หนาไม่บางจนเกินไป และพร้อมเปิดให้คนในโลกทั้งสองได้สื่อสารกันเมื่อถึงเวลา

          ขณะที่สังคมอเมริกัน การพูดถึงความตายเป็นเรื่องต้องห้าม ไร้มารยาทชนิดร้ายแรง Doughty ยกคำพูดของ Octavio Paz กวีนามอุโฆษชาวเม็กซิโกว่า “แต่ในทางกลับกัน ชาวเม็กซิกันทั้งล้อเลียน โอบกอด หลับใหล และสนุกไปกับความตาย ความตายคือของเล่นชิ้นโปรดและรักนิรันดร์ของพวกเขา”

          อีกซีกโลก ญี่ปุ่นซึ่งมีวัฒนธรรมการตายเฉพาะตนเช่นกัน กำลังแปรเปลี่ยนจากการฝังศพที่สิ้นเปลืองทั้งเงินทองและที่ดินสู่การเผาศพ เป็นประเทศที่มีการเผาศพสูงที่สุดในโลก 99.9 เปอร์เซ็นต์ ยาจิมะ เจ้าอาวาสวัดโคโคะคูจิ จึงตัดสินใจปรับปรุงพื้นที่วัด สร้างอาคารบรรจุอัฐิที่ใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกและความสงบ “ชีวิตหลังความตายของชาวพุทธเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าและแสงสว่าง”

          หากมองในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นกับคนตาย สังคมไทยน่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ Doughty บอกเล่า เรายังมีพื้นที่ให้ญาติพี่น้องกับศพได้ใกล้ชิด (ตอนที่ยายผมเสีย ผมยังต้องนอนเฝ้าศพ 1 คืน) อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าราคาของการจัดการศพสูงขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่เริ่มมีความคิดต่อศพตนเองเปลี่ยนไป และ (น่าจะ) หวาดกลัวความตายน้อยลง

          มีประโยคหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบเป็นพิเศษ

          “การหลีกหนีความตายไม่ใช่ความผิดพลาดส่วนบุคคล แต่เป็นความล้มเหลวทางวัฒนธรรม”

          การกลัวตายเป็นเรื่องปกติ ส่วนการหลบเลี่ยงไม่คิดถึง ไม่พูดถึง คือการปฏิเสธความจริง ซึ่งอาจเท่ากับการปฏิเสธชีวิต

           มีคำถามเชิงปรัชญาว่า ถ้าชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย การดำรงอยู่จะยังคงมีความหมายอยู่หรือไม่ ไม่มีคำตอบถูกหรือผิด หลายคนคงตอบก่อนว่าอยากเป็นอมตะ แล้วค่อยไปหาวิธีตายทีหลัง หรือใครจะรู้ ในอนาคตมนุษย์อาจหาวิธียืดชีวิตออกไปหรือถ่ายเทความทรงจำสู่ร่างใหม่ ความตายถูกตัดทิ้งออกจากพจนานุกรม

           แต่ตอนนี้เรายังต้องตาย เราจะอยู่กับชีวิตของตนและคนรอบข้าง กระทั่งกับความตายของเราและคนรอบข้างอย่างไร คำตอบอาจอยู่ในวัฒนธรรมที่รุ่มรวยบนโลกใบนี้

Share on facebook
Share on twitter

เรื่องโดย

2.6k
VIEWS
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล เรื่อง

เริ่มต้นอ่านหนังสือเพราะความอิจฉาในวัยรุ่นและเริ่มต้นทำเพจ WanderingBook เพราะความป่วยไข้ในวัยผู้ใหญ่ อันที่จริงการรีวิวหนังสือเป็นแค่ครึ่งหนึ่ง ครึ่งที่เหลือคือการบอกเล่าความคิดต่อผู้คน สังคม การเมือง และอื่นๆ ประดามีผ่านหนังสือ ใช้ชีวิตในห้องเล็กๆ กับหนังสือกองใหญ่…และแมวอีก 1 ตัวชื่อ ‘เพลโต’

          ผมเคยคิดและยังคงคิดว่า เมื่อร่างกายนี้สิ้นลม ผมยินดีให้ศพของตัวเอง (ถ้ายังใช้คำว่า ของตัวเอง ได้) นอนเน่าอยู่ข้างทาง ในป่า หรือทิ้งลงทะเล แม่น้ำ เป็นอาหารของสัตว์อื่นๆ เพราะเวลานั้นผมคงไม่สนใจไยดีแล้วว่าร่างกายผมจะอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร หรือผ่านพิธีกรรมอะไร

          แน่นอน เงื่อนไขจากความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติ วัฒนธรรม ทัศนะอุจาด และสาธารณสุข เจตนารมณ์ของผมย่อมไม่ได้รับการตอบสนอง

          ไม่รู้คนส่วนใหญ่จินตนาการหรือวางแผนงานศพของตนอย่างไร เป็นไปได้ว่าเรามักไม่ค่อยมีโอกาสได้เลือกวิธีจัดการกับศพตนเอง ญาติพี่น้องต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจแทน แม้บางกรณีผู้ตายจะระบุเจตนารมณ์ไว้แล้ว ก็ใช่ว่าจะถูกปฏิบัติตาม เพราะถึงเวลานั้นร่างกายของเราก็เป็นเพียงทรัพย์สินที่ไม่มีค่าอะไรของเหล่าเครือญาติ แถมยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับจัดการเสียอีก

          ความตายเรียบง่ายเสมอ แค่ชีวิตหนึ่งปลิดปลิวไปจากสารพัดสาเหตุ ทว่าวิธีจัดการกับศพมักยุ่งยาก ซับซ้อน และราคาแพง ที่ดูแย่ยิ่งกว่าคือมันพรากความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นกับคนตาย ตัดขาดชีวิตกับประสบการณ์ว่าด้วยความตายอันเป็นสิ่งสามัญของชีวิต อย่างน้อยก็ในบริบทของประเทศสหรัฐฯ ในความคิดของ Caitlin Doughty

          จุดมุ่งหมายของ ‘จากดับสูญสู่นิรันดร์: ส่องวิถีหลังความตายจากหลากหลายวัฒนธรรม’ Caitlin Doughty ต้องการตีแผ่ธุรกิจงานศพในสหรัฐฯ ที่ทั้งแสนแพง หยุมหยิมด้วยกฎระเบียบ และแข็งกระด้าง ผ่านการสำรวจวัฒนธรรมความตายของผู้คนจากหลากหลายมุมโลก

          “หากจะยกให้เราเป็นเลิศที่สุดในโลกในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นคงหนีไม่พ้นการแยกครอบครัวที่กำลังโศกเศร้าออกจากผู้ล่วงลับ” เธอประชด

จากดับสูญสู่นิรันดร์

          Doughty พาคนอ่านไปดูการเผาศพกลางแจ้งในโคโลราโด โครงการทดลองให้ศพเน่าเปื่อยผุพังตามธรรมชาติในนอร์ท แคโรไลนา (แสดงว่าผมไม่ได้คิดอยู่คนเดียว) การที่ครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับศพของญาติในบ้านที่สุลาเวสีใต้ อินโดนีเซีย การหยิบยื่นพลังอำนาจของคนตายมาช่วยคนเป็นในโบลีเวีย วิธีเก็บเถ้ากระดูกแบบกิ๊บเก๋ในญี่ปุ่น หรือแม้แต่การจัดการศพแบบสมัยใหม่และเป็นธุรกิจในสเปน

          มันแสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมว่าด้วยความตายช่างหลากหลาย ยากจะหากฎเกณฑ์บอกได้ว่าอันไหนดี-ไม่ดี การกินเนื้อกับการเผาศพผู้ล่วงลับเป็นได้ทั้งความดีงามและน่าสยดสยองหากมันอยู่กันคนละวัฒนธรรม

          Doughty ไม่ได้ตัดสินวัฒนธรรมในแต่ละมุมโลกในลักษณะนั้น แต่ใช่ว่าเธอไม่ตัดสิน

          ดังที่เกริ่นไปบ้าง เธอต้องการกระตุ้นเตือน ประชดประชัน และตีแผ่ธุรกิจงานศพในสังคมอเมริกันที่ทำให้คนตายกลายเป็นภาระของคนเป็นด้วยค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว พิธีการ (ไม่ใช่พิธีกรรม) จุกจิก ยุ่งยาก แต่เหี่ยวแห้ง ไร้หัวจิตหัวใจ แยกขาดความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นกับคนตาย การจัดการศพที่เคยเป็นหน้าที่ของญาติ ความละเอียดอ่อนของการดูแลคนที่เป็นรักเป็นครั้งสุดท้าย ถูกพรากไปอยู่ในมือของใครก็ไม่รู้ ซ้ำยังทำให้ศพเป็นพื้นที่หวงห้ามของญาติ

          ในเม็กซิโก โบลิเวีย อินโดนีเซีย โลกของคนเป็นและโลกของคนตายประหนึ่งถูกขีดคั่นด้วยประตูที่ไม่หนาไม่บางจนเกินไป และพร้อมเปิดให้คนในโลกทั้งสองได้สื่อสารกันเมื่อถึงเวลา

          ขณะที่สังคมอเมริกัน การพูดถึงความตายเป็นเรื่องต้องห้าม ไร้มารยาทชนิดร้ายแรง Doughty ยกคำพูดของ Octavio Paz กวีนามอุโฆษชาวเม็กซิโกว่า “แต่ในทางกลับกัน ชาวเม็กซิกันทั้งล้อเลียน โอบกอด หลับใหล และสนุกไปกับความตาย ความตายคือของเล่นชิ้นโปรดและรักนิรันดร์ของพวกเขา”

          อีกซีกโลก ญี่ปุ่นซึ่งมีวัฒนธรรมการตายเฉพาะตนเช่นกัน กำลังแปรเปลี่ยนจากการฝังศพที่สิ้นเปลืองทั้งเงินทองและที่ดินสู่การเผาศพ เป็นประเทศที่มีการเผาศพสูงที่สุดในโลก 99.9 เปอร์เซ็นต์ ยาจิมะ เจ้าอาวาสวัดโคโคะคูจิ จึงตัดสินใจปรับปรุงพื้นที่วัด สร้างอาคารบรรจุอัฐิที่ใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกและความสงบ “ชีวิตหลังความตายของชาวพุทธเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าและแสงสว่าง”

          หากมองในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นกับคนตาย สังคมไทยน่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ Doughty บอกเล่า เรายังมีพื้นที่ให้ญาติพี่น้องกับศพได้ใกล้ชิด (ตอนที่ยายผมเสีย ผมยังต้องนอนเฝ้าศพ 1 คืน) อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าราคาของการจัดการศพสูงขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่เริ่มมีความคิดต่อศพตนเองเปลี่ยนไป และ (น่าจะ) หวาดกลัวความตายน้อยลง

          มีประโยคหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบเป็นพิเศษ

          “การหลีกหนีความตายไม่ใช่ความผิดพลาดส่วนบุคคล แต่เป็นความล้มเหลวทางวัฒนธรรม”

          การกลัวตายเป็นเรื่องปกติ ส่วนการหลบเลี่ยงไม่คิดถึง ไม่พูดถึง คือการปฏิเสธความจริง ซึ่งอาจเท่ากับการปฏิเสธชีวิต

           มีคำถามเชิงปรัชญาว่า ถ้าชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย การดำรงอยู่จะยังคงมีความหมายอยู่หรือไม่ ไม่มีคำตอบถูกหรือผิด หลายคนคงตอบก่อนว่าอยากเป็นอมตะ แล้วค่อยไปหาวิธีตายทีหลัง หรือใครจะรู้ ในอนาคตมนุษย์อาจหาวิธียืดชีวิตออกไปหรือถ่ายเทความทรงจำสู่ร่างใหม่ ความตายถูกตัดทิ้งออกจากพจนานุกรม

           แต่ตอนนี้เรายังต้องตาย เราจะอยู่กับชีวิตของตนและคนรอบข้าง กระทั่งกับความตายของเราและคนรอบข้างอย่างไร คำตอบอาจอยู่ในวัฒนธรรมที่รุ่มรวยบนโลกใบนี้

Share on facebook
Share on twitter

กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล เรื่อง

เริ่มต้นอ่านหนังสือเพราะความอิจฉาในวัยรุ่นและเริ่มต้นทำเพจ WanderingBook เพราะความป่วยไข้ในวัยผู้ใหญ่ อันที่จริงการรีวิวหนังสือเป็นแค่ครึ่งหนึ่ง ครึ่งที่เหลือคือการบอกเล่าความคิดต่อผู้คน สังคม การเมือง และอื่นๆ ประดามีผ่านหนังสือ ใช้ชีวิตในห้องเล็กๆ กับหนังสือกองใหญ่…และแมวอีก 1 ตัวชื่อ ‘เพลโต’

Related Posts

คู่มือสร้างนักนวัตกรรมเปลี่ยนโลก หนังสือที่ชวนออกแบบสภาพแวดล้อมที่สำคัญกับนวัตกร
Book of Commons

‘คู่มือสร้างนักนวัตกรรมเปลี่ยนโลก’ หนังสือที่ชวนออกแบบสภาพแวดล้อมที่สำคัญกับนวัตกร

July 25, 2022
336
‘ทำไมเราไม่ฟังกัน’ เมื่อเราแค่ได้ยินเสียง แต่ไม่ได้ฟังเรื่องราว
Book of Commons

‘ทำไมเราไม่ฟังกัน’ เมื่อเราแค่ได้ยินเสียง แต่ไม่ได้ฟังเรื่องราว

July 19, 2022
506
ในหนังมีศิลปะ เรียนรู้ศิลปะผ่านโลกภาพยนตร์
Book of Commons

‘ในหนังมีศิลปะ’ เรียนรู้ศิลปะผ่านโลกภาพยนตร์

June 27, 2022
498

Related Posts

คู่มือสร้างนักนวัตกรรมเปลี่ยนโลก หนังสือที่ชวนออกแบบสภาพแวดล้อมที่สำคัญกับนวัตกร
Book of Commons

‘คู่มือสร้างนักนวัตกรรมเปลี่ยนโลก’ หนังสือที่ชวนออกแบบสภาพแวดล้อมที่สำคัญกับนวัตกร

July 25, 2022
336
‘ทำไมเราไม่ฟังกัน’ เมื่อเราแค่ได้ยินเสียง แต่ไม่ได้ฟังเรื่องราว
Book of Commons

‘ทำไมเราไม่ฟังกัน’ เมื่อเราแค่ได้ยินเสียง แต่ไม่ได้ฟังเรื่องราว

July 19, 2022
506
ในหนังมีศิลปะ เรียนรู้ศิลปะผ่านโลกภาพยนตร์
Book of Commons

‘ในหนังมีศิลปะ’ เรียนรู้ศิลปะผ่านโลกภาพยนตร์

June 27, 2022
498
ABOUT
SITE MAP
PRIVACY POLICY
CONTACT
Facebook-f
Youtube
Soundcloud
icon-tkpark

Copyright 2021 © All rights Reserved. by TK Park

  • READ
    • ALL
    • Common WORLD
    • Common VIEW
    • Common ROOM
    • Book of Commons
    • Common INFO
  • PODCAST
    • ALL
    • readWORLD
    • Coming to Talk
    • Read Around
    • WanderingBook
    • Knowledge Exchange
  • VIDEO
    • ALL
    • TK Forum
    • TK Common
  • UNCOMMON
    • ALL
    • Common ROOM
    • Common INFO
    • Common EXPERIENCE
    • Common SENSE

© 2021 The KOMMON by TK Park.

Welcome Back!

Login to your account below

Forgotten Password?

Retrieve your password

Please enter your username or email address to reset your password.

Log In

Add New Playlist

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่า อนุญาต
Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก
Privacy Preferences
https://www.thekommon.co/network/cache/breeze-minification/js/breeze_72f8dbe06fb8be4cb4fef552509e48a2.js