ทุกวันเสาร์ โมริชิตะ โนริโกะ จะเดินทางไปเรียนชงชาที่บ้านของเซนเซ เธอทำอย่างนี้มากว่า 25 ปี ผ่านความคิดที่จะเลิกเรียนหลายครั้ง จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่เลิก ทุกครั้งที่รู้สึกแย่หรือไม่อยากไปเรียนก็ยังฝืนทน แต่พออยู่ในห้องเรียนชงชา ได้ลิ้มลองขนมญี่ปุ่น ความรู้สึกลบกลับหายเป็นปลิดทิ้งและคิดว่าตนเองโชคดีที่ไม่หยุดเรียน
พิธีชงชาของญี่ปุ่นขึ้นชื่อลือชาด้านพิธีกรรมอันซับซ้อน ประณีต บรรจง มองด้วยสายตาทั่วไปอย่างผมเป็นต้องมีคำถามว่า แค่จะดื่มชาถ้วยเดียวทำไมต้องยุ่งยากขนาดนี้ (ตัวโมริชิตะเอง ก่อนเริ่มเรียนชงชาก็คิดคล้ายๆ ผมนี่แหละ) นั่นเป็นเพราะผมมุ่งคิดไปที่ตัวน้ำชา
ทว่า พิธีชงชาเป็นเรื่องของกระบวนการมากกว่าการดื่มชา
เป็นธรรมดา ผู้ฝึกฝนสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานกว่า 25 ปี ย่อมมองเห็นความงดงามในรายละเอียดปลีกย่อยของสิ่งนั้น โมริชิตะค้นพบความสุข 15 ประการจากมัน เธอเล่าไว้ในหนังสือ ‘ทุกวันเป็นวันที่ดี: ความสุข 15 ประการที่การชงชาสอนฉัน’
เมื่ออ่านตั้งแต่บทแรกถึงบทสุดท้าย รากฐานของความสุข 15 ประการคือสิ่งเดียวกัน—การอยู่กับปัจจุบัน
น่าแปลกใจเหมือนกัน ทั้งแนวคิดทางศาสนาและจิตวิทยาสมัยใหม่ แนะนำเหมือนกันว่าให้เราดำรงอยู่ในปัจจุบันหากต้องการความสงบสุข อาจเป็นเพราะมันคือห้วงขณะเดียวที่เป็นของเราโดยสมบูรณ์ เป็นห้วงขณะสั้นๆ ที่จะถูกอดีตฉกชิงไปอย่างรวดเร็ว
ช่วงแรกของการเรียนชงชา โมริชิตะมีคำถามมากมายวิ่งพล่านอยู่ในหัว ทั้งต้องเหน็ดเหนื่อยกับการจดจำขั้นตอนมากมาย ตั้งแต่จำนวนก้าวบนเสื่อทาทามิแต่ละผืนต้องไม่เกินกี่ก้าว ต้องใช้มือไหนหยิบฉะชากุหรือที่ตักชา ต้องวางถ้วยชาไว้ตำแหน่งไหน ฯลฯ บางครั้งเธออดถามทาเคดะเซนเซไม่ได้ว่าทำไม ทำไม และทำไม
คำตอบที่กลับมาคือ “จะทำไมก็ไม่สำคัญหรอก เอาเป็นว่าต้องทำแบบนี้”
โมริชิตะฝึกฝนเรียนรู้วิธีการชงชาท่ามกลางความสงสัย …ทีละเล็กทีละน้อย แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง ขั้นตอนที่เคยยุ่งยาก ไม่รู้เหตุผล กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอ เธอสามารถชงชาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ลื่นไหล และงดงาม เสมือนร่างกายทุกตารางนิ้วจดจำการเคลื่อนไหวได้ รับรู้ความแตกต่างของเสียงกระบวยตักน้ำ และอื่นๆ อีกสารพัด
การเรียนชงชามิใช่สิ่งที่จะเรียนรู้ได้ด้วยการครุ่นคิด หากต้องเรียนรู้จากการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เป็นอิสระจากความคิด จดจ่อจมดิ่งอยู่กับกระบวนการตรงหน้า แล้วคำตอบจะค่อยๆ เผยออกมาด้วยตัวมันเอง
พิธีชงชาของญี่ปุ่นผูกสัมพันธ์เหนียวแน่นกับการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านของช่วงฤดูกาล ฤดูร้อนชงแบบหนึ่ง ฤดูหนาวก็อีกแบบ ฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ซ้ำ ผู้เรียนต้องเปิดประสาทสัมผัสร่างกายให้พร้อมรับความแปรเปลี่ยนของสิ่งแวดล้อม โมริชิตะดื่มด่ำกับฤดูกาลต่างๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอค้นพบว่าเสียงฝนธรรมดาๆ ที่น่าจะเหมือนกันหมด มันกลับไม่เหมือนกัน
“ฉันรู้สึกราวกับได้ยินกระทั่งเสียงของเม็ดฝนแต่ละเม็ดๆ”
กล่าวได้ว่าพิธีชงชาเป็นศิลปะรูปแบบหนึ่งที่ประกอบสร้างจากงานศิลปะหลากหลายแขนง แม้แต่อุปกรณ์ที่ใช้ยังต้องผ่านกระบวนการผลิตอันทุ่มเทของช่าง มีตระกูลช่างที่ผลิตกาต้มน้ำ ฉะเซนหรือไม้สำหรับชงชา แก้วชา เป็นการเฉพาะ งานทุกชิ้นมีลายเซ็นของผู้ทำ มีตราประจำตระกูลประทับ ไหนจะขนมญี่ปุ่นชนิดต่างๆ ที่ใช้ทานคู่กับชา ผู้เรียนต้องเรียนรู้การจับคู่ขนมกับชาและฤดูกาล เพื่อให้รสชาติและรสสัมผัสของขนมส่งเสริมให้ชาละมุนยิ่งขึ้น
ศิลปะการจัดดอกไม้ ศิลปะการวาดรูป ศิลปะการเขียนพู่กัน ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพิธีชงชา ไม่ใช่เพื่อความสวยงามอย่างเดียว แต่ยังซุกซ่อนปรัชญาความคิดที่ช่วยให้ผู้เข้าเรียนเติบโตอิ่มเต็ม
หลายฉากตอนที่โมริชิตะเล่า เหมือนกับว่าทาเคดะเซนเซจะรับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าการเรียนชงชาในวันนั้นๆ ควรประดับด้วยภาพหรือตัวอักษรใด เพราะทุกครั้งที่เธอเผชิญสถานการณ์ย่ำแย่ในชีวิต ภาพหรือตัวอักษรที่ประดับบนผนังมักช่วยเธอคลี่คลายกระแสความวุ่นวายให้สงบลงได้ และมองเห็นคำตอบ
ทั้งหมดนี้มิใช่การบอกว่าพิธีชงชาคือสิ่งพิเศษสุดและแก้ทุกปัญหาในชีวิตได้ ไม่มีสิ่งใดทำเช่นนั้นได้หรอก
การชงชาเป็นวิถีทางหนึ่งของมนุษย์ในการเรียนรู้เพื่ออยู่กับปัจจุบันต่างหาก หมายความว่ามันอาจเป็นสิ่งอื่นก็ได้ การวิ่ง การล้างจาน การฝึกโยคะ การวาดรูป ฯลฯ เพียงแค่โมริชิตะเรียนรู้ผ่านการชงชาและถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางภายในออกมาอย่างพิถีพิถัน ด้วยบรรยากาศสบายๆ ไม่เคร่งครัดตึงเครียด
ผมรู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่จะอยู่กับปัจจุบันในโลกยุคปัจจุบันไม่ง่ายดาย ปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นตัวเร่งสำคัญ คอยยัดเยียดอนาคตให้เราต้องวิตก คอยผลักไสอดีตให้เราท้อถอย การทำจิตทำใจอยู่กับปัจจุบันและตระหนักถึงมันได้คงไม่ช่วยให้ท้องอิ่ม แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้ผ่อนพักชีวิตแม้เพียงชั่วขณะ ด้วยสิ่งใดก็ตามที่คุณรักที่จะทำ ก่อนกลับมาสู้กันใหม่
ถ้าให้ทำมากกว่านั้นดูจะเป็นการเรียกร้องที่เกินพอดี
…ชงชาร้อนๆ มานั่งจิบกันเถอะ แล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ