‘Cofact’ แสวงหาความจริงร่วม ในสังคมอุดมข่าวปลอม

4 views
12 mins
June 3, 2020

เมื่อโลกเสมือนซ้อนทับเข้ากับชีวิตประจำวันมากขึ้น ปริมาณข้อมูลข่าวสารก็พุ่งเข้าใส่เรามากขึ้นเป็นเงาตามตัว ในความท่วมท้นนั้นซุกซ่อนอันตรายจากข่าวปลอม (fake news) อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะข่าวปลอมด้านสุขภาพหรือข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ศาสนา หรือกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น

ข่าวปลอมพวกนี้สร้างพิษภัยด้านสุขภาพแก่คนที่หลงเชื่อ สร้างอคติและความเกลียดชังต่อมนุษย์แบบเหมารวมโดยไม่แยกแยะข้อเท็จจริง ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดการกับข่าวลวงอย่างไร คำถามนี้ตอบยาก แต่คำตอบหนึ่งที่น่าจะผิดคือการปล่อยให้ภาครัฐเป็นฝ่ายจัดการข่าวปลอมแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะการใช้อำนาจลุ่นๆ เข้าจัดการ สุ่มเสี่ยงที่จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แล้วก็ใช่ว่าภาครัฐจะปล่อยข่าวปลอมไม่ได้

Cofact จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการจัดการข่าวปลอม ผ่านกระบวนการแสวงหาความจริงร่วม การเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อ การตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมไปถึงการสร้างความเข้าใจกันและกันระหว่างผู้คนที่หลากหลาย ทั้งหมดนี้ไม่ใช่งานง่ายแน่นอน สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact ที่นำต้นแบบมาจากไต้หวันยอมรับว่าการทำงานตลอดห้าหกปีมานี้เผชิญความท้าทายไม่หยุดหย่อน

“เพราะในยุคที่เริ่มต้น Cofact ใหม่ๆ มันก็มีวาทกรรม fake news หรือปัญหาในโลกออนไลน์ แล้วรัฐเองก็พยายามจะมีวิถีทางในการควบคุมและสังคมก็เรียกร้องให้รัฐควบคุม ความยากของเราก็คือเราเห็นด้วยว่าโลกออนไลน์หรือ speech มันเริ่มสุดโต่ง เริ่มน่ากังวล เริ่มมีด้านมืด จริงๆ มันต้องมีเครื่องมือมาจัดการ ความท้าทายในช่วงแรกๆ คือการเสนอแนวคิดการจัดการกับด้านมืดในโลกออนไลน์ ขณะที่เรายังต้องยึดหลักการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ”

ความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา: วังวนแห่งอคติ

ณ เวลานั้นการทำงานโดยหาจุดสมดุลระหว่างฝั่ง conservative กับฝั่ง progressive ไม่ใช่เรื่องง่าย สุภิญญายอมรับ แต่ Cofact ก็ผ่านมันมาได้ โดยวางบนฐานคิดว่าการตรวจสอบหรือ fact check เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกัน Cofact รับมือกับด้านมืดของโลกออนไลน์ แต่ก็ไม่ต้องการให้วาทกรรมเรื่องการควบคุมสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นมาครอบงำ Cofact จึงต้องสร้างตำแหน่งแห่งที่ที่ทุกฝ่ายยอมรับระดับหนึ่ง และทำงานอย่างโปร่งใสน่าเชื่อถือ

เวลาผ่าน ความท้าทายที่เคยพบเจอในช่วงเวลาหนึ่งเริ่มเปลี่ยนหน้าตาของมันไป เมื่อสังคมมีความเข้าใจและระมัดระวังข่าวปลอมมากขึ้น ประเด็นที่ Cofact ต้องเผชิญก็เปลี่ยนแปลง สุภิญญาบอกว่าความท้าทายใหม่คือ confirmation bias และ algorithm ที่อยู่เหนือการทำงานของตน

“สมัยก่อนซึ่งเป็นช่วงแรกที่ยังเป็นยูโทเปียในโลกออนไลน์ แต่หลังอาหรับสปริงมาแล้วคือมันสุดโต่งมาก มันเป็นเรื่องของอัลกอริทึมเรื่องของธุรกิจ พอเราทำงานไปสักพักหนึ่ง ความยากจริงๆ คิดว่ามันมีสองปัจจัยก็คือเราอยู่ในโซเชียลมีเดียที่เราคุมอะไรไม่ได้เลย มันเป็นโลกของทุน โลกธุรกิจ มันเป็นโลกของอัลกอริทึม เพราะฉะนั้น มัน beyond มาก ยกเว้นเราจะเจรจากับแพลตฟอร์มได้ ซึ่งมันก็ไม่ง่าย อันนี้คือปัญหาที่คิดว่าเป็นความท้าทายของทั่วโลก เวลาเราพูดถึงการจะมีมาตรการให้ชุมชนพลเมืองรู้เท่าทัน บางทีมันก็เอาไม่อยู่ เพราะมันไหลเร็วมาก แล้วจะเข้าสู่ AI ด้วย”

ถึงจะพยายามหลีกเลี่ยงการควบคุมของรัฐชาติ แต่สุดท้ายก็มาเจอด่านของ Tech Company ที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมผ่านพฤติกรรมและความชอบมนุษย์ fake news, hate speech, cyber bullying หรือ IO อยู่เกินศักยภาพของ Cofact จะจัดการได้ ทำให้ต้องกลับไปหากลไกนโยบายในระดับรัฐชาติหรือระดับภูมิภาคมาเจรจา เหมือนยุโรปที่พยายามฟ้องร้อง Tech Company แต่เราว่าก็ยังไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะมันเป็นธรรมชาติของมันไปแล้ว

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้อาจไม่ยากเท่ากับอคติในใจคน…

“สุดท้ายที่เป็นความท้าทายที่สุดคือ ความคิด ความเชื่อ อคติ ในใจเรา ในเรื่องการเมือง แม้แต่เรื่องวิทยาศาสตร์ ทำให้บางทีข้อเท็จจริงก็อาจไม่ได้เป็นคําตอบสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างเรื่องมุสลิมที่เราเจอเยอะ อย่าง islamophobia เราอาจจะ fact check เยอะแยะ และคนก็แก้ข่าวมากมาย แต่คนที่อคติกับคนมุสลิมก็อคติอยู่ดี อาจจะเลือกบางประเด็นมาแชร์เพื่อที่จะดิสเครดิตหรือบอกว่ามุสลิมไม่ดี หรือแม้แต่แรงงานข้ามชาติพม่าซึ่งมักจะเลือกเอาบางข้อมูลบิดเบือนบางส่วนมา เพื่อบอกว่าแรงงานข้ามชาติสปอยล์มากในประเทศไทย 

“เราคิดว่าอันนี้คือความท้าทายที่สุดของคนไทย แล้วก็อาจจะทั่วโลกก็คือในแง่ที่ว่าเราอยู่ในระบบอัลกอริทึมและเราก็อยู่ในวังวนความคิดของเราเองที่มีอคติ แล้วอัลกอริทึมก็ทำให้เราอยู่กับข้อมูลที่เราเชื่อมาแบบซ้ำๆ พอเราเข้าในโลกออนไลน์ทุกวันนี้ก็ทำให้เราหดหู่ เพราะมันเป็นที่รวมความเห็นสุดโต่งและ hate speech มันทำให้บางทีคนก็เบื่อไปเลย ไม่อยากถกเถียงด้วยเหตุผล พวกนี้เป็นอุปสรรคต่อ free speech นี่น่าจะเป็นจุดที่ท้าทายที่สุด แล้วก็มันเป็นกันทั่วโลก”

Cofact ตรวจจับข่าวปลอม

กระบวนการทำงานของ Cofact คือการสนับสนุนให้มีแพลตฟอร์มในโลกออนไลน์ที่เป็นพื้นที่ให้คนมาช่วยกันตรวจสอบข่าวลวงต่างๆ และรายงานออกมา เมื่อเริ่มทำงานในช่วงต้นปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงระบาดของโควิด-19 ทำให้ Cofact มีฐานข้อมูลด้านสุขภาพค่อนข้างเยอะ โดยมีทีมเจ้าหน้าที่ช่วยสอดส่องดูแล หาข้อมูลที่มีผู้รู้ตอบไว้ แล้วมาตรวจสอบและหาแหล่งอ้างอิงก่อนจะเผยแพร่ หากใครต้องการ fact check ก็สามารถเข้ามาค้นโดยใช้ Chatbot

แม้จะรวบรวมฐานข้อมูลได้เกือบหมื่นข่าว แต่ LINE Chatbot ของ Cofact ก็ต้องเจอกับพฤติกรรมการใช้แพลตฟอร์มที่ต่างกันของคนในแต่ละรุ่น (generation) สุภิญญาเล่าว่าในกรณีไต้หวัน คนหนุ่มสาวใช้แอปพลิเคชัน LINE และ Chatbot อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ตรงกันข้ามกับในไทยที่ผู้ใช้ไลน์ส่วนใหญ่เป็นคน Gen X ขึ้นไปหรือเป็นผู้สูงอายุซึ่งรู้สึกว่าการใช้ Chatbot เป็นเรื่องยุ่งยาก อีกทั้งการแชร์ข่าวก็อาจไม่ได้สนใจตัวเนื้อหาสาระมากไปกว่าการสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อกัน

“เขาอยากจะส่งเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนแค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้นพอให้มาคุยกับไลน์ LINE Chatbot เขาก็ฟีลไม่ได้ ไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่ บทเรียนที่เราได้ก็คือเครื่องมืออาจจะไม่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย แต่เราก็ไม่ได้โปรโมทต่อเยอะมาก โดยเฉพาะในยุค AI  ยุคแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คนก็ไม่อยากจะแอดอะไรพร่ำเพรื่อ ตอนนี้เราพยายามจะมี LINE OpenChat มาเพิ่มเพื่อเอาใจกลุ่มผู้สูงอายุ แต่เป็นกลุ่มสูงอายุที่เราค่อนข้างรู้จักกันแล้ว คือไปทำงานด้วย เพราะเราก็ทำหน้างานอีกด้านหนึ่ง”

จุดนี้ทำให้สุภิญญารู้ว่าการทำงานบนออนไลน์อย่างเดียวไม่ได้ผล ตั้งแต่ช่วงโควิดเป็นต้นมา Cofact จึงเพิ่มเติมวิธีการดั้งเดิมของคนทำงานพัฒนาเอกชนเข้าไปด้วยนั่นคือการเข้าหามวลชนทั้งในแบบออนไลน์และการลงพื้นที่จริง ทำงานกับเครือข่ายในท้องถิ่น เช่น ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ สื่อท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อขยายวงแนวคิดการ fact check และการรู้เท่าทันสื่อ

“ปีแรกเป็นเรื่องโควิด เรื่องมะนาวโซดา เรื่องวัคซีนทำให้กลายพันธุ์ มันก็มีทั้งที่แบบเวอร์วังสุดโต่งไปจนถึงอันที่โอเค เข้าใจได้หรือก้ำกึ่งแบบจริงบางส่วน เช่น ฟ้าทะลายโจรตกลงรักษาโควิดได้มั้ย ซึ่ง approach ของ Cofact เราก็พยายามใช้กระบวนการอภิปราย แบบ collaborative fact check คือเราเปิดกว้าง แต่คุณต้องมีเหตุผล ต้องไม่สุดโต่ง แล้วต้องพยายามอธิบายว่า อย่างฟ้าทะลายโจร คุณเป็นไข้มันก็ช่วยได้บางส่วนจริง เราไม่จัดเป็นเฟค ไม่เชียร์ให้กินสุดโต่งหรือห้ามไม่ให้กินเลย แต่เป็นเรื่องที่คุณต้องปรึกษาหมอ

“อย่างเรื่องสุขภาพที่ผู้ป่วยมะเร็งแชร์ คือเราจะพยายามไม่ตัดสินสิ่งที่คนอื่นแชร์ อย่างมะนาวโซดาที่รักษามะเร็ง อันนี้คลาสสิกที่ทุกคนแชร์ แต่เราก็มาเข้าใจว่ามันเป็นปัญหาของสังคมไทยว่า คนป่วยมะเร็งต้องรักษาคีโม แล้วมันกินอะไรไม่ได้ ปากมันขม มาถึงจุดหนึ่งเราก็จะอยากกินมะนาวโซดา แค่นี้แหละ ฟังก์ชันของมันคือทำให้คนป่วยมะเร็งรู้สึกสดชื่นขึ้น ก็เลยทำให้เข้าใจว่ามันทำให้คนรู้สึกดีขึ้น แต่มันกลายเป็นเลยเถิดไป ถ้าบอกว่าแค่ว่ามะนาวโซดา ผลไม้รสเปรี้ยวทำให้ผู้ป่วยมะเร็งรู้สึกสดชื่นขึ้น อยากอาหารอันนี้ก็คือตรง แต่พอมันกลายเป็นการรักษาก็คือผิดแล้ว แต่ approach ของเราคือพยายามหาที่มา พยายามอธิบาย เข้าใจว่าทำไมคนเชื่อและแชร์แบบนั้น จะไม่แปะป้ายเขาไปทันทีว่าเฟค”

การแสวงหาความจริงร่วม เมื่อสังคมช่วยกันหาคำตอบ

collaborative fact check หรือการแสวงหาความจริงร่วม คือการพยายามร่วมมือกันหาความจริง แทนที่จะปล่อยให้คนคนเดียวเป็นผู้ตัดสินหรือเป็น ministry of truth เพราะ Cofact ไม่ใช่ผู้ตัดสินว่าข่าวใดถูกหรือผิด ข่าวลือในวันนี้อาจเป็นข่าวจริงในอนาคตก็ได้ สุภิญญายกตัวอย่างวัคซีนโควิดที่อีก 10 ปีข้างหน้าอาจมีงานวิจัยว่ามีผลไม่มากก็น้อยต่อร่างกาย ดังนั้น ก็ต้องเผื่อใจยอมรับว่าสิ่งที่ไม่จริงในวันนี้อาจจะจริงในวันข้างหน้า

“ไอเดียก็คือความจริงร่วมเป็นมายด์เซ็ตด้วย วิธีคิดที่เราต้องเปิดใจว่า แม้จะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ก็อาจจะไม่ได้มีความจริงอย่างเดียว เราอาจจะเชื่อหลักทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่ว่าเราอาจจะไม่ได้ต้องเชื่อนักวิทยาศาสตร์เสมอไป เหมือนคําพูดที่ว่า you can trust science but you can’t trust all scientists เราว่าหลักการนี้ก็ใช้ได้ เหมือนบางคนอาจไม่ชอบคนมุสลิม ไม่ชอบคนคริสต์ หรือคนพุทธ ถ้าเราต้องอธิบายกับเขา แล้วบอกว่าหลักพุทธ คริสต์ มุสลิมต่างก็มีข้อดีงาม ถ้าคุณไม่ชอบ คุณแค่ไม่ชอบคนหรือเปล่าที่เขาอาจจะสุดโต่ง คือมันต้องแยกแยะ ไม่ใช่เหมารวม Cofact ก็คือฝึกให้เปิดใจ แล้วหาข้อเท็จจริง ตั้งคำถาม สุดท้ายเราได้ข้อสรุปเรื่องใดสักเรื่องมันต้องผ่านกลไกการคิด ไตร่ตรอง หาข้อมูล หลายเรื่องอาจจะไม่ได้มีความจริงอย่างเดียว เราต้องเปิดใจแล้วหาคำตอบร่วมกัน แม้แต่เรื่องทางการเมือง ศาสนา และสุขภาพ ต้องเปิดใจให้กับทุกชุดข้อมูล”

ส่วนการตัดสินใจสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ต้องเคารพกัน แต่ก่อนจะเลือกควรผ่านกระบวนการหาความจริงร่วมกัน เปิดใจกว้าง รับฟังข้อมูล ยอมรับว่าข้อเท็จจริงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต และเราต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอในการอยู่ร่วมกับข้อมูลมากมายบนโลกใบนี้

สุภิญญาอธิบายว่าหลายเรื่องราวในสังคมเราต้องใจเย็น รอบคอบ และแชร์ให้ช้าลง เนื่องจากแต่ละเรื่องมีหลายแง่มุม บางเรื่องเกี่ยวพันกับนโยบายระดับชาติหรือประเด็นสาธารณะที่อาจยังไม่มีความชัดเจน แต่สามารถสร้างความเข้าใจผิดได้ ทำให้เกิดการถกเถียง อภิปราย และคลี่ข้อมูลที่แต่ละฝ่ายมีออกมาเพื่อสนับสนุนและคัดค้าน ซึ่งสุภิญญามองว่า ณ จุดนี้ก็ถือเป็นการสนทนาของกระบวนการหาความจริงร่วมที่ควรเกิดขึ้น เพียงแต่ละฝ่ายต้องพยายามลดอารมณ์และวางอคติลงให้ได้ตามความสามารถที่มี อย่าด่วนตัดสินเร็วเกินไป

“เราจะเห็นเพื่อนแชร์ จะอิน ซึ่งมันก็มาจากความปรารถนาดีของเขาแหละ เขาอาจจะรู้สึกอยากจะปกป้องอะไรบางอย่าง แต่หลายเรื่องยังไม่ทันมาคลี่ข้อมูลเลย แล้วมันมีสิทธิ์จะนําไปสู่ความเข้าใจผิด อคติ หรือความไม่เข้าใจกันโดยใช่เหตุเยอะมาก ฉะนั้นกระบวนการในการหาความจริงร่วมไม่ว่าจะเป็นนโยบายสาธารณะ เรื่องที่ไวรัลขึ้นมาในโซเชียลมีเดียแบบเรื่องนักกีฬาโอลิมปิก หรือว่าเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่เหมือนจะเข้าไปรองรับสิทธิในผืนป่าที่มีชุมชนอยู่ อาจจะต้องไปเรียนนิดหนึ่ง หาข้อมูล แล้วก็จะไม่ด่ากันก่อน หรือว่าเราอาจจะไม่ได้ไปเกลียดอีกฝั่งโดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกันกับเรื่องนักกีฬาเป็นบทเรียนมาก เพราะหลายคนก็แชร์โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบว่ามันมีความข้อเท็จจริงแบบนี้

“เราเห็นก็มีคนช่วยกัน fact check มีแย้งข้อมูลมากมายเลย คนที่เป็น อินฟลูเอนเซอร์ ที่ดูน่าเชื่อถือยังพลาดเรื่องนี้ หลายคนก็เหมือนกับเสียฟอร์มไปเลยจากการแชร์ข้อมูลโดยไม่ได้ไตร่ตรองหรือไม่ได้เช็กก่อนอันนี้มันขาด process ของการหาความจริงร่วม ซึ่งถ้าเราอยากจะพูดเรื่องนั้นอาจจะพูดในเชิงการตั้งคําถามหรือการขอความเห็นก็ได้ อาจจะไม่ถึงยังไม่ถึงกระโดดไปข้อสรุปที่จะแชร์ข้อมูลแล้วปลุกเร้าทางใดทางหนึ่ง”

สุภิญญายังเสนอด้วยว่าถ้าบรรดา influencer ในโซเชียลมีเดียจะปรับวิธีคิด วิธีการนำเสนอข้อมูลจากเพื่อดึงดูดยอดไลก์ เป็นการสร้างคำถามปลายเปิดเพื่อแสวงหาความจริงร่วมกัน ลักษณะนี้จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงบนโลกออนไลน์ได้มาก

ความจริงร่วมวันนี้ อาจไม่ใช่ความจริงร่วมในอนาคต หัวใจที่เปิดกว้าง 

ทว่า การแสวงหาความจริงร่วมก็ใช่จะไร้จุดอ่อนให้ถกเถียง ดังที่รู้กันว่าการที่คนส่วนใหญ่บอกว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ‘จริง’ ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าเรื่องนั้น ‘จริง’ เสมอไป เช่นที่ครั้งหนึ่งคนทั้งโลกเชื่อว่าโลกแบนนั่นแหละ

สุภิญญากล่าวว่าสุดท้ายแล้วข่าวหรือข้อมูลบางประเภทต้องพึ่งวิทยาศาสตร์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ชัดเจนที่สุด ณ เวลานั้นและยอมรับไปก่อน เธอยกตัวอย่างกรณีวัคซีนโควิด-19

“อย่างเรื่องวัคซีนโควิด ถ้าหมอทั่วโลก หรือโรงพยาบาล หรือแม้แต่กระทรวงสาธารณสุขทั่วโลกยืนยันร่วมกันว่ามันไม่อันตราย มันต้องฉีด แม้ลึกๆ เราก็คิดว่าความเห็นของฝ่ายต่อต้านวัคซีนก็อาจจะมีเหตุผล แต่ ณ จุดนั้น รวมทั้งหมดแล้ว ถ้าต้องเลือกข้างมันก็ต้องฉีดไว้ก่อนมั้ย เพราะเราก็ไม่รู้ว่าถ้าเราไม่ฉีดแล้ว เรารับผิดชอบชีวิตคนที่ป่วยแล้ว คนที่ไม่ได้รับวัคซีนได้มั้ย อย่างที่บอกว่าเราอาจจะต้องเลือกข้าง เอาข้อมูลทั้งหมดมา แล้วสุดท้ายไปฉีดเถอะ อย่าไปเชื่ออันที่ไม่ฉีด แต่ว่าถ้าสุดท้ายคุณไม่ฉีด โอเคเราก็เคารพ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องติดคุกหรือต้องมีมาตรการทางกฎหมายมาจัดการหรือกีดกัน มันก็จะวัดความเป็น liberal หรือความเปิดกว้างของคุณต่อไปว่าถ้าสมมติคุณได้ข้อเท็จจริงอันหนึ่งร่วมกันแล้ว แต่คนนั้นเขาไม่เห็นด้วยคุณจะจัดการเขายังไงในสังคม ซึ่งก็ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไป

“ถ้าเกิดเขาไม่เห็นด้วย เขาไม่ฉีดแล้วมีมาตรการแบบเข้มกับเขามาก ยกตัวอย่างสุดโต่งเลย เช่น คุณต้องถูกจับติดคุก เราก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เพราะมันเป็นสังคมอำนาจนิยมมากไปใช่ไหม คือท้ายที่สุดแล้วถ้าเราจะไม่สามารถหาความจริงร่วมกันได้ก็ไม่เป็นไร อย่างเรื่องวัคซีนให้มันมีผลว่าหาความจริงร่วมกันแล้ว ได้แล้วคนไม่ยอมรับความจริงร่วมนั้นแล้วเขาต้องถูกจับ มันไม่ใช่ละ เราต้องคัดค้าน แต่ถ้าคนนั้นเขาไปเผยแพร่แล้วทำให้คนอื่นในชุมชนนั้นเชื่อตาม มันซับซ้อนมากกว่านั้นอีก เช่น เขาอาจจะเป็นผู้นําทางความคิด ผู้นําทางศาสนา หรือผู้นําในชุมชนนั้นตั้งตัวเป็นคนที่บอกว่าเป็นต่อต้านวัคซีนและเขาไม่ให้คนในชุมชนไปฉีด อันนั้นคุณก็เป็นหน่วงเหนี่ยวเสรีภาพคนอื่น ก็ต้องจัดการ คือเราเคารพที่คุณไม่ฉีด แต่ถ้าคุณตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิแล้วไปทำให้ทุกคนเชื่อตามทั้งชุมชน แล้วบอกว่าถ้าคุณฉีดวัคซีนแล้วจะถูกขับออกจากชุมชน หรือศาสนา ถ้าแบบนี้ก็คือละเมิดสิทธิในชีวิตเขา”

ประเด็นสำคัญของ Cofact คือต้องเปิดกว้างทางความคิด เราสามารถเลือกรับฟังและเชื่อได้ แต่ไม่สามารถบังคับคนอื่นให้เชื่อตามเราได้ ซึ่งเราก็ต้องรับฟังและใจกว้าง ไม่ใช่อำนาจของความจริงหรือจำนวนเข้าไปจำกัดเสรีภาพของผู้อื่น เว้นเสียแต่ผู้นั้นนำความเชื่อของตนไปหาผลประโยชน์โดยมิชอบ สุภิญญากล่าวว่าต้องยอมรับก่อนว่าท้ายที่สุดเราอาจหาความจริงร่วมไม่ได้สักเรื่อง แต่ต้องมีคนตัดสินใจในแง่ประโยชน์สาธารณะ เช่น เรื่องสุขภาพ รัฐอาจจะเป็นคนตัดสินใจให้เรา แต่ถ้าเรื่องการเมืองประชาชนย่อมเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเอง ซึ่งอาจจะไม่ได้ข้อสรุปตรงกัน

โดยเฉพาะประเด็นละเอียดอ่อนอย่างความเชื่อทางศาสนา ยิ่งยากลำบากในการหาความจริงร่วม เพราะตรวจสอบไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งที่เป็นความเชื่อล้วนๆ ก็จะเอากรอบการหาความจริงร่วมไปวัดไม่ได้ แต่ว่าเป็นเรื่องของการยอมรับและเคารพกันได้แค่ไหนมากกว่า

เรื่องจะมองหาความจริงร่วมได้อย่างน้อยต้องมี fact based หรือชุดข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ระดับหนึ่ง หรือมีพยานหลักฐาน บางทีอาจจะมีชุดความจริงที่ลึกกว่านั้น แต่ ณ เวลานั้นมีข้อมูลเพียงเท่านี้หรือชุดข้อมูลที่ฝั่งที่เป็นคนคุมข้อเท็จจริงเรื่องนั้นๆ ส่งข้อมูลชุดนี้มาให้เรา ฉะนั้น เราก็ต้องเชื่อตามข้อมูลชุดนั้น แต่ก็พร้อมจะรับฟังชุดข้อมูลใหม่หรือข้อเท็จจริงใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

Cofact เป็นการทำงานเชิงความคิดมากกว่าไล่เช็กข่าว

ถึงที่สุดแล้วงานของ Cofact อาจเรียกได้ว่าไม่ใช่การไล่เช็กข่าวที่มีปริมาณมหาศาลในแต่ละวันซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นการทำงานทางความคิดกับผู้คน เสมือนการสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันของผู้คนมากหน้าหลายตาต่อเรื่องราวหนึ่งๆ ยกตัวอย่าง Islamophobia หรือความกลัวมุสลิมซึ่งเป็นอคติความเชื่อที่แพร่ระบาดในสังคมไทย

Cofact เองก็พยายามทำงานในประเด็นนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าชาวมุสลิมเองก็มีความหลากหลายและไม่ได้มีวัตรปฏิบัติเหมือนกันในทุกๆ ที่ แต่พวกเขากลับได้รับผลกระทบจากข่าวลวง ข่าวปั่น และอคติอย่างถ้วนหน้า

“เราต้องเข้าใจบริบทด้วย อิสลามก็มีหลากหลายจริงๆ มุสลิมในภาคใต้ก็อาจจะมีวัตรปฏิบัติมาจากอีกสายหนึ่ง มุสลิมในกรุงเทพฯ หรือที่เชียงใหม่ก็ไม่ขนาดนั้น แต่เขาก็รักในอิสลาม เขาซัฟเฟอร์จากความเกลียดชัง เพราะเป็นมุสลิม แต่ไม่ได้มีวัตรปฏิบัติหรือวิถีชีวิตเหมือนคนใน deep south (สามจังหวัดชายแดนภาคใต้) มันก็มีความต่างกัน บางทีมุสลิมในกรุงเทพฯ ก็ยังมีอคติต่อคนมุสลิมที่ deep south ด้วยซ้ำ อันนี้คือสิ่งที่เราเห็น มันมีความละเอียดอ่อนในเรื่องนี้ เวลาเรานำเสนอเรื่องนี้ก็ต้องคิดนิดหนึ่ง

“สารคดีที่เราทำ Islamophobia คนใน deep south เขาจะชอบหรือไม่ชอบ ไม่รู้ แต่เราพยายามนำเสนอข้อมูลมุสลิมในเชียงใหม่ที่เขาเจอกับ Islamophobia แล้วเขาก็วิพากษ์เขาเองด้วย เช่น คนมุสลิมเองก็ต้องเปิดใจ มันมีข่าวลือว่าจะไปสร้างมัสยิดที่น่าน มันอาจจะเป็นข่าวลือ คือมันก็มีมูลบ้าง แต่มันก็ขยายไปสู่ความเกลียดชัง คนพูดก็ไม่ควรไป exaggerate (พูดเกินจริง) ขนาดนั้น จนกว่ามันจะมีความชัดเจน แต่ว่าคนมุสลิมในภาคเหนือเขาก็ตั้งคำถามกลับว่า เราจะไปตั้งมัสยิดในพื้นที่คนพุทธเยอะเพื่ออะไร มันก็จะถูกต่อต้าน เวลาเราเอาคนมุสลิมตั้งคําถามกันเองก็จะทำให้มันกลางขึ้น อาจจะหาความจริงร่วมมากขึ้น”

การทำงานของ Cofact ในเรื่องที่มีความอ่อนไหวสูงจึงต้องระมัดระวังทั้งในด้านการนำเสนอ การใช้ถ้อยคำ การเคารพในความแตกต่าง และไม่แสดงความเอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้มากที่สุด สุภิญญายอมรับว่าต่อให้ระวังแค่ไหนก็เกิดปรากฏการณ์ทัวร์ลงอยู่ดี ในโซเชียลมีเดียจึงสายสุดโต่งมาแสดงความคิดเห็นอยู่เสมอ

“สุดท้ายแล้วคนจะอคติก็อคติอยู่ดี ความยากอยู่ตรงนี้แหละ จะอธิบายอะไรยังไงก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเขา แล้วยิ่งอัลกอริทึมมันทําให้เขาได้เห็นแบบเดียวกันด้วย อันนี้มันก็เลยเป็นโจทย์ยากอีกสเต็ปหนึ่งของ Cofact”

การเมือง เรื่องที่น่าปวดหัวที่สุด

ต้องยอมรับว่าข่าวลวงเกี่ยวกับการเมืองเป็นประเด็นที่น่าปวดหัวที่สุด แม้จะไม่มากเท่ากับในต่างประเทศที่เต็มไปด้วยทฤษฎีสมคบคิดมากมายหลายเท่า แต่ข่าวลวงด้านการเมืองของไทยนั้นท่วมท้นไปด้วยอคติและ hate speech แม้บางเรื่องจะมีฐานความจริงอยู่บ้าง แต่ก็มีการปั่นกระแสจนเกินจริง เช่น ช่วงเลือกตั้งมีการปั่นกระแสว่าพรรคการเมืองหนึ่งจะยกเลิกบำนาญข้าราชการ เป็นต้น

สุภิญญายอมรับด้วยว่าข่าวลวงประเภททำให้ปวดหัวที่สุดจะเป็นพวกทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) ซึ่งเป็นเรื่องที่มีมากและต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะบทความประเภทจับแพะชนแกะ จับเรื่องจริงกับเรื่องไม่จริงมาชนกัน แล้วออกมาในรูปแบบความเห็นที่ถูกส่งต่อเป็นทอดๆ บทความลักษณะนี้เธอสารภาพว่า fact check ยากมาก เธอยกตัวอย่างบทความที่กล่าวหาว่าองค์กรนั้นนี้รับทุนต่างชาติว่า

“ในข้อเท็จจริงก็ยอมรับว่าเขารับทุน แต่พอมาอธิบายในรายละเอียด narrative ต่างหากที่เป็นปัญหา มันมีอคติ ความยากคือมันต้องมาคลี่ อธิบาย ปวดหัวสุด แม้แต่ต้นเรื่องเองก็ยังไม่อยากจะสนใจเลย ปล่อยไปเถอะ แต่ว่ามันก็ซึมลึกไง พอมาทุกวันมันก็ปลูกฝังทำให้เกลียด รับงานต่างชาติ อันนี้ถูกล้างสมองโดยอเมริกา พวกวาทกรรมแบบนี้ทำให้ฝังลึก แล้วในทางการเมืองก็ทำให้เวลาคนจะคอมเมนต์อะไรกัน มันก็ไม่ใช่เหตุผล มันจะรุมกัน แล้วก็ตัดสินเลยว่าคุณเป็นพวกนั้น โดยที่ไม่ดูข้อเท็จจริงว่าบริบทมันเป็นปกติมั้ย คือทุนรัฐบาลอเมริกาก็ให้ทุกคนแหละ ให้รัฐบาลไทย ให้การศึกษา ไม่ใช่ให้แต่ NGO มันอยู่ที่ว่างานเขาอิสระจริงมั้ย มันเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจมากกว่า ต้องเสียเวลาในการไปอธิบาย ซึ่งคนก็จะถอดใจ คนที่ถูกพาดพิงเองก็ถอดใจ เพราะรู้สึกว่าเหนื่อยกับการที่ต้องอธิบาย เราว่าแบบนี้จะปวดหัวสุด”

นอกจากนี้ ยังมีสำนักข่าวบางแห่งที่บิดเบือนข้อมูลหรือสร้างข่าวลวงขึ้นเอง ซึ่งเป็นปัญหาและความยากอีกแบบที่สุภิญญาและ Cofact ต้องคิดหาวิธี เพราะโดยหลักการแล้วไม่เห็นด้วยกับการเซนเซอร์ และถ้าจะต้องมีกลไกภายนอกเป็นผู้ชี้ว่าข่าวใดจริง ข่าวใดปลอม ก็เสี่ยงจะกระทบต่อเสรีภาพในการนำเสนอข่าวอีก

สุภิญญาเห็นว่าแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกรณีนี้คือการสร้าง self-regulation กล่าวคือสำนักข่าวเข้าเป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพและให้กำกับดูแลกันเอง ซึ่งก็ยังเป็นได้เพียงอุดมคติที่ไปไม่ถึงเพราะสำนักข่าวไม่ได้เป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพทุกแห่งหรือต่อให้เป็นก็ใช่ว่าจะเชื่อฟังการวินิจฉัยขององค์กรวิชาชีพ

“เป็นปัญหาโลกแตกของไทย ถ้าเป็นทางแก้คือต้องพยายามสร้างกลไกตรงนี้ขึ้นมาให้ได้ เหมือนอินฟลูฯ ตอนนี้ที่พยายามทำ เขาอาจจะก้าวหน้ากว่าเราก็ได้ อินฟลูฯ ก็คือคนทั่วไป แต่เขามีบริษัทที่จัดการอินฟลูฯ คนที่น่าเชื่อถือสุดก็จะได้รับงานโฆษณา แล้วก็รวมกันทำเป็นสมาคมเพื่อให้มีการรับรอง เพราะตอนนี้เขามีอินฟลูฯ เยอะ มันก็จะมีบริษัทที่ควานหาตรงนี้ คนที่รอดก็เป็นที่ยอมรับ บริษัทเอกชนที่เขาจะมาให้โฆษณาก็ต้องคัดกรอง ดูความน่าเชื่อถือ คือมันจะมีบริษัทเอกชนมาทำ ISO ให้อินฟลูฯ เขาอาจจะไปเร็วกว่าสื่อออนไลน์ที่พาดหัวอะไรแบบนี้ที่ไม่มีคนเตือน ไม่มีคนรับรอง

“มันก็มีอำนาจ 2 แบบในการทำคือพยายามใช้สังคมกดดัน ไม่ว่าคุณจะเลือกข้างยังไง ก็ต้องเข้ามาเป็นสมาชิกภายใต้การกำกับให้ได้ แล้วถ้ามีเรื่องร้องเรียนว่าผิด บิดเบือน ก็ต้องแก้ไข ถ้าไม่ทำก็ไปที่แพล็ตฟอร์มให้เขาเอาออก ใช้ระบบรีพอร์ต เฟสบุคก็เริ่มทำมากขึ้น แต่มันไม่ทันท่วงที มันอาจจะต้องลงทุนแพล็ตฟอร์ม ต้องลงทุนเอาคนมารีวิวเนื้อหาในแต่ละประเทศแล้วเอาออก ไม่งั้นคนก็จะเข้าใจผิดไปแบบนั้น เราคิดว่ามันยากตรงนี้แหละว่าจะใช้กลไกอะไร คุณบอกว่าก็ไปฟ้อง พ.ร.บ.คอมฯ (พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560) สิ คือเราก็ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.คอมฯ อยู่แล้ว เพราะมันเอาคนเข้าคุก เราไม่ต้องการให้ใครเข้าคุก เพียงแค่ให้คุณรับผิดชอบกับคอนเทนต์นั้น ไม่ใช่ลอยตัวไปทั้งที่ตัวเองบิดเบือน แต่ตอนนี้มันไม่กลไกตรงกลางในการจัดการ”

เส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกับการนำเสนอข่าวลวง

แต่ในโลกออนไลน์ไม่ได้มีแค่ข่าวลวงเท่านั้น หากยังมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความคิดเห็น’ ของประชาชนไหลเวียนอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้แสดงความเห็นไม่ได้ต้องการสร้างข่าวลวง แต่แสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ไปตามข้อมูล ความเชื่อ หรืออคติของตน จนเกิดการบิดเบือนหรือ disinformation

ปมปัญหาสำคัญคือเส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกับการจัดการกับการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารนั้นค่อนข้างหายาก เลือนราง และคลุมเครือ เนื่องจากการแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมือง ผู้แสดงความเห็นอาจไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูล ความยากจึงอยู่ที่ว่าเราจะจัดการข้อมูลลักษณะนี้อย่างไรและ ‘ใคร’ จะเป็นคนจัดการ ตรงนี้เองเป็นเรื่องอันตราย สุภิญญาเห็นว่าหากยอมให้ฝ่ายรัฐมีอำนาจจัดการเรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่วิจารณ์รัฐบาลหรือฝั่งที่ไม่มีอำนาจจะตกเป็นเหยื่อของกลไกดังกล่าว โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คอมฯ ดังนั้น รัฐจึงอาจเป็นคำตอบสุดท้ายหรือไม่ใช่คำตอบเลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม โลกออนไลน์ก็มืดหม่นขึ้นทุกวัน การบิดเบือนข้อมูล การ cyber bullying ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนจริงๆ เกินกว่าจะดูดาย สุภิญญาคิดว่าแนวทางที่ควรสนับสนุนซึ่ง Cofact ก็พยายามทำอยู่คือการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม เธอเห็นว่าหากแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยกำกับดูแลจะมีส่วนช่วยได้มาก ยกตัวอย่าง TikTok ที่มีการดูแลเนื้อหาและคัดกรองความคิดเห็นทำให้สามารถจัดการกับข่าวปลอมหรือ hate speech ได้เร็วกว่า ในทางกลับกัน กรณี Facebook ที่มีการบล็อกผู้ใช้กรณีทำผิดกฎกติกาของชุมชนก็สร้างคำถามต่อเกณฑ์ที่ Facebook ใช้วัดไม่น้อยว่าเกณฑ์คืออะไรกันแน่และทำให้ผู้ใช้สับสน

“เพราะฉะนั้นเราก็คิดว่าทำยังไงจะมีการเซ็ตการทำงานระหว่างแพลตฟอร์มกับองค์กรในภาคประชาสังคมที่เข้าใจจุดตรงกลางเรื่องนี้ แล้วก็สร้างกลไกในการรีพอร์ต ตรวจสอบ หรือว่าแก้ไขให้มันทันเวลา ในการปิดกั้นเนื้อหาที่อาจจะนําไปสู่การบิดเบือน ความรุนแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งเราต้องยอมรับว่าเราปล่อยให้มีสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้ มันไปจํากัดเสรีภาพ แต่เราเห็นแล้วว่ามันอันตราย มันส่งผลต่อสังคม แต่ประเด็นคือใครจะเป็นคนตัดสินตรงนี้ มันก็จะมีคําถามออกมา แพลตฟอร์มว่าแล้วในไทยจะให้ฉันฟังใคร ฟัง DE กสทช. หรือใคร อย่างที่บอกว่ามันต้องไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นกลไกที่ตั้งขึ้นมาร่วมกันที่จะมาดู

“แล้วก็ควรมีกระบวนการ sanction ใน Facebook เพจข่าวที่ตั้งใจเสนอข้อเท็จจริงควรจะส่งเสริมการมองเห็นโดยเฉพาะพวก non-profit เเต่เพจที่เน้นพาดหัวให้ผิด บิดเบือน เข้าใจผิด โดนรีพอร์ตไว้ คุณต้องปิดกั้นการมองเห็นไม่ใช่จ่ายเงินแล้วก็โปรโมท เเต่นี่คือปัญหาที่พูดตั้งแต่ตอนแรกแล้ว มันคือข้อท้าทายที่สุดมัน beyond เรามากๆ เราจะทำยังไงให้เขาทำตาม มันต้องเจรจา ก็ฝากความหวังไว้ที่ กสทช. ตอนนี้เราต้องเอาแพล็ตฟอร์มต่างๆ มานั่งคุยแล้วเป็นกลไกพหุภาคี ฝั่งหนึ่งเป็น NGO ที่เข้าใจเรื่องนี้ อีกฝั่งคือแพลตฟอร์ม เพื่อหาการทำงานร่วมกันลดปัญหาความเกลียดชัง ไม่ใช่ไอเดียใหม่นะ ในระดับสากลก็พยายามทำ”

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก