ชายคาเรื่องสั้น ชายคาวรรณกรรมแห่งราษฎร

639 views
8 mins
February 25, 2025

          ตั้งแต่นักข่าวสายม็อบ นักดนตรีออกเทปกับค่ายดัง จวบปัจจุบันบทบาทอาจารย์มหาวิทยาลัยผู้อุทิศตนให้ลูกศิษย์ลูกหาวิชาวารสารศาสตร์ เขาเปรียบตัวเองดั่งกรรมกรสอนหนังสือ

          แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ ใต้นามปากกา ธีร์ อันมัย ที่เอาไว้ใช้ทั้งแต่งเพลงและเขียนเรื่องสั้น ธีระพล อันมัย รับบทบาทผู้ประสานงานหลักในนิตยสารเรื่องสั้นรายสะดวก ชายคาเรื่องสั้น เสมือนชายคาบ้านที่พร้อมต้อนรับและให้ร่มเงาแก่นักเขียนที่มุ่งมั่นในแนวทางเดียวกัน คนเท่ากัน ราษฎรเท่าเทียม

          มายากลแห่งภาวะฉุกเฉิน รวมเรื่องสั้น ลำดับที่ 1 ปรากฏบนแผงหนังสือในปี 2553 ที่สังคมไทยเผชิญหน้าเหตุรัฐล้อมปราบบุคคลที่คิดต่างกลางเมืองหลวง ปีถัดมา รวมเรื่องสั้น ลำดับที่ 2 ร่างกลางห่ากระสุน เหมือนจะตอกย้ำว่า ‘คณะเขียน’ ที่ได้แรงบันดาลใจชื่อตาม ‘คณะสุภาพบุรุษ’ จากยุค กุหลาบ สายประดิษฐ์ ย้ำคิดย้ำทำตอกตรึงความทรงจำกับเหตุทางการเมืองนั้น อย่างไม่คิดปล่อยให้เรื่องเล่าหลุดหายไปในกาลเวลา

          เปลือยประชาชน และ โลกสันนิวาส เป็นชื่อรวมเรื่องสั้น ลำดับที่ 3 และ 4 ที่สะท้อนสังคมขบวนถัดมา ทั้ง 4 เล่มแรก สำนักพิมพ์ เคหวัตถุ ของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ เป็นหน่วยประสานการจัดพิมพ์ ยังมีสำนักพิมพ์ อ่าน ของ ไอดา อรุณวงศ์ ทำหน้าที่จัดการรูปเล่ม 

          ถัดจากนั้น มาโนช พรหมสิงห์ นักเขียนอีสานเจ้าของรางวัลรพีพร รับหน้าที่บรรณาธิการหลักคัดสรรต้นฉบับจนล่วงมาถึงเล่มที่ 16 ด้วยสุขภาพที่ไม่เอื้ออำนวย ชายคาเรื่องสั้น จึงถูกส่งต่อให้ ธีร์ อันมัย ผู้เป็นดั่งเลขานุการของคณะเขียน รับหน้าที่ดูแลต้นฉบับ ประสานงานการจัดพิมพ์ ที่แปรเปลี่ยนจากกระดาษเป็นรูปแบบออนไลน์ในเว็บไซต์สำนักข่าว เดอะอีสานเรคคอร์ด  

          หนังสือ 16 เล่ม เรื่องสั้น 197 เรื่อง นักเขียนหน้าเก่าหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนเวียนวนร่วม 100 คน กับผู้อ่านจำนวนนับไม่ถ้วน

          “ชายคาเรื่องสั้น มันตรงจริตเรา เป็นภารกิจที่เกิดมาชาติหนึ่งได้ทำหนังสือแล้วส่งพลังให้ตัวเองและคนอื่นๆ เราก็ไม่อยากพลาดโอกาสแบบนั้น” อาจารย์หนุ่มพรั่งพรูความรู้สึกไว้ตอนหนึ่ง

ชายคาเรื่องสั้น ชายคาวรรณกรรมแห่งราษฎร

เมนิเฟสโตจากชายขอบ

          “ชายคาเรื่องสั้น มาจากแนวคิดที่ว่า บ้านหลังนี้มันหลังเล็ก แต่มันมีชายคาให้คนได้พึ่งพาพักพิง มีที่ที่คนจรคนอื่นสามารถมาพักพิง มาร่วมงานกับเราได้” ความเป็น ชายคาเรื่องสั้นที่ ธีร์ อันมัย สมาชิกหลักบอกเล่าที่มา

          ปี 2552-2553 ยุคสมัยที่สังคมนักเขียนไทยมองการทุจริตของนักการเมืองเป็นปัญหาหลักสังคมที่ต้องบอกเล่าเคลื่อนขบวน หน้าหนาวขวบปีระหว่างนั้นที่อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร กลุ่มนักเขียนอีสานผู้เฝ้ามองปรากฏการณ์สังคมเช่นกัน ทว่าพวกเขามองล้ำหน้าไปกว่านั้น ปัญหาบ้านเมืองน่าจะเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ไม่เท่าเทียมกันมากกว่าการฉ้อโกงเพียงอย่างเดียว และทุกกิจกรรมของมนุษย์เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างแยกไม่ออก เหตุใดต้องวางตัวตนให้อยู่เหนือความขัดแย้งที่เห็นๆ กันอยู่

          “มีคนที่แหลมขึ้นมา เช่น วัฒน์ วรรลยางกูร และ ไม้หนึ่ง ก.กุนที (กมล ดวงผาสุก) ซึ่งแสดงตัวชัดเจน นอกนั้นก็มีคนที่เงียบ รอดูเหตุการณ์ หรือส่วนใหญ่ก็เป็นอีกฟากหนึ่งที่รังเกียจการเมืองจนเลยเถิด คิดว่าชาวบ้านเป็นเครื่องมือของนักการเมือง” ธีร์ อันมัย ฉายภาพบรรยากาศห้วงเวลานั้น

          จากคนที่มีความคิดความอ่านเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ไม่ว่าจะ มาโนช พรหมสิงห์, อนุสรณ์ ติปยานนท์, ภู กระดาษ (ถนัด ธรรมแก้ว) และใครต่อใคร ต่างมีข้อตกลงร่วมที่จะทำหนังสือรวมเรื่องสั้น ด้วยปัจจัยหนุนช่วงเวลานั้น สนามเรื่องสั้นในเมืองไทยที่เคยมีเวทีอยู่มากมายเริ่มหายหน้าหายตา 

          ขณะที่ มาโนช พรหมสิงห์ กล่าวถึง ช่อการะเกด ของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี หนังสือรวมเรื่องสั้นอันเป็นเวทีแจ้งเกิดของนักเขียนไทยหลายต่อหลายคนว่า นี่เป็นต้นแบบการสร้างที่ทางวรรณกรรมให้ดำรงอยู่ จึงคิดว่ามันควรมีอีกพื้นที่สำหรับนักเขียนเรื่องสั้นโดยเฉพาะ หากจะรอส่งงานไปตีพิมพ์กับ มติชนสุดสัปดาห์ หรือส่ง เนชั่นสุดสัปดาห์ มันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะสิ่งที่พวกเขาทำนั้นคือพื้นที่เรื่องสั้นที่เข้มข้นในแบบฉบับของตัวเอง

          “มายากลแห่งภาวะฉุกเฉิน หนังสือเล่มแรกเกิดขึ้นหลังปี 2553 เป็นการประกาศหรือปักธงเล่นกับสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราในช่วงปีนั้น ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ยาวนาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นเครื่องมือปราบคนเสื้อแดง”

          อาจารย์หนุ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นของหนังสือว่า คนที่ส่งเรื่องสั้นเข้ามาระยะแรก แทนที่จะได้ค่าเรื่อง กลับต้องเสียค่าพิมพ์แทน ตอนนั้นพวกเขาจ่ายให้โรงพิมพ์ตามเท่าที่มีกำลังระดมทุน เพื่อให้หนังสือออกมา โดยอาศัยเครดิตของสำนักเคหวัตถุของ อนุสรณ์ ติปยานนท์ เป็นหลัก

          หลังตีพิมพ์ 4 เล่มในระยะเวลา 4 ปี นักเขียนคุณภาพในเมืองไทยต่างแวะเวียนมาร่วมในชายคา อย่าง เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์, วรพจน์ พันธุ์พงศ์, ภาณุ ตรัยเวช, ชัชวาลย์ โคตรสงคราม และคนอื่นๆ ที่นักอ่านยากที่จะปฏิเสธผลงาน แต่มองลึกลงไป คณะเขียนต่างรู้สึกถึงภาวะเงียบงันในแง่ของผลตอบรับหรือเรื่องที่ต้องขบคิดอย่างหนัก โดยเฉพาะรายได้จากการจัดจำหน่าย 

          “เงียบๆ เหมือนว่ามันจะล้มหายตายจากไป” ธีร์ อันมัย สะท้อนถึงหนังสือที่เขามีส่วนสร้างชีวิตขึ้นมา

          แต่แล้ว ปี 2557 ชายคาเรื่องสั้น กลับมาฟื้นตื่นด้วยคณาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ทำโครงการขอสนับสนุนเพื่อจัดประกวดเรื่องสั้น ชายคาเรื่องสั้น ภายใต้หัวข้อ เรื่องสั้นในภาคอีสาน ก่อนตีพิมพ์จำนวน 2 เล่ม ลำดับที่ 5 สุสานของความสุข ลำดับที่ 6 มวลดอกไม้ในยุคมืด แม้แหล่งสนับสนุนเงินทุนจะแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่การจัดประกวดเรื่องสั้นที่เริ่มจากมีนักเขียนส่งผลงานมาระยะแรกราว 30 คน ก่อนจำนวนจะขยับขึ้นไปจนทะลุหลัก 100 เรื่องในเล่มถัดๆ ไป ก็นับได้ว่าชายคาทางวรรณกรรมแห่งนี้ ประสบผลสำเร็จในแง่ของการสร้างพื้นที่อ่านเขียนให้กับประชาชน 

          ดั่งคำประกาศที่ มาโนช พรหมสิงห์ มักใช้สื่อสารกับผู้ติดตามชายคาเรื่องสั้นในฐานะ ‘ราษฎร’ กับ ‘ราษฎร’

          “เหมือนเมนิเฟสโตจากชายขอบ ที่ผ่านมาเรานึกถึงการเขียนงานจากอะไร เราจะนึกถึงพื้นที่ส่วนกลางอำนาจจากกรุงเทพฯ งานผลิตที่กรุงเทพฯ คืองานอยู่ที่ต่างจังหวัดต้องส่งไปผลิตที่กรุงเทพฯ คุณจะได้เห็นคำว่าราษฎรตาดำๆ ในคำประกาศชายคาเรื่องสั้นบ่อยๆ ก็คือยืนยันว่า เราเป็นพวกบ้านนอกคอกนา เรายังอยากทำหน้าที่เป็นจุดตั้งต้นของเสียงที่มันถูกเปล่งออกมาภายใต้สิ่งที่เรียกว่า งานวรรณกรรมเรื่องสั้น”

          เขากล่าวย้ำถึงจุดยืนอันหนักแน่น

ชายคาเรื่องสั้น ชายคาวรรณกรรมแห่งราษฎร

จริตคณะเขียนราษฎร

          อุดมคติดูจะเป็นคำสำคัญของเหล่าชาวชายคาเรื่องสั้น ด้วยยึดถือคณะสุภาพบุรุษของกลุ่มนักเขียนหนุ่มในปี 2472 ทั้ง กุหลาบ สายประดิษฐ์, มาลัย ชูพินิจ, อบ ไชยวสุ และ โชติ แพร่พันธุ์ บุคคลเหล่านี้ทำให้วรรณกรรมไม่ได้ผูกขาดแค่ชนชั้นนำ และเขาเหล่านั้นต่างเป็นนักเขียนที่ผลิตงานความคิดตัวเองเพื่อสื่อสารกับสังคม ขณะเดียวกันชายคาเรื่องสั้นที่เริ่มจากนักเขียนสามัญชนเช่นกัน ในชื่อว่า ‘Like Write Light to Live’ คณะเขียนเองก็อยากเขียนแสงสว่างเพื่อให้ได้มีชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางความมืดมิดใบ้บอดของบ้านเมืองนี้

          ศิลปินแห่งชาติ คำพูน บุญทวี ภูเขาวรรณกรรมที่นักเขียนลูกอีสานหลายยุคต้องการก้าวข้าม กลายเป็นที่ปรึกษาของคณะเขียน แม้นักเขียนซีไรต์คนแรกของประเทศจะจากไปก่อนหนังสือชายคาเรื่องสั้น เล่มแรกจะตีพิมพ์ออกมาเกือบสิบปี แต่ก็ตั้งใจให้เป็นสิริมงคลแด่กองบรรณาธิการ ในฐานะลูกหลานที่สานต่องานเขียน

          “จริงๆ เราไม่ได้สนใจความศักดิ์สิทธิ์ แต่เราเล่นกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นเหมือนทุกๆ ที่ที่มีที่ปรึกษา แต่ไม่ปรึกษา” ธีร์ อันมัยกล่าวไว้อย่างตลกร้าย

          นอกจากรับเรื่องส่งประกวด ในทางหนึ่ง ชายคาเรื่องสั้นยังมีส่วนของเรื่องสั้นรับเชิญ อันเปรียบเสมือนการเคารพเกียรติยศของนักเขียนผู้นั้นที่มีจุดยืนเคียงข้างราษฎร ซึ่งแต่ละคนต่างถูกพิสูจน์ผ่านกาลเวลาทั้งตัวตนและผลงาน

          “เราคิดว่าเราอยากบูชาพวกเขา เราของานพวกเขามาใช้เพื่อเป็นเกียรติกับเราหน่อย คนอย่างพวกคุณควรได้รับการเชิดชู นักอ่านจึงได้เห็นเรื่องสั้นของตำนานเมืองไทยอย่าง สุชาติ สวัสดิ์ศรี และ วัฒน์ วรรลยางกูร อีกครั้ง”

          ตัวสำนักพิมพ์และตัวหลักของชายคาเรื่องสั้น อาศัยอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ นอกจากความคิดเชิงประชาธิปไตย คำว่า ‘ท้องถิ่นนิยม’ กลายเป็นสิ่งที่แทบแยกไม่ออกจากนิตยสารเรื่องสั้นหัวนี้

          “เราพยายามไม่ให้เป็นเช่นนั้น แม้ลึกๆ เราปรารถนาให้นักเขียนอีสานเป็นคนส่งงานมามากๆ ด้วยซ้ำ แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นว่านักเขียนจากทั่วประเทศส่งมา จากภาคใต้ก็เยอะ จากภาคเหนือก็เยอะ จากภาคกลางก็ไม่น้อย แม้แต่กรุงเทพฯ เองก็ตาม

           “ชายคาเรื่องสั้นไม่จำกัดเรื่องภาษา จะเป็นภาษากลาง ภาษาเหนือ ภาษามลายู หรือท้องถิ่นอื่นๆ เราไม่จำกัด เราจะไม่พยายามแปลมันและไม่พยายามวงเล็บมันไว้ เราอยากให้ภาษานั้นยังคงอยู่” ธีร์สะท้อนความรู้สึกลึกๆ ถึงความคาดหวัง

          สำหรับเขา ภาษาแทบไม่มีส่วนในการพิจารณาต้นฉบับ โดยหลักๆ จะดูจากตัวบทที่เป็นเรื่องใหม่ มีความคิดสร้างสรรค์ มีประเด็นกับผู้คนมากน้อยแค่ไหน

          “ว่าไปถึงมนุษยนิยมแล้ว ที่สำคัญคือ คุณก็ต้องเป็นเสรีนิยม ควรมีอิสระจากอำนาจที่ครอบคลุมอยู่ ถ้าเรื่องสั้นต่อให้สร้างสรรค์แค่ไหน สุดท้ายถ้าพาเราไปกราบ ไปหมอบ เราก็จะพิจารณาว่าไม่เอา หรือแม้แต่คุณจะเป็นมนุษยนิยม แต่คุณเห็นคนถูกยิงตายเต็มถนน แต่คุณก็ไม่บอกไม่เล่าว่าใครเป็นคนตั้งใจสังหารประชาชนจำนวนนั้น เราก็ต้องถามกลับว่า คุณจะบอกอะไร จะสื่อสารอะไรกันแน่”

          ย้อนไปช่วง มาโนช พรหมสิงห์ กุมบังเหียนเป็นบรรณาธิการหลัก ถ้าหากใครก็ตามส่งต้นฉบับมา มาโนชจะอ่านทุกเรื่องก่อนจะคัดไว้ว่าอันนี้คือผ่าน หรือหากอ่านรอบแรกไม่ผ่าน ไม่เคลียร์ ไม่กระจ่างใจ ก็จะเอามาให้กองบรรณาธิการเช่นตัว ธีร์ อันมัย เอง ภู กระดาษ, เสนาะ เจริญพร และ วิทยากร โสวัตร ช่วยกันเข้าไปอ่าน เพื่อหารือกันว่ามีแง่มุมไหนที่ต้องพิจารณาหรือควรตั้งคำถามต่อ

          “บางเรื่องที่นักเขียนส่งมา มีมิติทางศาสนา รายละเอียดพระธรรมวินัยเข้มข้น ก็จะต้องให้คนที่เคยบวชเรียนมาวิเคราะห์ว่าคืออะไร ส่วนเรื่องละเอียดอ่อนกว่านั้นที่เกี่ยวข้องกับ ‘112’ หรือ สถาบันกษัตริย์ ก็ดูว่ามีประเด็นไหนที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ต้องเซฟใครบ้าง เซฟนักเขียน เซฟบรรณาธิการ หรือว่าเซฟหนังสือเอง”

          ธีร์ อันมัยยอมรับว่ารู้สึกเสียใจ “ทำไมเรื่องศาสนา เรื่องการฆ่ากันตาย เป็นเรื่องที่เราต้องมาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน มันอาจนำไปสู่การไปแก้ไขตัวบท เราคุยกันว่ามันคือปัญหาของเสรีภาพในการแสดงออกที่เราไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ เหมือนมีบางอย่างกดเราไว้ ทำให้เราต้อง self-censored”

          นักเขียนเจ้าของรวมเรื่องสั้นตะวันออกเฉียงเหนือเล่าอีกว่า เท่าที่ดูนักเขียนเองต่างมีวิธีการบอกเล่าเรื่องต่อสู้ทางชนชั้นออกมาอย่างแนบเนียน 

          “ที่สุดเราเลยไม่กลัว แม้แต่งานเขียนของ วัฒน์ วรรลยางกูร ส่งมาเรื่องแรกเรื่อง ปาก แกก็ฝากข้อความว่า ‘กลัวจังเลยว่าคุณตีพิมพ์แล้วจะมีปัญหา นักเขียนก็เถื่อนแล้วเป็นผู้ลี้ภัย’ เราก็บอก ‘ไม่มีอะไรต้องกลัวพี่’ เพราะเราก็สแกนเต็มที่แล้วว่ามันไม่มีปัญหา”

          เมื่อถามถึงความหวาดหวั่นเขากล่าวทันที 

           “ไม่ต้องใช้ความกล้าหาญ มันแค่ใช้วิจารณญาณว่าเรื่องนี้ได้หรือไม่ได้ เป็นพื้นฐานปกติของเสรีภาพ ประกอบกับการพิจารณาของนักเขียนที่จะใช้ตัวสัญลักษณ์ ซึ่งก็แนบเนียนด้วยตัวมันเอง ให้คนตีความออกไปแบบไหนสุดแท้แต่ นี่จึงกลายเป็นจริตของชายคาเรื่องสั้นไปเลย”

ชายคาเรื่องสั้น ชายคาวรรณกรรมแห่งราษฎร

ปลอบประโลมเคียงข้างประชาชน

          หัวหิน (เขียนโดย วิกรานต์ ปอแก้ว) ใช้ฉากในนิยาย Norwegian Wood (ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย) เคล้าบรรยากาศเมืองพักร้อนริมฝั่งอ่าวไทย ให้ตัวละครทุกตัวมีอิสระในการตัดสินใจและเผชิญหน้าชะตากรรมที่ผูกสัมพันธ์ขึ้น

          สมรภูมิของนักรบ (เขียนโดย ปันนารีย์) เรื่องเล่าจากทะเลสาบทางตอนใต้ของเชียงใหม่ แม้ผู้เขียนไม่ได้ระบุตำแหน่งแห่งที่ไว้ชัดเจน แต่บรรยากาศในเรื่องก็ทำให้เห็นภาพผืนน้ำขนาดใหญ่ ที่บรรจุหลายชีวิตซึ่งดิ้นรนเพื่อจะอยู่ให้ได้ในที่แห่งนั้น

          ลูกแกวร้านขายลาบ (เขียนโดย อรุณรุ่ง สัตย์สวี) เล่นล้อกับประวัติศาสตร์คน ‘เหวียต’ ที่ต้องทิ้งแผ่นดินเกิดจากภัยสงครามและภัยอาณานิคมก่อนเนรเทศไปสู่แผ่นดินอื่น  เหมือนจะเป็นงานเรียบๆ ที่เล่าถึงชีวประวัติครอบครัวญวนอพยพ แต่ความทรงจำผ่านบาดแผลและคราบน้ำตานั้นแจ่มชัดในความทรงจำผู้เขียน

          แม้แต่กระบวนการสร้างนักเขียน ที่คณะเขียนเองก็ชิงกล่าวว่า ร่วมทศวรรษในแวดวงหนังสือไทยของชายคาเรื่องสั้น พวกเขาไม่กล้าเคลมว่าสร้างนักเขียนคนใดคนหนึ่งขึ้นมา เพราะแต่ละคนต่างมีที่ทางเฉพาะแบบและสไตล์ท่วงทำนองเฉพาะตัว ธีร์ อันมัยกล่าวว่า 

          “ถ้าจะให้นึกถึงหรือเอ่ยชื่อมาก็คงจะเป็นนักเขียนที่เป็นนักเรียนนักศึกษามากกว่า อยากให้เขาเขียนงานต่อ อย่าง โมไนยา บุญช่วยชู (ได้รับรางวัลชายคาเรื่องสั้นยอดเยี่ยม ปี 2562 จากเรื่อง นกใต้มหาสมุทร -ผู้เขียน) ปัจจุบันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่รู้ว่าเขาเขียนงานต่อหรือเปล่า” 

          ชาคริต คำพิลานนท์ นักเขียนจากแดนใต้ มีผลงานรวมเรื่องสั้นกับสำนักพิมพ์ สมมติ ในชื่อ ในปีที่ยี่สิบเจ็ด และเรื่องสั้นอื่นๆ เป็นอีกคนที่มีผลงานปรากฏอยู่ในชายคาเรื่องสั้นหลายครั้ง 

          ธีร์พูดถึงนักเขียนว่า “คนแบบนี้เหมือนเขาต้องการพื้นที่มานาน พื้นที่ที่เปิดรับเรื่องสั้นอย่างที่เขาอยากเขียน เหมือนนักมวยมารอชกในรายการที่พร้อมสำหรับเขา อีกคนก็ จารุพัฒน์ เพชราเวช ก็เป็นนักเขียนที่เขียนงานมาก่อน งานที่ทำให้เขาเปล่งประกายก็คือเรื่อง ห่าก้อม วิพากษ์การมีอยู่ของขนบเดิมที่อาจไม่จำเป็นกับโลกสมัยใหม่”

          ตั้งแต่ทำกิจกรรมสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ลงสนามทำข่าวม็อบต้านเขื่อนปากมูล ต่อสู้ทางการเมืองกับชาวบ้านมาตลอด

          ทุกวันนี้นอกจากเป็นอาจารย์สอนหนังสือแล้ว ยังเป็นตัวตั้งตัวตีทำกิจกรรมทางการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานี นอกจากนี้ยังรับอีกบทบาทในกองบรรณาธิการชายคาเรื่องสั้น ชายผู้นี้รีบออกตัวว่า แค่สอนหนังสือมันน้อยไปด้วยซ้ำ ชีวิตหนึ่งน่าคิดว่าทำอะไรได้บ้าง แล้วก็เลือกทำอย่างที่ถนัด 

          “พอเห็นหนังสือออกมา คุณไปดูสิว่าหน้า มาโนช พรหมสิงห์ เขายิ้มภูมิใจขนาดไหน เราเองก็สนุก มีความสุขที่ได้แพ็กหนังสือส่งไปให้คนอ่านที่สั่งซื้อเข้ามา มันไม่ใช่พลังงานที่ให้เงินเรา แต่มันส่งต่อพลังงานบางอย่างที่เราคิดว่าสามารถทำได้”

          ถ้อยเถื่อนแห่งอารยธรรม, สุดพรมแดนแสงดาว, เมืองมหรศพ และ ห่าตำปอด เชื้อไข้ร่วมสมัย บรรดาตัวอย่างชื่อหนังสือแต่ละเล่ม ที่บรรณาธิการ มาโนช พรหมสิงห์ ตั้งตามบรรยากาศเรื่องสั้นที่ส่งมาประกวดแต่ละครั้ง หรืออย่าง ราษฎรทั้งหลาย, ปีศาจหนังสือ, ผู้ปรารถนาเสรีภาพ และ บุตรธิดาแห่งสยาม ส่วนมากจะเป็นชุดคำที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของขบวนราษฎร วนเวียนอยู่กับประวัติศาสตร์ของฝั่งราษฎรเป็นส่วนใหญ่

          ธีร์ อันมัยออกความเห็นว่า “เป็นสไตล์ของหนังสือเราตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มล่าสุด เหมือนชื่อหนังสือถูกตั้งขึ้นมาเพื่อจะบอกว่า มันมีคู่ตรงข้ามอยู่ในงานเสมอ ทุกอย่างไม่ได้มีทางเดียว สะท้อนสภาพที่มันเป็นจริงกับความคิดฝันที่มันไม่ได้เป็น เราเห็นว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของราษฎรถูกทำลาย เราก็พยายามนำเสนอประเด็นที่จะตอกย้ำหรือว่าไหลเวียนอยู่ในกระแสของผู้คนได้

          “ปกหนังสือแต่ละเล่มทำมาเพื่อเล่นกับมัน บางทีก็ด่ามัน บางทีก็ปลอบโยนกันเอง บุตรธิดาแห่งสยาม คือชื่อปกออกมาเพื่อปลอบใจในช่วงเวลาที่เด็กโดนแก๊สน้ำตา โดนกระทำ ถูกจับยัดเข้าคุกเป็นว่าเล่น นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ลูกหลานเราถูกกระทำย่ำยี นอกจากยั่วล้อกับอำนาจแล้ว นี่คือการทำหน้าที่ปลอบประโลมเคียงข้างประชาชนโดยตั้งชื่อที่มีนัย”

          เขาพูดถึงปกหนังสืออีกว่า “ที่ขายดีที่สุดน่าจะเป็นเล่ม ปีศาจหนังสือ กับ เด็กดีของประเทศที่ไร้อนาคต เหตุผลที่ขายดีเพราะสีและชื่อประเด็นที่มันถูกสะท้อนผ่านคลื่นช่วงหนึ่ง เผด็จการกลัวหนังสือกัน เราคิดว่าการเผาหนังสือมันน่าจะหมดไปตั้งแต่ยุค 6 ตุลาคม 2519 แล้ว แต่กลายเป็นว่าช่วงหลังๆ มีการกลับมาเซนเซอร์ มาตามจับคนที่ทำหนังสือ”

          “การตั้งชื่อเรื่องของชายคาเรื่องสั้น บางทีมันก็สะท้อนยุคสมัย ไม่ได้มีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ผูกขาดชื่อจากปกหนังสือ เพียงแต่ยุคสมัยมันเป็นแบบนั้น ซึ่งการตั้งชื่อหนังสือมันก็สำคัญกับทั้งบรรณาธิการและนักเขียน คือเราไปด้วยกัน”

ชายคาเรื่องสั้น ชายคาวรรณกรรมแห่งราษฎร

ขบถผู้ปลดปล่อย

          ชีวิต 12 ปีของนิตยสารเรื่องสั้นเล่มหนึ่ง มีคุณค่าบางอย่างต่อแวดวงหนังสือและสิ่งแวดล้อมการอ่านในประเทศนี้มากมายกว่านั้น ผู้มีส่วนร่วม ธีร์ อันมัย เคยสะท้อนว่า 

          “ผมเกิดมาชาติหนึ่งได้ทำหนังสือ ใช้พลังงานกับมันเต็มที่แล้ว ผมคิดว่าสำหรับพี่มาโนชมันสำคัญมาก เพราะมันคือช่วงปลายของชีวิตการเขียนของเขา เขาได้ทำงานที่ใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตอย่างเต็มที่กับการใช้ศักยภาพของความเป็นนักเขียน แม้แต่เราก็ใช้ความเป็นนักอ่านและบรรณาธิการอย่างเข้มข้น เห็นการทำงานของคุณมาโนชแล้วเราคิดว่าเป็นผู้ชายที่น่านับถือมากๆ แกเขียนจดหมายตอบนักเขียนที่ส่งเรื่องเข้ามาทุกคนในช่วง 10 เล่มแรก”

          ธีร์ อันมัยเล่าอีกว่า ต้องหาโปสต์การ์ดให้ มาโนช พรหมสิงห์ เขียนหานักเขียนทุกคนเพื่อให้กำลังใจ 

          “มันมีความหมายมากในฐานะที่ผมเองได้เห็นการทำงานเข้มข้นของแก การได้ช่วยแกทำงานเป็นประสบการณ์ที่ไม่ใช่ใครก็หาได้ เพราะหนังสือเป็นที่มั่นของแก พี่มาโนชยังคุยเสมอว่า ใครจะคิดจะฝันว่าวันหนึ่งจะได้มาเป็นบรรณาธิการแบบ สุชาติ สวัสดิ์ศรี”

          ไม่เพียงแต่เรื่องสั้น พวกเขาขยับมาทำงานแปล ก่อนจะมีระเบียงกวี คัดสรรโดยกวีมากประสบการณ์อย่าง ประกาย ปรัชญา 

          “ถ้าหากเพิ่มเรื่องแปลจากภาษาอังกฤษหรือภาษาอะไรก็แล้วแต่เป็นภาษาไทย ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่ว่าเราลองแปลต่อจากภาษาต้นฉบับเป็นภาษาลาว กลายเป็นว่ามันสนุกขึ้น สนุกกับคนที่จะอ่านเรื่องนี้แล้วรู้เรื่อง นั่นก็คือคนที่พูดลาวได้ ทำให้คนกรุงเทพฯ ปวดหัว นี่แหละคือการหยอกล้อกับอำนาจส่วนกลางที่เป็นอำนาจทางภาษา เป็นอำนาจกำหนดการรับรู้ของผู้คน” เขาเล่าถึงประเภทงานที่ค่อยๆ ขยับขยาย

          วัดที่ความสำเร็จ ในแง่พื้นที่สำหรับคนเขียนหนังสือชายคาเรื่องสั้น ก็ยืนหยัดได้นานเป็นปรากฏการณ์ทศวรรษหนึ่ง “เราแสดงตัวชัดเจนว่าเราอยู่อีกฟากหนึ่งกับอำนาจที่ครอบประเทศไทยอยู่ เราไม่ได้มีวรรณกรรมเพื่อหมอบกราบรับใช้ คณะเขียนทุกคนมีวิญญาณการเป็นขบถเป็นผู้ปลดปล่อย”

          ธีร์ อันมัยกล่าวอย่างภาคภูมิว่า การจัดประกวดเรื่องสั้น ช่วงหลังๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น ยิ่งกับ 3-4 ปีที่วัฒนธรรมอีสานป๊อปมากขึ้น เป็นผลมาจากการใฝ่รู้ของผู้คนทุกวันนี้ เช่นกันกับชายคาเรื่องสั้นที่โหมขึ้นจากตะเข็บชายแดนชายขอบโดยไม่รอให้งอกขึ้นจากส่วนกลาง ถึงอย่างนั้นมีบางส่วนพยายามจะปรับจริตให้เหมือนกับชายคาเรื่องสั้น เพื่อเอาใจกองบรรณาธิการ เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า

          “ถ้างานมันไม่ถึงจริงๆ ก็ไม่ผ่าน อย่าเขียนเพื่อเอาใจบรรณาธิการ จงใช้พลังงานสร้างสรรค์ตัวเองให้เต็มที่เถอะ” 

          แต่กับสกุลวรรณกรรม สำหรับ ธีร์ อันมัย เขามองว่าต้องคานงัดกับอำนาจที่กดทับอยู่ ไม่ใช่การศิโรราบต่ออำนาจนั้น ในฐานะบรรณาธิการคัดสรร เขาอยากได้ยินเสียงจากนักเขียนผู้หญิงอีสานให้มากขึ้นกว่านี้

          “เราพยายามมองหาผู้หญิงในภาคอีสานที่เป็นนักมนุษยนิยม เป็นเสรีนิยม เขียนงานดีๆ ส่งมา เราอยากเห็น LGBTQ+ เขียนงานเพื่อปลดปล่อยตัวเองส่งมา แต่เราก็ยังไม่เห็น เราอยากเห็นมิติใหม่ คนหน้าใหม่ มันจะดีต่อคนอ่าน มันจะได้เปิดโลกจากการอ่าน” อาจารย์ด้านวารสารศาสตร์ กล่าวถึงสิ่งปรารถนา

ชายคาเรื่องสั้น ชายคาวรรณกรรมแห่งราษฎร

คนออกจากความมืด

          ปี 2565 รอยต่อที่แยกระหว่างสื่อสิ่งพิมพ์ไปสู่รูปแบบออนไลน์ ทำให้คณะเขียนค่อนข้างลังเลถึงแห่งหนตัวตน ก่อนได้ข้อสรุปว่า ปรับมาทำออนไลน์เพื่อลดค่าใช้จ่ายการตีพิมพ์ที่ครั้งหนึ่งเสียไปราว 70,000 บาท ซึ่งขณะนี้ไม่มีทุนสนับสนุนต้องหาเงินจากการขายหนังสือออนไลน์เพียงอย่างเดียว

          “หนังสือมันยึดจับได้ เป็นเจ้าของได้ กระดาษมันคือพื้นฐานการอ่านของคนรุ่นเรา คนรุ่นใหม่อาจจะใช้มันเป็นอีบุ๊ก หากเป็นไปได้เราก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นด้วย ทำทั้งสองแบบ แต่ถามความตั้งใจจริงของกองบรรณาธิการก็อยากให้ทำเป็นเล่มแบบนี้แหละ อย่างพี่มาโนชเองเวลาหนังสือถูกพิมพ์แต่ละครั้งก็เหมือนได้เจอลูกที่คลอดมาใหม่ ได้เจอคนรัก” ธีร์ อันมัยบอกเล่าความสำคัญของหน้ากระดาษ

          ด้วยฝันใฝ่จะกลับมาตีพิมพ์รูปแบบหนังสือกระดาษอีกครั้ง คณะเขียนคิดว่าจะเอาเรื่องสั้นคัดสรรจากทั้ง 16 เล่ม ไปตีพิมพ์แปลเป็นภาษาอังกฤษ โดยเริ่มจากนักเขียนภาคอีสานกับภาคเหนือก่อน ซึ่งจะมีอาจารย์คณะศิลปศาสตร์แบ่งกันคนละเรื่องสองเรื่องแล้วช่วยกันแปล เน้นไปที่เรื่องสิทธิมนุษยชน (Human Rights) เป็นเหมือนภารกิจการพาเรื่องสั้นข้ามพรมแดน จากเมืองไทยไปต่างประเทศ 

          “เราไม่สนใจภาษาไทย เราสนใจภาษาลาวกับภาษาอังกฤษ แม้แต่ในคำประกาศคณะเขียนที่ปรากฏในทุกเล่ม ก็ยังใช้ ค.ศ. เพราะเป็นสากล เราไม่อยากเป็นเอเลี่ยนในประวัติศาสตร์โลก เวลาต้องเทียบประวัติศาสตร์โลกแล้วมาดูเลขไทย แถมยังต้องเอามาลบ 543 นี่คือสิ่งที่ชายคาเรื่องสั้นคุยกันตั้งแต่ต้นเพื่อใช้คริสต์ศักราชจริงๆ รัฐทำให้เรารู้ช้ากว่าชาวโลกตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ ถ้าคิดเป็น ค.ศ. เราก็เป็นสากลตั้งแต่แรก ก็ไปหาค่าสัมพัทธ์ ช่วง ค.ศ. 1789 ที่ฝรั่งเศสเป็นอย่างไร ไทยเป็นอย่างไรก็จะเห็นว่าเราอยู่ที่ตรงไหนของโลกในช่วงเวลานั้น”

          ธีร์ อันมัยเล่าถึงผู้อ่านในรอบ 12 ปีที่ผ่านมาของชายคาเรื่องสั้นว่า “ส่วนใหญ่เป็นคนสนใจเรื่องการเมือง แล้วก็ยากจนฉิบหาย คือหนังสือเราพิมพ์ออกมาไม่ว่าจะ 3,000 หรือ 500 เล่ม ยอดขายมันก็ไม่เยอะอยู่ดี แต่คนที่อ่านจริงๆ ก็คือปัญญาชนที่คิดแบบซีเรียส” 

          ก่อนจะพบบ้างว่านักอ่านบางคนกลายเป็นนักเขียน เป็นนักวิจารณ์ สำหรับ ธีร์ อันมัย คิดว่า “มันก็ดี แต่เราก็ไม่เคยพบหน้าค่าตากับผู้อ่าน มันเป็น zero feedback มันไม่สามารถเห็นหน้าตา มีบ้างที่นักศึกษาทั้งระดับปริญญาโท ปริญญาเอกเข้ามาทักแล้วบอกว่ากำลังทำรีเสิร์ชเกี่ยวกับชายคาเรื่องสั้น แต่นานๆ ทีถึงจะมีแบบนี้เข้ามา”

          กับวัฒนธรรมการอ่านปัจจุบัน เท่าที่ธีร์สังเกตพบว่า เด็กทุกวันนี้อ่านหนังสือการเมืองเล่มหนา เขาสนใจปรากฏการณ์อ่านแบบ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หรือหนังสือที่เขาอยากแนะนำชื่อ ในแดนวิปลาส

          “ถ้าได้อ่านคุณจะเห็นหัวจิตหัวใจของนักเขียนที่พูดถึงคนที่ถูกกระทำ หรือ ชั่วโมงก่อนพิธีสวนสนาม ของ ภู กระดาษ คุณจะเห็นว่าโลกของทหารมันขนาดไหน ดิบเถื่อนได้ใจมาก เลวทรามบัดซบที่สุด

          “หน้าที่ของหนังสือต้องพาคนออกจากความมืด ออกจากความไม่รู้ ถ้าออกไปแล้วควรจะยังไงต่อก็เป็นเรื่องของเขา แต่เราทำหน้าที่ปลดปล่อยด้วยความรู้ ด้วยมุมมองที่ทำให้เบิกเนตร ถ้าทำได้ก็ควรจะทำ หนังสือไม่ได้มีหน้าที่เป็นแค่เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายผู้มีอำนาจกดขี่เราอยู่เท่านั้น”

          ตัวแทนชายคาเรื่องสั้น กล่าวทิ้งท้าย

ชายคาเรื่องสั้น ชายคาวรรณกรรมแห่งราษฎร


เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือ ‘Readtopia 2 ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศการอ่านของไทย’ (2567)

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก