ชำแหละ ‘บอ.บู๋’ คนบ้าบอลฝีปากกล้า ผู้สร้างวรรณกรรมผ่านการเป็นคอลัมนิสต์ฟุตบอล

779 views
7 mins
April 29, 2020

          ‘เด็กผีแดง ฝีปากกล้า ตัวพ่อเรื่องฟุตบอล’ คำจำกัดความข้างต้นคงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร หรือ บอ.บู๋ คอลัมนิสต์ฟุตบอลชื่อดังผู้มีเอกลักษณ์ด้วยสไตล์ที่ดิบเถื่อน ฉูดฉาด โผงผาง กล้าใช้ชุดคำชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม จนกระแทกใจเหล่าแฟนบอลให้มาตามอ่านเป็นเวลากว่า 30 ปี

          แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ข้อเขียนอันเผ็ดร้อนของ บอ.บู๋ กลับมีจุดเริ่มต้นจากการเป็นหนอนหนังสือและแฟนตัวยงของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ก่อนที่จะซึมซับ จดจำ น้อมนำลูกเล่นทางภาษาอันแพรวพราวเช่นเดียวกับไอดอลของเขา มาปรับใช้ในการเขียนคอลัมน์รายสัปดาห์ ให้กลายเป็น ‘วรรณกรรมฉบับเร่งรีบ’ ที่คนอ่านต้องได้ข้อมูล สนุก และเห็นความงดงามของการใช้ภาษา

          บทสัมภาษณ์ฉบับนี้ชวน บอ.บู๋ ย้อนความทรงจำไปวัยเด็กสมัยเป็นคนคลั่งทั้งฟุตบอล และหลงใหลในตัวหนังสือ กระทั่งผนวกทั้งสองสิ่งให้กลายเป็นอาชีพได้ อีกทั้งการทำงานในบทบาทคอลัมนิสต์ เจ้าของคอลัมน์ ทุ่งหญ้าแห่งความฝัน อันโด่งดัง ว่าเขามีวิธีการอย่างไรที่สามารถมัดใจผู้อ่านมาได้ตลอด 3 ทศวรรษ แม้จะมีการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยจากสื่อสิ่งพิมพ์สู่โลกออนไลน์ก็ตาม 

          เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชื่อของ บอ.บู๋ ยังคงได้รับการยอมรับในโลกของคนรักฟุตบอลและตัวหนังสืออยู่เสมอ

ชำแหละ ‘บอ.บู๋’ คนบ้าบอลฝีปากกล้า ผู้สร้างวรรณกรรมผ่านการเป็นคอลัมนิสต์ฟุตบอล

ความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลของคุณเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร

          เราเป็นคนบ้าฟุตบอล ตอนเป็นเด็กประถมก็ชอบเตะบอลกับเพื่อนตามประสาเด็กผู้ชายในประเทศไทย ตอนนั้นถามว่าเราเชียร์ทีมฟุตบอลไหม คำตอบคือ ไม่เลย เพราะยุคนั้นบ้านเรายังไม่มีถ่ายทอดสด

          จุดเริ่มต้นจริงๆ คือตอนที่เริ่มตามอ่าน สตาร์ซอคเก้อร์ เป็นนิตยสารรายสัปดาห์ที่เกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษ ตอนนั้นเรามีลูกพี่ลูกน้องที่ชอบฟุตบอลอังกฤษและเป็นแฟนของสตาร์ซอคเก้อร์ เขาก็มาแนะนำว่า สตาร์ซอคเก้อร์ มันมีเรื่องเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลอังกฤษนะ มีสโมสรต่างๆ เช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, แอสตัน วิลลา แล้วก็เอาหนังสือมาให้เราอ่าน หลังจากนั้นเราก็เริ่มสนใจฟุตบอลอังกฤษมากขึ้น 

          จำได้ว่าตอนจะตัดสินใจเลือกเชียร์ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นี่ตลกมาก เราเอาหนังสือมาเปิดดู ก็เห็นตราสโมสรของแต่ละทีมซึ่งเป็นสัตว์ต่างๆ แตกต่างกันไปในแต่ละทีม แต่สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นี่มันเป็นปีศาจแดง ก็รู้สึกว่ามันเจ๋งดีว่ะ มันเหนือธรรมชาติ อีกทั้งชื่อทีมก็เพราะดี เลยตัดสินใจเลือกเชียร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งที่ไม่เคยรู้จักสโมสร ไม่เคยดูพวกเขาลงแข่งเลยสักนัดเดียว เพราะเมื่อก่อนมันไม่มีถ่ายทอดสดฟุตบอล เราก็ติดตามผล ติดตามอ่านเรื่องของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากนิตยสารสตาร์ซอคเก้อร์ 

          ลีกฟุตบอลอังกฤษสมัยก่อน เขาจะแข่งแค่วันเสาร์วันเดียว ซึ่งหนังสือพิมพ์หัวทั่วไปยุคนั้นก็จะลงผลการแข่งขันบ้าง ไม่ลงบ้าง ดังนั้นเราจึงมีทางออกเดียว คือต้องรอวันจันทร์ให้นิตยสารสตาร์ซอคเก้อร์ วางแผง ถึงจะได้รู้ผลการแข่งขัน ตอนนั้นแหละที่ได้เริ่มอ่านหนังสืออย่างจริงจัง เริ่มเข้าสู่โลกของการอ่าน อ่านหลายอย่างนะ หนังสือบอล หนังสือเพลง หนังสือหนัง เพราะมีลูกพี่ลูกน้องที่โตกว่า เราก็ไปหยิบหนังสือทั้งหมดของเขามาอ่าน มันก็กลายเป็น การปลูกฝังไปโดยไม่รู้ตัว 

          พอเราอ่านสตาร์ซอคเก้อร์มากเข้า ได้รู้เรื่องราวของทีมฟุตบอลต่างๆ เรื่องราวของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เรื่องราวของนักเตะ ก็เริ่มรู้สึกติดใจ สนุกดีว่ะ ลีกฟุตบอลอาชีพเตะกันทั้งปี มีได้แชมป์ มีตกชั้น เราติดอ่านสตาร์ซอคเก้อร์ ถึงขนาดบอกกับตัวเองว่า ถ้าชีวิตนี้เรียนจบปริญญาตรีเมื่อไร จะไปทำงานกับนิตยสารสตาร์ซอคเก้อร์ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราชอบ และเป็นความใฝ่ฝันของเราจริงๆ 

          ตอนนั้นเตะบอลอยู่ด้วย เราก็ใฝ่ฝันไว้อีกว่าอยากเป็นนักฟุตบอล แต่สมัยนั้นการเป็นนักฟุตบอลมันทำเป็นอาชีพได้ยาก จะเล่นให้ดีจนถึงขนาดติดทีมชาติมันก็เพ้อฝันเกินไปสำหรับเรา ดังนั้นในเมื่อเป็นนักฟุตบอลไม่ได้ เราก็ตั้งใจว่าจะเป็นคนที่ทำนิตยสารฟุตบอลแทน ทั้งที่ตอนนั้นก็ไม่รู้ด้วยว่านิตยสารเขาทำกันอย่างไร ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องเรียนอะไร ต้องทำอย่างไรถึงจะเข้าไปทำงานในนิตยสารสตาร์ซอคเก้อร์ได้พูดได้ไหมว่าความบ้าฟุตบอล เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คุณเข้าสู่โลกของการอ่าน

          ใช่ เพราะหลังจากนั้นเราก็กลายเป็นคนชอบหนังสือ อ่านแม่งทุกอย่างเลย เพราะนอกจากลูกพี่ลูกน้องแล้ว พี่สาวแท้ๆ ของเราก็เป็นนักอ่าน เขาจะมีพ็อกเกตบุ๊กเยอะมาก พอช่วงปิดเทอมเราก็หยิบมาอ่าน เล่มไหนชอบ เล่มไหนตรงจริตกับเราก็อ่าน เป็นการปลูกฝังให้รักการอ่านโดยไม่รู้ตัว อีกอย่างคือเมื่อก่อนก็ไม่มี YouTube ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีอะไรให้ทำ ดังนั้นเวลาปิดเทอมถ้าไม่เล่นกับเพื่อนก็ต้องอ่านหนังสือ

ถ้าพูดถึงการเชียร์ฟุตบอลผ่านการอ่านนิตยสารสตาร์ซอคเก้อร์ ปกติแล้วคอฟุตบอลเขาอ่านอะไรในนั้นกันบ้าง

          อันดับแรกเลยคือ รายงานผลการแข่งขัน นี่คือสิ่งแรกที่ต้องอ่าน วันจันทร์เปิดนิตยสารมาก็ต้องลุ้นกันแล้ว ผลการแข่งขันของทีมที่เรารักเป็นยังไงบ้าง ใครเป็นคนทำประตู นาทีที่เท่าไร รูปเกมเป็นยังไง เขาก็จะเขียนบรรยายเอาไว้ในแต่ละนัด

          ต่อมาคือ คอลัมน์ของนักเขียนในเล่ม สมัยนั้น สตาร์ซอคเก้อร์จะมีนักเขียนชื่อดังอยู่ 3 คน คือ ย.โย่ง(เอกชัย นพจินดา), ยอดทอง (ยอดชาย ขันธะชวนะ) และ เตยหอม (พิศณุ นิลกลัด) ซึ่งรายหลังเราชอบมาก เป็นคนเขียนหนังสือสนุก ตลก มีสาระ ส่วน ย.โย่ง ก็จะแนวเขียนตอบคำถามให้ความรู้ เป็นคอลัมนิสต์ที่เราติดงอมแงมเลย สมัยนั้นคนอ่านต้องส่งจดหมายไปถามประมาณว่า “พี่โย่งครับ ทีมรวมดาราโลกของผมเป็นยังไง” “พี่โย่งครับ ปีนี้ลิเวอร์พูลจะซื้อนักเตะคนไหน” ซึ่งแกก็จะตอบด้วยความรู้ 

          นอกจากนี้ยังมีข่าวแปล มีสกู๊ปจากต่างประเทศ เราก็อ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง แต่ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบอ่าน เพราะมันเป็นบทความขนาดยาว เป็นการพูด การให้สัมภาษณ์ของนักฟุตบอลในประเด็นต่างๆ ซึ่งเขาก็จะแปลมาจากนิตยสารอังกฤษอีกที

          เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบอ่านความเห็นของคนไทยด้วยกันเองมากกว่า รู้สึกเป็นกันเอง มีอารมณ์ร่วม สมมติเวลานักเขียนเขาไปดูฟุตบอลที่อังกฤษ หรือไปดูฟุตบอลที่อิตาลี เขาไปเจอเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์นี้ เจออุปสรรค เข้าสนามไม่ได้ ไปชิมอาหารที่อังกฤษ พอได้อ่านมันก็รู้สึกเหมือนเราผจญภัยไปกับเขาด้วย มันเห็นบรรยากาศต่างๆ ผ่านงานเขียนของเขาจากนักอ่านกลายมาเป็นนักเขียนของนิตยสารสตาร์ซอคเก้อร์ ได้อย่างไร 

          ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ทุกคนจะรู้ว่าเราบ้าฟุตบอล อ่านแต่หนังสือฟุตบอล ดังนั้นทุกคนก็จะยกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอล เราเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด เพราะเราชอบอ่านหนังสือทุกประเภท ยกเว้นหนังสือเรียน เราไม่อ่านหนังสือเรียนเลย เพราะมันไม่สนุก อ่านแล้วไม่เข้าใจ ทำไมต้องอ่านแล้วจำเพื่อไปสอบด้วยวะ ก็เลยเป็นคนเรียนไม่เก่ง ไม่ท่องหนังสือ สุดท้ายก็โยกไปเรียนศิลปะ เข็นตัวเองจนจบมาได้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะไปทำงานด้านศิลปะเลย เพราะยังอยากเป็นคอลัมนิสต์ฟุตบอลอยู่เหมือนเดิม 

          ตอนนั้นนิตยสารสตาร์ซอคเก้อร์ มีหนังสือพิมพ์รายวันเพิ่มเข้ามา เราก็รู้สึกว่ามีช่องทางมากขึ้น แต่พอเรียนจบ ปรากฏว่าเขายังไม่เปิดรับสมัคร เราจึงยังไม่ได้ไป ก็รอจนกว่าเขาจะเปิดรับสมัคร ผ่านไปครึ่งปีก็แล้ว ยังไม่มีวี่แวว เคยคิดเหมือนกันนะว่าจะบุกไปที่กองบรรณาธิการแล้วบอกเขาว่า เราเป็นคนบ้าฟุตบอล เป็นแฟนของนิตยสาร ขอทำงานด้วยได้ไหม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเพราะคิดว่ามันสะเหล่อ (หัวเราะ)

          กระทั่งพ่อเราถามว่าจะไม่ทำงานทำการเลยเหรอ จะเอาอย่างไร เราก็บอกพ่อตรงๆ ว่าอยากทำงานที่นิตยสารสตาร์ซอคเก้อร์ โชคดีที่เขาพอจะรู้จักกับคนข้างในนั้น ก็เลยไปฝากฝังไว้ให้ จนสุดท้ายพี่ ย.โย่ง โทรมาหาเรา ก็สัมภาษณ์สั้นๆ ถามว่าชอบฟุตบอลเหรอ ภาษาอังกฤษได้ไหม ที่นี่งานหนักนะ ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์แบบงานอื่น เราก็ตอบว่าสบาย ไม่มีปัญหา เขาก็เลยนัดให้ไปหาที่ออฟฟิศในวันต่อมาเลย นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการได้ทำงานที่นิตยสารสตาร์ซอคเก้อร์

ชำแหละ ‘บอ.บู๋’ คนบ้าบอลฝีปากกล้า ผู้สร้างวรรณกรรมผ่านการเป็นคอลัมนิสต์ฟุตบอล

พอเข้าไปเป็นนักเขียนวันแรก เราทำได้ดีตามประสาคนบ้าฟุตบอลไหม

          ไม่เลย วันแรกเราเริ่มทำงานจากการแปลข่าว เขาเอาเนื้อข่าวภาษาอังกฤษล้วนๆ 4-5 พารากราฟมาให้เแปล เห็นตอนแรกตาแทบถลน คิดกับตัวเอง กูจะเขียนยังไงวะเนี่ย ก็ค่อยๆ แปลไปทีละคำ เขียนส่งไป 10 รอบ ไม่ผ่านสักรอบ เพราะเราเขียนไม่รู้เรื่อง เขาก็ค่อยๆ สอน เริ่มจากหลักการเขียนง่ายๆ ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เริ่มกันแบบนี้เลย ทำอย่างนั้นอยู่เป็นปี ถึงค่อยๆ ไต่เต้าตามลำดับ

          เหมือนชีวิตนักฟุตบอล ต้องฝึกส่งลูก รับลูก เดาะบอลให้เป็นก่อน แล้วค่อยเริ่มฝึกยิงประตู ยิงฟรีคิก แล้วถึงจะเป็นกองหน้าของทีมได้

          โชคดีอยู่อย่างที่อ่านหนังสือมาเยอะ เลยทำให้เป็นคนที่ร้อยเรียงภาษาได้โดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ภาษาอังกฤษเราไม่ได้เลย ก็พยายามปรับปรุงพัฒนามาเรื่อยๆ จนได้แปลบทสัมภาษณ์ แปลสกู๊ปข่าว ก่อนจะเขียนวิจารณ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ได้วิเคราะห์เกมฟุตบอลในเวลาต่อมา นั่นคือกระบวนการก่อนที่คุณจะได้เป็นคอลัมนิสต์ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เขียนคอลัมน์ของตัวเองจริงๆ สักที 

          จนวันหนึ่ง รุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นคอลัมนิสต์อยู่เขาติดธุระ ก็เลยให้เราเขียนแทน ก็เลยมีโอกาสได้ใช้นามปากกา บอ.บู๋ เป็นวันแรก วันต่อมามีความเห็นจากคนอ่านกลับมาแล้ว ทั้งด่าและชม เพราะเวลาเขียนคอลัมน์ เราเขียนไม่เหมือนชาวบ้าน เป็นคอลัมน์แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นบนนิตยสารเล่มนี้มาก่อน เพราะศัพท์ที่เขาไม่เคยใช้ เราก็ใช้หมด เรื่องที่เขาไม่เล่า เราก็เล่า สมมติคนอื่นเขียนเรื่องฟุตบอล เราจะเขียนเรื่องฟุตบอลแล้วก็แทรกเรื่องส่วนตัวลงไปอีก เพราะเราอยากให้มันเหมือนคนคุยกัน เหมือนเพื่อนคุยกัน

          อีกอย่างเลยคือ ก่อนหน้านี้คอลัมนิสต์เขาไม่ค่อยกล้าแซวแฟนฟุตบอลทีมอื่น แต่เรากล้าแซว กล้าแดกดัน กล้ากวนส้นตีน เวลาเขาแพ้เราก็จะไปเย้ยหยัน ซึ่งก่อนหน้านี้ในหนังสือพิมพ์ ในนิตยสารจะเป็นการเขียนให้สาระข้อมูล เป็นทางการมากกว่า แต่เราเล่าในอีกแบบหนึ่งด้วยภาษาที่ใช้มันดูดุดัน ดูฮาร์ดคอร์มากขึ้น

การเป็นคอลัมนิสต์ต้องรู้เรื่องฟุตบอลมากแค่ไหน

          สมัยก่อนคุณต้องมีข้อมูลเก็บไว้เป็นคลัง เพราะมันไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีอะไรให้ค้นหา มันอยู่ในความจำ ดังนั้นเวลาอ่านข้อมูล ดูการแข่งขันก็ต้องจำ นัดนี้ใครชนะ นัดนี้ใครยิง นัดนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เราจำก็เอามาเล่าได้ มันเป็นแบบนี้สำหรับคอลัมนิสต์สมัยนั้น เป็นคนที่ไปเห็น ไปดู ไปอ่าน แล้วก็เอามาเล่าให้ฟัง อย่าง ย.โย่ง ได้ชื่อว่าเป็นคัมภีร์ฟุตบอล แกก็ได้มาจากความจำเหมือนกัน เพราะมันไม่มีห้องสมุดกลาง อาจจะมีหนังสือที่กองเป็นตั้งๆ หากจะเอาชัวร์ๆ ก็ต้องเปิดหาข้อมูล อย่างเราเองเคยเขียนผลการแข่งขันแค่ 2 ประโยค แต่ต้องนั่งหาข้อมูลเป็นชั่วโมงเลยก็มี

          ถามว่าจำเป็นต้องดูฟุตบอลเยอะไหม เราว่าจำเป็นต้องดูให้ละเอียดมากกว่า เพราะเวลาเขียนคอลัมน์ฟุตบอล เราไม่ได้เขียนรายงานข่าวฟุตบอล การเขียนรายงานข่าวก็คือเขียนสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เห็น แต่เขียนคอลัมน์ต้องดูให้ละเอียด แล้วค่อยมาวิเคราะห์

          มันไม่ใช่การเขียนเพื่อบรรยายว่า นาทีที่ 25 ใครหลุดเดี่ยว เลี้ยงหลบผู้รักษาประตูแล้วยิงเข้าไป แต่เราต้องอธิบายให้ได้ด้วย เขาวางแผนอย่างไร ใช้กลยุทธ์แบบไหน เพราะอะไรจึงพลิกกลับมาชนะได้ เพราะเป็นแผนตั้งรับลึก ปิดพื้นที่การเข้ารุกของคู่แข่ง อาศัยการโยนบอลยาว ให้กองหน้าที่มีความเร็วเข้าทำประตู แบบนี้คือการวิเคราะห์ เพื่อบอกว่ารูปเกมเป็นแบบนี้ ผลการแข่งขันจึงเป็นอย่างนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูให้ละเอียด

แต่สิ่งที่ทำให้คนอ่านติดตามงานเขียนของคอลัมนิสต์ ก็ยังคงอยู่ที่ข้อคิดเห็นของคนเขียนมากกว่าข้อมูลใช่ไหม

          ใช่ อย่างเรานี่ชัดเจนเลยว่าใช้ภาษากวนตีน ใช้คำศัพท์ที่มันแตกต่างจากที่เคยมี อีกอย่างเราใช้วาทศิลป์ที่ได้แรงบันดาลใจจากนักเขียนที่เราชื่นชอบ เราชอบ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ มาก สมัยที่เราอ่านหนังสือของพี่สาว หนังสือเล่มหนึ่งที่ไปหยิบมาและก็ไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร ก็คือ มาเฟียก้นซอย อ่านเสร็จรอบหนึ่งพูดตรงๆ ว่า อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่รู้สึกว่ากวนตีนฉิบหาย ภาษาไม่เหมือนกับหนังสือที่เคยอ่านมาเลยในชีวิต ทำไมมันแพรวพราว มันสวิงสวาย ลูกเล่นเยอะมาก ดูเก๋าแต่ก็ยังแน่นไปด้วยข้อมูล เราก็ตามซื้อเก็บซื้ออ่าน 

          พอถึงวันหนึ่ง ตัวเองได้เป็นคอลัมนิสต์ ก่อนจะเขียนเราก็คิดนะว่าตัวเองชอบอ่านอะไร ก็จะเขียนแบบนั้นให้คนอ่านเหมือนกัน ก็เลยยึดวิธีคิดวิธีเขียนของ อา ’รงค์ มาใช้ จุดเด่นของ อา ’รงค์ คือภาษาที่เต็มไปด้วยจินตนาการ สมมติเขาเจอผู้หญิงสวยคนหนึ่ง อา ’รงค์ เขาจะไม่บอกว่าผู้หญิงคนนี้สวย แต่เขาจะบรรยายว่า ‘ผู้หญิงคนนี้เดินมา ต้นหญ้าโค้งคำนับให้’ อะไรแบบนี้ ดังนั้นเวลาเราเขียนบรรยายการแข่งขันฟุตบอล เวลาเจอลูกยิงประตูสวยๆ ก็จะไม่เขียนว่าสวยตรงๆ ก็จะเขียนว่า การยิงครั้งนี้เหมือนตาข่ายถูกกระทืบ ลูกฟุตบอลแทบพังคาเท้าของนักฟุตบอลแข้งเหล็กคนนี้

ชำแหละ ‘บอ.บู๋’ คนบ้าบอลฝีปากกล้า ผู้สร้างวรรณกรรมผ่านการเป็นคอลัมนิสต์ฟุตบอล

ภาษาอันฉูดฉาด การเลือกใช้คำกระแทกใจในแบบของคุณ คนอ่านนิตยสารกีฬาเขาเข้าถึงกันไหม

          ถ้าไม่มีใครเข้าใจเลย บอ.บู๋ ก็คงไม่อยู่ถึงทุกวันนี้หรอก (หัวเราะ) อย่างคอลัมน์ ทุ่งหญ้าแห่งความฝัน แต่กระแสด้านลบ คนที่ไม่ชอบก็มี เขาก็บอกว่ามันหยาบคายเกินไป เพราะว่าเมื่อก่อนไม่มีนักเขียนคนไหนใช้คำว่าดาก ใช้คำว่าตูด ใช้คำว่ากู ใช้คำว่านรก เขียนลงหนังสือกัน บางคำที่ใช้มันก็มาจากความห้าวหาญแบบไม่ทันยั้งคิดตอนวัยรุ่น ตอนหลังๆ ก็ต้องลด ต้องปรับอยู่ตลอด

หากพูดถึงงานเขียนของคุณ องค์ประกอบสำคัญต้องมีอะไรบ้าง

          เราอ่านเองแล้วต้องพอใจก่อน เวลาเขียนเราจะมองตัวเองเป็นคนอ่าน ถ้ายังไม่พอใจ รู้สึกว่าเขียนแล้วเหมือนเผางาน แค่เขียนให้เสร็จๆ เราจะไม่ทำด้วยความที่เป็นคนโรคจิตประมาณหนึ่ง ซึ่งจริงๆ เป็นคนไม่ชอบเขียนหนังสือเลย แต่ถ้าจะเขียนแล้วต้องทำให้เต็มที่ ต้องเขียนให้สุดฝีมือ เพราะงานเขียนหนังสือมันใช้สมองเยอะ ใช้มือ เขียนแต่ละครั้งกินเวลา 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าจะเริ่มเขียนแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ทำให้คอลัมน์กีฬาของเรากลายเป็นแบบวรรณกรรมเร่งรีบ ที่มีกำหนดการตีพิมพ์ที่ชัดเจน

          ส่วนเนื้อหานั้นเรามีกฎอยู่ข้อหนึ่งคือ ต้องเอาสาระข้อมูลกับความบันเทิงมาผสมกันให้ได้ ไม่ต้องแบ่งกันคนละครึ่ง อาจจะ 70/30 ก็ได้ แล้วแต่เรื่องราว แล้วแต่จังหวะ จะให้เขียนเอาสนุกอย่างเดียว บทความเราก็ไม่มีประโยชน์อะไร เอาข้อมูลอย่างเดียวคนอ่านก็คงเครียดตายห่า ดังนั้นมันเลยต้องบาลานซ์กัน

          สุดท้ายเป็นส่วนที่เราพยายามปรับอยู่ตลอดคือ การวิจารณ์ทีมอื่น ในช่วงแรกเรารู้สึกว่าตัวเองเขียนมันมือเกินไป อาจเพราะเราสื่อสารทางเดียว เวลาเขียนอะไรไป เต็มที่ก็จะมีแค่จดหมายมาด่าอยู่ 2-3 ฉบับ อีก 10 ฉบับก็มาชม จนกระทั่งการเข้ามาของอินเทอร์เน็ต กลายเป็นว่าชื่อเราไปโผล่เป็นดราม่าในเว็บไซต์พันทิปบ่อย มันเลยเห็นถึงความเปราะบาง ความเซนสิทีฟของผู้คนและสังคม ก็ต้องเพลาเรื่องนี้ลงมาบ้าง พอมายุคดิจิทัล ยุคโซเชียลมีเดีย คือชัดเจนเลย เขียนอะไรไป คนเข้ามาด่าได้ทันที ดังนั้นมันก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น จากที่เคยไปล้อเลียนเขา ไปกวนตีนเขาก็ต้องอยู่ในกรอบ ไม่ล้ำเส้นมากเกินไป เอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น พวกประโยคประมาณว่า ‘เล่นได้แค่นี้ก็ไปลาหมาบวชเถอะ’ อะไรแบบนี้ก็จะไม่เขียนแล้ว 

มองเรื่องการวิจารณ์ การถากถาง ทับถมทีมฟุตบอลฝั่งตรงข้าม ในกลุ่มคนดูบอลชาวไทยอย่างไรบ้าง 

          เรามองว่าคนไทยเก่งและชอบที่จะแซะกัน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครยอมรับเรื่องการถูกแซะได้เลยสักคน คือคนไทยชอบแสดงความเห็น มากกว่าชอบฟังชอบอ่านความคิดเห็นคนอื่น อีกอย่างคือส่วนใหญ่ค่อนข้างจะมีเส้นความอดทนน้อย อะไรสะกิดใจนิดหน่อย ก็จะก่อไฟให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต 

          ยกตัวอย่าง ข่าวเกี่ยวกับการแตกหักของ คริสเตียโน โรนัลโด กับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เราก็เขียนอธิบายด้วยเหตุและผล ว่าทำไมโรนัลโดทำไม่ถูก แล้วก็ลงท้ายว่ารู้สึกผิดหวังในตัวเขา แต่คนที่คลั่งในตัวโรนัลโดเขาไม่อ่าน ไม่สนใจเหตุผล เขาบอกว่าเราด่าโรนัลโด แล้วเขาก็ด่าเรา คือมันเป็นแบบนั้นเลย อย่างน้อยเถียงกันด้วยเหตุผลก็ยังพอรับได้ แต่นี่คือแทบจะไม่ได้ฟังกันเลยด้วยซ้ำ

การเข้ามาของโซเชียลมีเดีย ทำให้คอลัมนิสต์นิตยสารกีฬาอย่างคุณต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง 

          ต้องบอกว่าเราโชคดีอย่างหนึ่งคือ ยุคเปลี่ยนผ่านจากสื่อสิ่งพิมพ์กระดาษ มาเป็นโซเชียลมีเดียและโลกออนไลน์ เราได้เปิดแฟนเพจ Facebook เอาไว้ก่อน ซึ่งจริงๆ ก็เป็นการทำเล่นๆ เพื่อเอาไว้โปรโมตงานเขียนในนิตยสาร ไม่ได้จริงจังอะไร โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกวันนี้มันจะสำคัญกับชีวิตขนาดนี้

          โชคอีกอย่างคือ การที่เราเป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์มาก่อน พอกระโดดไปอยู่อีกแพลตฟอร์มหนึ่ง เรายังมีต้นทุน ยังมีคนรู้จัก มีคนเชื่อในงานของเรา เราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ มันเลยอาจไม่ยากเท่าคนที่กำลังเริ่ม หรือนักเขียนคนอื่นๆ ที่ต้องมาลุยโลกออนไลน์ด้วยมือเปล่า 

          แต่ถ้าถามว่าวิธีการทำงานต้องปรับไหม บอกเลยว่ามากและไม่ได้รู้สึกว่าต้นทุนที่มีมันทำให้ง่ายเลย จากที่เป็นคนเขียนคอลัมน์ยาวๆ ก็ต้องปรับให้มันสั้นลง เพราะทุกวันนี้ไม่มีใครเขาอยากอ่านอะไรยาวๆ ในโทรศัพท์กันแล้ว อะไรที่สั้นๆ เป็นคำคม กลับมียอดไลก์ ยอดแชร์มหาศาลเสียอย่างนั้น แต่พอเป็นความรู้เน้นๆ ยาว 3-4 หน้ากระดาษ กลับแทบไม่มีใครกดไลก์เลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของคนอ่านว่าเขาก็คงต้องการอะไรที่มันสั้นๆ ง่ายๆ ไม่ชอบอะไรที่เป็นสาระความรู้ยาวๆ

ชำแหละ ‘บอ.บู๋’ คนบ้าบอลฝีปากกล้า ผู้สร้างวรรณกรรมผ่านการเป็นคอลัมนิสต์ฟุตบอล

เพจกีฬาฟุตบอลเกิดขึ้นมามากมาย แต่น่าสนใจไม่น้อยว่าทำไมส่วนใหญ่มักมีข่าวลวง ข่าวปลอม ข่าวที่ให้ข้อมูลผิดๆ อยู่เต็มไปหมด

          เพราะโลกออนไลน์มันอนุญาตให้ใครก็ได้เป็นนักข่าว อนุญาตให้ใครก็ได้เป็นคอลัมนิสต์ โดยที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการฝึกเขียนใดๆ ขนาดเราเองยังต้องใช้เวลาหลายปี กว่าจะได้เขียนคอลัมน์ ต้องผ่านการเขียนข่าว เขียนวิจารณ์ เขียนเรื่องแปล เขียนสกู๊ป แต่ทุกวันนี้ใครก็ไม่รู้ มีความรู้บ้าง ไม่มีความรู้บ้าง เขียนผิดๆ ถูกๆ ก็สามารถเขียนเนื้อหาฟุตบอลได้ เราไม่ได้มองเป็นปัญหาขนาดนั้น เพราะสุดท้ายคนอ่านจะเห็นเอง ใครเขียนข่าวปลอม เน้นยอดไลก์ คนอ่านก็จะเห็นเอง และสุดท้ายเขาก็จะคัดกรองไม่ตามเพจแบบนั้นอีกต่อไป 

          แต่มันก็น่าเซ็งอยู่ดี เวลาเขียนเหมือนคอลัมน์หนังสือพิมพ์ ไปเอาสถิติ ไปเอาข้อมูลที่ถูกต้องมา กลับไม่มีคนอ่าน แต่เวลามีเพจไปเอารูปนักฟุตบอลมาแปะคำคมเท่ๆ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นักฟุตบอลในรูปเคยพูดหรือไม่ มาโพสต์ลงแล้วได้ยอดไลก์เป็นหมื่น บอกตรงๆ เห็นแล้วโคตรท้อเลย ยุคใหม่มันเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอวะ 

คนอ่านในยุคโซเชียลมีเดียแตกต่างจากคนอ่านยุคสิ่งพิมพ์อย่างไรบ้าง

          สำหรับเรา คนในโลกโซเชียลมีเดียเชื่ออะไรง่ายเกินไป ไม่ค่อยกลั่นกรอง ชอบแสดงความเห็น และไม่ชอบฟัง ยกตัวอย่างง่ายๆ ข่าวเรื่องคีย์บอร์ดระเบิดที่เคยเกิดขึ้นในปี 65 ถ้าไตร่ตรองสักนิด เราจะรู้ทันทีเลยว่า ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คีย์บอร์ดที่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นจะระเบิดได้ ซึ่งสุดท้ายมันก็ใช่จริงๆ 

สุดท้ายมองว่าตลอดระยะเวลาที่เป็นคอลัมนิสต์ คุณได้ส่งมอบอะไรให้กับคนที่ติดตามอ่านบ้าง

          สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความบันเทิง เพราะฟุตบอลเราดูกันก็เพื่อสันทนาการ ดูเพื่อความเพลิดเพลิน อย่างตอนที่เราเริ่มบ้าฟุตบอล เราก็ดูเพื่อความสนุก แล้วหลังจากนั้นมันก็แล้วแต่คน จะได้ข้อคิด ได้ความรู้ ได้วิธีเอามาปรับใช้ในชีวิต มันก็แตกต่างกันไป แล้วแต่ว่าข้อเขียนของเราจะไปจุดประกายอะไรในตัวเขาได้บ้าง

ชำแหละ ‘บอ.บู๋’ คนบ้าบอลฝีปากกล้า ผู้สร้างวรรณกรรมผ่านการเป็นคอลัมนิสต์ฟุตบอล


เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือ ‘Readtopia 2 ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศการอ่านของไทย’ (2567)

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก