จิระ อุ่นเรืองศรี เจ้าของ ร้านหนังสือ Books Therapy เคยกล่าวไว้ในรายการวิทยุ คิดระหว่างบรรทัด ว่า “การเปิดร้านหนังสืออิสระคงไม่มีสูตรสำเร็จ เป็นเรื่องเฉพาะตัว ทั้งจังหวะและโอกาส แต่ถ้าพูดแบบหล่อๆ ก็คือ อย่าทิ้งความฝัน ส่วนผมถือว่าโชคดีที่มีสายลมร้อนมาช่วยส่งนกตัวหนึ่งให้ได้บินพอดี”
จากข้อความข้างต้น จิระกล่าวราวว่ามันเป็นเรื่องของโชคช่วย แต่ผู้เขียนกลับเห็นแย้งอยู่ในใจ หลังจากจบบทสนทนากับเจ้าของร้านหนังสืออิสระคนนี้ ผู้เขียนมองเห็นอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ทำให้ร้านหนังสืออันโดดเดี่ยวในจังหวัดนครศรีธรรมราช สามารถเดินทางมาได้ไกล เป็นระยะเวลาถึง 7 ปี
“ไม่ทราบเหมือนกัน คือร้านผมจะขายเต็มราคาด้วยนะ ไม่ได้ขายเกินราคาปก แต่ไม่ลดราคา ยกเว้นหนังสือที่ร่วมกับสำนักพิมพ์พรีออร์เดอร์”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงแข็งขันทันทีที่คำถามว่าด้วยเรื่อง ‘จุดแข็งอะไรทำให้ Books Therapy ยืนระยะมาได้นานขนาดนี้’ จบลง ก่อนจะขยายความเห็นที่ได้รับมาจากกลุ่มลูกค้า
“แต่คนเขาก็บอกนะว่าซื้อกับคุณจิระ ก็คือซื้อกับคนที่รักหนังสือ ไม่ได้เป็นพ่อค้า แล้วเราค่อนข้างจะรู้ข้อมูลหนังสือ เราอ่านจริง เรารีวิว เราก็รีวิวเชิงลึกแบบวิจารณ์เลย รีวิวสไตล์อาจารย์ชูศักดิ์ (รศ.ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์) บางคนผมมองว่า เขาไม่ได้สามารถไปใช้เวลาเพื่อเลือกหนังสือมากได้ เหมือนเราทำหน้าที่คัดสรรหนังสือให้เขา เขาน่าจะทำงานเกี่ยวกับโรงพยาบาลนะที่ผมเห็น หรือบางคนก็ทักว่า พี่จิระเล่มนี้พรีออร์เดอร์ไหม เราก็บอกไม่ พอผ่านไป 3 เดือน เขาก็ยังไม่พรีฯ ปรากฏว่าเขารอเรา ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”
จิระเลือกใช้วิธีขายหนังสือออนไลน์ ผ่านเฟซบุ๊กเพียงช่องทางเดียว นั่นอาจเป็นเหตุที่ว่า ทำไมเขาจึงรู้ว่าลูกค้าของ Books Therapy คือใคร
“แล้วก็นำเสนอหนังสือไป จะเน้นไปที่การทักแชต ลูกค้าเนี่ยเป็นลูกค้าที่ซื้อกันมานาน คือถ้าเป็นลูกค้าที่ไม่คุ้นเคยการทักแชตจะทำให้เขารำคาญ เขาอาจจะปฏิเสธแล้วก็มันเป็นเรื่องเป็นราวได้ แต่ลูกค้าที่เราทักแชต เขาเอาหมดอะ คือตอนนี้เรารู้สึกว่า เราไม่ได้ขายหนังสือแล้วแหละ มันเหมือนกับว่าเราจัดสรรหนังสือให้เขา พอมันผ่านการแนะนำของเรา เขาค่อนข้างจะเชื่อใจว่า มันเป็นหนังสือดี แล้วมันก็ถูกใจเขา แล้วเขาก็ขอบคุณที่เราแนะนำหนังสือให้
“หนังสือที่เรามีอยู่เนี่ย มันเป็นหนังสือที่เราถนัดอยู่แล้ว ร้านผมจะเน้นหนังสือวรรณกรรมแปล การเมือง ปรัชญา และนิยาย แต่ว่าเน้นนิยายแปลถึงจะถนัด เพราะว่าเราเป็นนักอ่านด้วย”
การได้เวียนวนอยู่กับหนังสือ ทำให้จิระไม่ได้เป็นแค่พ่อค้านักคัดสรร ทว่าเขายังเป็นนักอ่านตัวยง โดยเฉพาะผลงานของ ‘มิลาน คุนเดอรา’ เขาเล่าให้ฟังว่าตอนที่อ่าน ‘ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต’ ตอนนั้นแม้ยังไม่รู้จักเลยว่า คุนเดอราคือใคร แต่เป็นหนังสือที่ทำให้เขาเหมือนคนต้องมนต์ ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ล้ำสมัย การเล่าเรื่องเป็นขยักเหมือนการเล่นดนตรี เหมือนว่ามีโน้ตเพลงอยู่นิยาย จิระให้เหตุผลว่าอาจเพราะคุนเดอราเองก็เป็นนักดนตรี
ว่ากันว่า ‘นักเขียน’ ล้วนแล้วแต่เคยเป็น ‘นักอ่าน’ มาก่อน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จิระแทบจะใช้ชีวิตโดยมีหนังสือเป็นอวัยวะที่ 33 ทำให้เขานึกอยากจะจรดปลายปากกาลงบนหน้ากระดาษ
“กำลังเขียนเรื่องทะเลใต้ มันขยายอยู่เรื่อยๆ เลย เราอยู่ภาคใต้ใช่ไหมครับ แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นคนใต้เลย เราไม่ได้พูดใต้ เราไม่ได้มีสำนึกแบบที่คนนครฯ มี แต่เรารู้สึกว่า ชุมชนของเรามันเป็นอีกแบบหนึ่ง มันจะเป็นชุมชนที่มีคนจีน มีคนมุสลิม มีวัฒนธรรมอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเรารู้สึกว่าวัฒนธรรมที่เราดำรงอยู่เนี่ย มันยังไม่ได้ผ่านการนำเสนอ นครฯ มันมีมากกว่านั้น มันไม่ได้มีการนำเสนอผ่านวรรณกรรม มันเหมือนอีกประเทศประเทศหนึ่ง ในชุมชนเล็กๆ มีโรงหนังอยู่สิบโรง มีการดูหนังที่เข้มแข็ง ตอนนี้ก็ยังมีซากอยู่
“เราจะรื้อบ่อยมากเลย ไม่รู้จะเอาน้ำเสียงแบบไหนดี ไม่รู้ว่าจะเอา point of view แบบไหน เราจะเปลี่ยนเรื่อยๆ เลย แล้วเราไม่นิ่งด้วย มันก็จะมีแกนของมันอยู่แหละ ในแง่ของหนังสือเราจะเขียนให้มันจบๆ ไปก็ได้ แต่เรารู้สึกว่าถ้าเขียนอย่างนั้นมันไม่ค่อยมันอะ เราอยากเขียนแบบเดิมพัน ก็คือมันมีความใหม่อยู่ด้วย ไม่ได้เอาใจใคร แล้วก็ค่อนข้างจะแหวกๆ คือเป็นคนชอบความแปลกสักนิดหนึ่ง แต่อย่าไปคาดหวัง คือตอนนี้เรารู้สึกว่าเราก็ใช้เวลามานานแล้ว ก็ยังไม่ทิ้งแต่ก็ยังไม่สำเร็จในวันนี้หรอก คือตอนนี้ก็ทำร้าน เอาตัวรอดไปก่อนครับ”
จิระใช้ทักษะทางด้านการอ่านและการเขียนสอดประสานกันได้อย่างลงตัว ออกมาเป็นการรีวิวหนังสือที่วางจำหน่าย ทักษะการสังเกตและวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า รวมถึงความใส่ใจในการคัดสรรหนังสือเพื่อส่งถึงมือคนอ่าน เหล่านี้อาจเป็นคำตอบที่สอดคล้องกับนิยามหน้าเฟซบุ๊กของ Books Therapy ว่าเพราะอะไร ร้านหนังสืออิสระออนไลน์ชื่อนี้จึงเป็น ‘ร้านหนังสืออิสระแห่งเดียวในจังหวัดนครศรีธรรมราช’