‘BIZ-LIFE CRISIS’ พลิกวิกฤตเป็นวิบัติ

8 views
4 mins
May 21, 2020

          บุคลิกประการหนึ่งของหนังสือแนวแนะนำการเป็นผู้ประกอบการ คือการขีดเขียนแนวทางปฏิบัติในการประสบความสำเร็จทางธุรกิจขึ้นมาจำนวนหนึ่ง (ซึ่งหนังสือหลายเล่มก็พูดสวนทางกัน) จากนั้นจึงยกตัวอย่างความสำเร็จและความล้มเหลวขึ้นมาประกอบเพื่อยืนยันว่าหลักการของผู้เขียนนั้นเป็นจริง

          ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจซบเซา ความฝันของผู้คนอาจห่อเหี่ยวลงไปบ้าง แต่การเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จยังคงเป็นหนึ่งในความฝันของคนรุ่นใหม่ ยังมีสตาร์ทอัปถูกก่อตั้งขึ้นด้วยความหวังว่าจะเป็นยูนิคอร์นตัวต่อไป

          ดังที่ผมกล่าวถึงหลายต่อหลายครั้ง บนหนทางสู่ความสำเร็จนั้น จำนวนผู้ร่วงหล่นมีมากมายกว่าผู้ผลิบานเสมอ เพียงแต่มนุษย์ชอบรับฟังความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว ซึ่งสิ่งนี้อาจเป็นหลุมพรางอันตรายที่สุดที่แอบซ่อนอยู่

          ส่วนตัวผมไม่มีความใฝ่ฝันด้านธุรกิจ แต่ใช่ว่ามันเป็นโลกที่ควรเพิกเฉย ตรงกันข้ามมีหลายสิ่งอย่างให้เรียนรู้และทำความเข้าใจพลวัตของโลกผ่านธุรกิจ แล้วถ้าต้องอ่านเรื่องราวที่ประสบความสำเร็จกับเรื่องราวความล้มเหลว ผมก็มักเลือกอย่างหลัง หนังสือ ‘BIZ-LIFE CRISIS’ หรือ ‘ธุรกิจวิกฤตเอง’ ก็เลยต้องตรงกับจริต คำนำของหนังสือยังตั้งข้อสังเกตชวนให้ใคร่ครวญต่อว่า เอาเข้าจริงแล้ว เวลาใดของธุรกิจคือห้วงยามที่ยากที่สุด การเริ่มต้น? การยืนระยะ? หรือมันคือตอนที่ธุรกิจกำลังเผชิญวิกฤต

          ผู้เขียน โสภณ ศุภมั่งมี ใช้การเล่าเรื่องผ่านกรณีศึกษาบริษัทแต่ละแห่งว่าเผชิญวิกฤตลักษณะใด พยายามแก้ไข (หรือไม่แก้ไข) อย่างไร และมีจุดจบอย่างไร หลายบริษัทเป็นบริษัทใหญ่ระดับโลกที่มักได้ยินชื่อผ่านหูผ่านตา บางบริษัทก็โด่งดังเฉพาะเรื่อง เฉพาะพื้นที่

          ส่วนตัวผมแบ่งวิกฤตทางธุรกิจเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือวิกฤตจากภายนอกและวิกฤตจากภายใน ซึ่งบางทีก็ยากจะตีเส้นแบ่งให้ชัดว่านอกและในอยู่ตรงไหน เพราะส่วนตัวเมื่ออ่านแล้วกลับรู้สึกว่าวิกฤตทั้งสองรูปแบบทับซ้อนกันแล้วมุ่งตรงไปยังการบริหารจัดการหรือตัวผู้บริหารธุรกิจนั่นเอง

          ‘BIZ-LIFE CRISIS’ ทำให้ผมแบ่งจุดเริ่มต้นของวิกฤตเป็น 3 เรื่องประกอบด้วย ความโลภ ความทะเยอทะยานที่มากและเร็วเกินไป และสุดท้าย ความเฉยเมยดูดายต่อความเปลี่ยนแปลง และในหนึ่งธุรกิจก็อาจมีปะปนกันไปทั้งสามส่วน

          ตัวอย่างที่ชัดของความโลภและความทะเยอทะยานอันเกินพอดี พบได้ตั้งแต่ตอนแรกของ ‘BIZ-LIFE CRISIS’ เมื่อผู้เขียนเล่าถึงสตาร์ทอัปของ เอลิซาเบธ โฮล์มส์ (Elizabeth Holmes) ผู้ก่อตั้งเทรานอส (Theranos) หลายคนอาจรู้จักชื่อนี้จากหนังสือ ‘Bad Blood: Secrets and Lies in a Silicon Valley Startup’ หรือ ‘เลือดชั่ว: เรื่องลับและคำลวงเบื้องหลังบริษัทดาวรุ่งแห่งซิลิคอนแวลลีย์’ แม้ไอเดียของโฮล์มส์จะน่าตื่นตาตื่นใจ แต่เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ ประเด็นคือดูเหมือนโฮล์มส์จะแยกระหว่างความจริงกับจินตนาการไม่ออก

          ยิ่งเมื่อเธอถูกสาดส่องจากสื่ออย่าง Fortune และ Forbes ได้พื้นที่จากเวทีชื่อดังอย่าง TED Talk ถูกยกให้เป็น สตีฟ จ็อบส์ หญิงคนต่อไป (โลกธุรกิจยังถูกครอบงำโดยผู้ชาย) ซึ่งเป็นบุคคลที่เธอพยายามลอกเลียนแบบ และเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ครอบครองสินทรัพย์ 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ผมเชื่อว่าทั้งหมดนี้กดดันให้โฮล์มส์เป็นคนอื่นไม่ได้ นอกจากเอลิซาเบธ โฮล์มส์ ผู้ก่อตั้งเทรานอส ยูนิคอร์นตัวต่อไป กระทั่งเรื่องราวลวงโลกทั้งหมดถูกเปิดโปงนั่นแหละ นักลงทุนจึงรู้ว่าเจ็บตัว ส่วนโฮล์มส์ถูกตัดสินให้จำคุก 11 ปี

          หรือ เลห์แมน บราเธอร์ส (Lehman Brothers) ส่วนหนึ่งแห่งวิกฤตและความล่มสลายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2008 ตัวอย่างคลาสสิกของความโลภโมโทสันที่ไร้การควบคุม ริชาร์ด เอส. ฟุลด์ จูเนียร์ (Richard S. Fuld Jr.) ผู้เป็นซีอีโอในช่วงเวลานั้น ทำกำไรจากสินเชื่อซับไพรม์ได้มากมาย ปี 2007 เลห์แมน บราเธอร์สทำรายได้สูงถึง 19,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีกำไรถึง 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ “ถือเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์บริษัทเลยทีเดียว”

‘BIZ-LIFE CRISIS’ พลิกวิกฤตเป็นวิบัติ

          อีกเช่นกันนิตยสาร Fortunes ได้ยกย่องให้ เลห์แมน บราเธอร์ส เป็นองค์กรที่มีความมั่นคงสูงสุดในปี 2007 เงินและเกียรติกระพือให้ฟัลด์ทำสิ่งที่เสี่ยงมากขึ้นด้วยการขายตราสารหนี้ที่มีหนี้เป็นหลักประกันที่เรียกว่า Collateralized Debt Obligation (CDO) หรือตราสารหนี้ที่เอาสารพัดหนี้มากองรวมกันแล้วขายให้นักลงทุน ซึ่งทำให้เกิดการปล่อยสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มมากขึ้น จนเป็นตัวเร่งไปสู่หายนะในท้ายที่สุด

          ส่วนธุรกิจประเภทที่เฉยเมยดูดายต่อความเปลี่ยนแปลงที่ ‘BIZ-LIFE CRISIS’ นำเสนอก็เช่น Blockbuster ร้านให้เช่าวิดีโอสีน้ำเงิน-เหลืองที่เคยเปิดในไทยอยู่ช่วงหนึ่งสั้นๆ ก่อนจะหายไป เป็นที่รู้กันว่ายุคที่วิดีโอเทปเป็นสื่อบันเทิงหลัก Blockbuster ก็คือมหาอำนาจแห่งโลกบันเทิงที่ขาดไม่ได้ มันเปิดตัวกลางปี 1985 พอถึงต้นศตวรรษที่ 90 Blockbuster ก็กลายเป็นบริษัทให้เช่าวิดีโออันดับ 1 ของโลกไปแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการที่รวดเร็วราวติดปีก

          ทว่า Blockbuster ก็เติบโตในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นกัน จากตลับวิดีโอเทอะทะเล็กลงเหลือแค่แผ่น VCD ก่อนจะเปลี่ยนเป็น DVD ที่มีความคมชัดสูงขึ้น ตามมาด้วยแผ่นบลูเรย์ จวบจนเมื่อเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตพัฒนาเข้าที่ สื่อบันเทิงก็หลบเข้าไปอยู่ในโลกเสมือน จับต้องไม่ได้ แต่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ขอแค่มีโทรศัพท์มือถือ เห็นได้ชัดว่าจากวิดีโอสู่สตรีมมิงใช้เวลาไม่นานเลย

          ถามว่า Blockbuster มองเห็นความเปลี่ยนแปลงข้างต้นหรือไม่? คำตอบคือเห็น แต่การเห็นแล้วตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ เป็นกระบวนการ ก็เป็นคนละเรื่องกัน การมาถึงของ DVD หรือกระแสอินเทอร์เน็ต ผู้บริหารของ Blockbuster เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่กลับนิ่งเฉยหรือลงมือกับความเปลี่ยนแปลงแบบไม่จริงจัง

          โสภณเล่าว่ามีโอกาสลอยเข้ามาหาแอนทิโอโค ผู้บริหาร Blockbuster หลายครั้ง เช่นดีลกับวอร์เนอร์ บราเธอร์สเปิดร้านเช่าดีวีดี แต่ Blockbuster ก็ปฏิเสธเพราะเชื่อว่ายังมีคนเช่าวิดีโออยู่ หรือเรื่องเล่าการดีลธุรกิจที่เป็นตำนานไม่รู้จบระหว่าง Blockbuster กับ Netflix ที่ฝ่ายแรกปฏิเสธฝ่ายหลังด้วยการเย้ยหยันอยู่ในที

          โอกาสและวิกฤตมาแล้วก็ไปเหมือนกัน เพียงแต่ผลลัพธ์ที่มันทิ้งไว้ต่างกัน Blockbuster พยายามปรับตัวหนีตายหลายหนทาง แต่ทุกอย่างก็ดูสายเกินไป กลางปี 2010 Blockbuster ต้องยื่นล้มละลายและหลงเหลือเพียงอารมณ์โหยหาอดีตสำหรับคนยุค 80 90

          สามเรื่องนี้เป็นตัวอย่างบางส่วนที่ผู้เขียนนำเสนอให้เห็นว่า ธุรกิจและวิกฤตเป็นของคู่กัน โดยใช้วิธีเล่าให้เห็นการก่อเกิดของแต่ละธุรกิจ การเติบโต การเผชิญวิกฤต การปรับตัวที่ล้มเหลว ความฉ้อฉลหรือความไร้วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร แม้กระทั่งจังหวะเวลาที่ไม่เข้าข้าง (ใครว่าการทำธุรกิจไม่เกี่ยวกับโชค) สำหรับผู้ที่สนใจความเป็นไปในโลกธุรกิจ ความสำเร็จและความล้มเหลว บทเรียนและการลงโทษ ‘BIZ-LIFE CRISIS’ น่าจะตอบโจทย์ความสงสัยใคร่รู้

          ประเด็นหนึ่งที่ผมครุ่นคิดเป็นพักๆ ระหว่างอ่านหนังสือเล่มนี้ก็คือบทบาทหน้าที่ของสื่อ อย่างที่เห็นว่า เอลิซาเบธ โฮล์มส์ ถูกสาดแสงจากสื่อมากขนาดไหน สื่อทุกประเภทชอบวิ่งเข้าหาดาวเด่นที่กำลังเปล่งประกาย โดยอาจรู้หรือไม่รู้ (หรือได้รับแรงจูงใจอื่นๆ) ว่าดาวดวงนั้นเป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเองหรือเป็นดาวเทียมที่หยิบยืมแสงจากเรื่องเล่าที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่งต้องยอมรับว่าเรื่องทำนองนี้ตรวจสอบยาก

          แต่แสงที่สื่อสาดส่องลงไปยังนักธุรกิจสักคน เราต่างรู้ว่ามันส่งผลมากกว่าแค่การเป็นที่รู้จัก เพราะมันหมายถึงการดึงดูดเม็ดเงินจำนวนมากจากผู้ที่ต้องการเกาะขบวนความสำเร็จ ไม่ใช่เฉพาะสื่อต่างประเทศ สื่อด้านธุรกิจของไทยก็ไม่ผิดแผกกัน การขึ้นปกของนักธุรกิจสักคนหรือการออกรายการทางโทรทัศน์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่นักธุรกิจคนนั้น หากเป็นธุรกิจที่ดีจากเนื้อในก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้ามีวาระแอบแฝงหรือเป็นธุรกิจย้อมแมวขาย ความเสียหายก็จะแผ่วงกว้างไปสู่คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่่ ซึ่งมีให้เห็นกันมานักต่อนักแล้ว

          หากจะมีอะไรเป็นบทเรียนเพิ่มเติมจาก ‘BIZ-LIFE CRISIS’ สำหรับผมก็คงเป็นเรื่องนี้ เหมือนกับนักลงทุนสายเน้นคุณค่า (value investor) จะดูเพียงหน้าฉากอันเรืองโรจน์ไม่ได้ ต้องลงไปแกะดูถึงระดับงบการเงิน วิสัยทัศน์ผู้บริหาร และอีกมากมาย จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าธุรกิจนั้นดีจริง

          เพราะเมื่อธุรกิจเผชิญวิกฤตหรือเศรษฐกิจล่มสลาย สื่อมวลชน (น่าจะ) เป็นตัวละครเดียวที่แทบไม่ต้องรับผิดชอบต่อการปั่นกระแสของตนเลย

RELATED POST

แหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้
และห้องสมุดกับการเปลี่ยนแปลงสังคม

                                                                                            

PDPA Icon

The KOMMON มีการใช้คุกกี้ เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ไปวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก