คนมีชื่อเสียง ผู้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นทฤษฎีเปลี่ยนโลก หรือคนที่ทำประโยชน์ให้สังคม นักปฏิวัติ ฯลฯ สตีฟ จ็อบส์, ไอสไตน์, แม่ชีเทเรซา, คานธี, ซุน ยัตเซ็น คนเหล่านี้มักถูกอ้างอิงว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย แต่พูดก็พูดเถอะส่วนตัวผมไม่ซื้อแนวคิดนี้ ไม่ใช่เพราะปฏิเสธความสำคัญของพวกเขาต่อประวัติศาสตร์โลก
แล้วเพราะอะไร?
เพราะมันสร้างความเข้าใจผิดว่าชีวิตที่มีความหมายผูกโยงอย่าง ‘จำเป็น’ กับความสำเร็จหรือการกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ผมคิดว่าไม่จริงและไม่จำเป็น แม้ว่าเทรนด์ต่างๆ จะโน้มน้าวให้เราเชื่อเช่นนั้นก็ตาม
ผมคิดว่าชีวิตที่มีความหมายเรียบง่ายกว่านั้นมาก เพราะถ้ามันยากเหมือนตัวอย่างข้างต้น มนุษย์ส่วนใหญ่บนโลกคงต้องมีปัญหากับตัวเองและไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร ยิ่งยุคนี้เป็นยุควิกฤตความหมายชีวิตที่กำลังเป็นปัญหาทางจิตใจและตัวตนของผู้คนในยุคสมัยใหม่อย่างรุนแรง ปัญหาที่คนยุคโบราณไม่เคยเผชิญหน้ากับมันมาก่อน
แฟรงก์ มาร์เทลา (Frank Martela) นักปรัชญาและนักจิตวิทยาเขียนไว้ในหนังสือ ‘A wonderful Life: Insights on Finding a Meaningful Existence’ หรือ ‘ชีวิตนี้คู่ควรที่จะงดงาม’ สำหรับผมนี่เป็นหนังสือที่แตกต่างจากหนังสือแนวตามหาความหมายชีวิตเล่มอื่นๆ ที่มักจะเริ่มจากการนิยามความหมายของชีวิต ประโยชน์ และวิธีการ ตามด้วยตัวอย่างเรื่องเล่าของผู้คนที่ค้นพบมัน
ขณะที่แฟรงก์เริ่มจากความไร้สาระของชีวิต
ใช่-ชีวิตนี้โคตรจะไร้สาระเลยเมื่อเทียบสเกลกับเอกภพ ผู้เขียนอ้างคำกล่าวของนักปรัชญาชื่อ ทอดด์ เมย์ (Todd May) ว่า
“การเผชิญหน้ากันระหว่างความต้องการที่จะมีความหมายของพวกเรา กับจักรวาลนี้ที่ไม่เต็มใจจะมีให้เรา”
ในเอกภพที่มีดวงดาวประมาณ 10 ยกกำลัง 23 ดวง เกิดขึ้นและดำรงอยู่มาชั่วกัปกัลป์ ชีวิตมนุษย์ไม่ต่างอะไรกับเถ้าธุลีที่ดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งก้านไม้ขีดไฟ เราจึงเป็นสิ่งไร้สาระที่ถูกบีบบังคับให้ต้องตามหาความหมายของชีวิตเพื่อไม่ให้ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติบีบให้เราแตกสลาย แฟรงก์แบ่ง ความไร้สาระที่ชีวิตเราต้องเผชิญต่อหน้าเอกภพออกเป็น 3 ประเภทคือ ไร้ความสำคัญ ไร้ความแน่นอน และไร้เหตุผลอธิบายถึงคุณค่าและเป้าหมายในชีวิต
แล้วยังไงล่ะ ถ้าชีวิตจะไร้สาระถึงเพียงนั้น ผู้เขียนให้คำตอบง่ายๆ ว่า ก็ไม่เห็นเป็นไร ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะทำอะไรต่อเมื่อรู้ว่าชีวิตนี้ไร้สาระ แฟรงก์ตอบง่ายๆ ว่าก็หาความหมายให้มันสิ การหลับตาเมื่อเผชิญความไร้สาระและเบี่ยงเบนด้วยการหาความสำราญชั่วครั้งคราวเพื่อแกล้งลืม ไม่ใช่ทางแก้ที่ยั่งยืน ทั้งยังทำร้ายตัวเราและสิ่งรอบข้างด้วย
แต่ก่อนจะไปข้างหน้า แฟรงก์กลับชวนเราย้อนไปข้างหลัง แล้วทำให้เห็นว่าเรื่องความหมายของชีวิตและการแสวงหามัน อาจไม่ใช่สิ่งที่มีมาแต่ดั้งเดิม ตรงกันข้าม มันเป็นแนวคิดที่มีอายุเพียง 200 กว่าปีเท่านั้นในประวัติศาสตร์ความคิดของตะวันตก
“ในประวัติศาสตร์มนุษย์ส่วนใหญ่ ผู้คนไม่ได้ตั้งคำถามกับความหมายของชีวิตเพราะมันไม่จำเป็นที่ต้องมาขบคิดเรื่องนี้ ในจักรวาลไพศาลอันหลับใหลอยู่ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าทุกชีวิตดำรงอยู่เพื่อปฏิบัติตามจุดประสงค์อันยิ่งใหญ่บางอย่างที่จักรวาลดลบันดาลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กำหนดมา”
ผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยอยุธยาคงไม่มีใครถามหาความหมายในการมีชีวิตหรอก เพราะพวกเขาถูกกำหนดชะตากรรมด้วยความเชื่อทางพุทธศาสนาและรูปแบบการปกครอง ซึ่งวางจุดหมายปลายทางไว้ให้เสร็จสรรพ การภักดีต่อนายเหนือหัว ประพฤติตนตามชนชั้นที่เกิด และดับสูญไปพร้อมกับบุญที่สั่งสมไว้ด้วยความหวังว่าจะเกิดใหม่เป็นเจ้าคนนายคน
“ในจักรวาลหลับใหล คำถามเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของมนุษย์นั้นสมเหตุสมผล แต่คำถามนี้เข้ากันไม่ได้กับจักรวาลแห่งกลไก ที่ซึ่งความเป็นมนุษย์ไม่ได้มีตำแหน่งแห่งที่อย่างชัดเจนในตัวเองอีกต่อไปในระเบียบอันยิ่งใหญ่ของสรรพสิ่ง”
จักรวาลที่หลับใหลต้องลืมตาตื่นเมื่อถูกท้าทายจากโลกทัศน์ทางวิทยาศาสตร์แบบนิวตันและลัทธิโรแมนติกที่เชิดชูอารมณ์ของมนุษย์ จักรวาลหาสิ่งไร้กฎเกณฑ์ โลกไม่ใช่ศูนย์กลางให้ดาวดวงอื่นวิ่งรอบตัว ผู้คนเริ่มไม่แน่ใจว่าพระเจ้าตายไปแล้วหรือมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งบนสรวงสวรรค์ การเดินทางค้าขายช่วยให้มนุษย์รู้ว่าโลกนั้นกว้าง กลม และทำเงิน
มนุษย์จึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลดความเคว้งคว้างลง

หนังสือครึ่งเล่มหลัง แฟรงก์มอบให้กับการสร้างชีวิตที่มีความหมาย เบื้องต้นเขาเรียกร้องให้เรามองหาความหมาย ‘ใน’ ชีวิต มากกว่าความหมาย ‘ของ’ ชีวิต แล้วมันต่างกันอย่างไร?
“พวกเขามักจะมองหาความหมายแบบที่เป็นสากล ความหมายที่ใช้ได้กับชีวิตโดยรวมๆ ความหมายของชีวิตเป็นเรื่องของจุดประสงค์ที่ถูกกำหนดมาจากภายนอกของชีวิต เป็นบางสิ่งที่กำหนดให้กับสิ่งมีชีวิตซึ่งสันนิษฐานได้ว่าน่าจะมาจากพระเจ้าหรือจักรวาลเบื้องบน” ดังนั้น “การจะให้คำอธิบายที่น่าพึงพอใจถึงความหมายของชีวิต ผู้คนจึงหวนคืนไปสู่ขนบธรรมเนียมทางศาสนาใดๆ ก็ตามที่เขานับถือ”
แต่…
“ความหมาย ‘ใน’ ชีวิต สิ่งนี้มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าอย่างมาก ความหมายในชีวิตคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของคุณรู้สึกว่ามีความหมาย มันเกี่ยวกับการรู้สึกถึงความหมายภายในชีวิตของคุณเอง ดังนั้น คำถามนี้จึงไม่เกี่ยวกับคุณค่าอันเป็นสากลใดๆ แต่เป็นคุณค่า เป้าหมาย และจุดประสงค์ที่คุณพบโดยส่วนตัวว่ามันควรค่าที่จะช่วยนำทางชีวิตของคุณ”
การปรับเปลี่ยนมุมมองจากความหมาย ‘ของ’ ชีวิต เป็นความหมาย ‘ใน’ ชีวิต คือแก่นแกนเนื้อหาของสิ่งที่ แฟรงก์เสนอ เขากำลังบอกว่าคุณค่าหรือความหมายนั้นมีอยู่แล้วภายในตัวเราเอง ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไขว่คว้าจากภายนอก ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากคำถามใหญ่ๆ (Big Questions) แต่เริ่มจากประสบการณ์ในชีวิตจริงของคุณแทน ประสบการณ์ที่มีความหมายสำหรับคุณ แล้วจึงปรับแก้ชีวิตให้ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่จะช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ดังกล่าวและสร้างระบบคุณค่าของคุณเองขึ้นมา
ในส่วนสุดท้าย ผู้เขียนมอบแนวทางสู่ชีวิตที่มีความหมายไว้ 4 ประการ ได้แก่ ทุ่มเทให้กับความสัมพันธ์, ช่วยเหลือคนอื่นคือการช่วยเหลือตัวเอง, เป็นอย่างที่คุณเป็น และนำความสามารถออกมาใช้อย่างสร้างสรรค์
ทั้งคุณและผมไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับ แฟรงก์หรอกว่าทั้ง 4 แนวทางจะนำพาสู่ชีวิตที่มีความหมายในแบบของเรา เพราะชีวิตที่มีความหมายไม่ได้มีเส้นทางสำเร็จรูปและตรงดิ่งแบบนั้น ผมคิดว่ามันน่าจะขรุขระและวกไปเวียนมามากกว่า
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้แตกต่างคือ ผู้เขียนมอบอำนาจในการกำหนดความหมาย ‘ใน’ ชีวิตกลับคืนมาให้ตัวเรา แทนที่จะถูกนิยามอย่างจำกัดโดยนักเขียน แนวคิดยากๆ ทางปรัชญา แนวทางการใช้ชีวิตสารพัดอย่างจากต่างประเทศที่กำลังเป็นที่นิยม
ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ผมคิดว่าการจะค้นหาชีวิตที่มีความหมายหรือความหมาย ‘ใน’ ชีวิตต้องเริ่มต้นจากเสรีภาพ ชีวิตที่ขาดเสรีภาพย่อมเป็นอุปสรรคต่อสิ่งนี้ไม่มากก็น้อย เสรีภาพ หาใช่กรอบเกณฑ์หรือความคิดกึ่งสำเร็จรูปที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ คุณต้องมีเสรีภาพในการคิดและเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ มีเจตจำนงเสรีในการตามหาคุณค่าใดๆ ก็ตามที่คุณต้องการยึดถือ ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ เปลี่ยนแปลงโลก หรือสร้างประโยชน์ต่อสาธารณะเพื่อคำแซ่ซ้องสรรเสริญ
และระวังหลุมพรางจากอุตสาหกรรมความฝันไว้หน่อยก็ดี
ถ้าคุณค้นพบความหมาย ‘ใน’ ที่สามารถเติมเต็มชีวิตของคุณ มอบเป้าหมายบางประการที่จะทำให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่ทรมานกับการหายใจและทำร้ายคนอื่น จงทะนุถนอมมันไว้
อ้อ แต่คุณไม่จำเป็นต้องหยุดทดลองค้นหาความหมาย ‘ใน’ ชีวิตเพราะมันยังมีอะไรน่าทำอีกตั้งเยอะแยะบนโลกใบนี้
หมายเหตุ: ความหมายในชีวิตและการเดินทางค้นหาไม่ใช่เรื่องของปัจเจกตามลำพัง มันจะทุ่นแรงมากขึ้นถ้าเราอยู่ในรัฐที่ใส่ใจกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ธีรภัทร รื่นศิริ ความหมายชีวิตในประเทศที่ไม่ยอมให้เรายินดีเจ็บปวดเพื่อบางสิ่ง