เจนเนอเรชั่น อัลฟ่า (Generation Alpha) คือเด็กที่เกิดราวปี 2010 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นปีที่ไอแพดเครื่องแรกเริ่มวางจำหน่าย และช่วงเวลาหลังจากนั้นก็มีอุปกรณ์เทคโนโลยีดิจิทัลที่เรียกว่า smart device ตามมาอีกมากมาย เด็กเจนอัลฟ่าจะเพิ่มจำนวนถึงขีดสุดในปี 2025 ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนถึง 2 พันล้านคนทั่วโลก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ด้วยทัศนคติที่ก้าวหน้าและเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งแน่นอนว่ามันแตกต่างไปจากความคิดความรู้สึกของคนรุ่นก่อนหน้าที่มีลักษณะค่อนข้างอนุรักษ์นิยม
เมื่อสองปีก่อน Beano Studios บริษัททำการ์ตูนและสื่อสำหรับเด็ก ได้ทำการวิจัยโดยสัมภาษณ์เด็กและผู้ปกครองจำนวน 2,000 คน ในประเทศอังกฤษ ผลสำรวจวิจัยพบลักษณะเด่นที่เป็นแนวโน้มเชิงทัศนคติและพฤติกรรมของเจนอัลฟ่า 5 เทรนด์สำคัญ
1. เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ชนรุ่นอัลฟ่ามีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลตั้งแต่วัยเด็ก และพร้อมที่จะใช้เครื่องมือดิจิทัลเป็นพลังในการแสดงออกทางความคิดความรู้สึก ตัวอย่างจากรายงานวิจัยระบุว่าเด็กรุ่นอัลฟ่า 62% เคยพบเห็นยูทูบเบอร์แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และพวกเขาจะไม่เพิกเฉยต่อสิ่งนั้นโดยมีปฏิกิริยาตอบโต้ทันที ดังเช่นกรณีของ James Charles ขวัญใจของเด็กๆ ซึ่งถูกคว่ำบาตรด้วยการเลิกติดตาม จนช่องยูทูบของเขาสูญเสีย subscriber ไปถึง 3 ล้านคนภายในวันเดียว
เด็กรุ่นอัลฟ่าถึง 73% มีความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยีและรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อหากพบเรื่องที่ชวนให้หัวเสีย พวกเขามีความอยากรู้อยากเห็นแต่ก็ไม่ได้เชื่อสารสนเทศตามที่ปรากฏไปเสียทั้งหมด เด็กส่วนใหญ่บอกว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องตั้งคำถามต่อสิ่งที่อยู่ในโลกออนไลน์ซึ่งเจือปนด้วย “ข่าวปลอม” โดยเกือบหนึ่งในสามระบุว่าพวกเขารู้วิธีว่าจะจำแนกมันได้อย่างไร
2. หวนคืนสู่บรรยากาศเก่าๆ ถึงแม้ว่าเจนเนอเรชั่นอัลฟ่าจะเกิดมาพร้อมกับอุปกรณ์โมบาย แต่ก็ไม่ถึงกับขาดมันไม่ได้ พวกเขามีอิสรภาพในการใช้เทคโนโลยีซึ่งเป็นช่องทางตอบสนองความรู้อยากเห็นตามธรรมชาติ แต่ทว่าเด็กรุ่นนี้ราวครึ่งหนึ่งชอบเล่นนอกบ้าน และใช้เวลาทำกิจกรรมที่ไม่พึ่งพาหน้าจอหรือเทคโนโลยี ไม่เหมือนเจน Z ที่ชอบเซลฟี่และเสพติดเทคโนโลยี
เด็กรุ่นอัลฟ่าถูกเลี้ยงดูให้เล่นอย่างอิสระและเติบโต “ตามทางของตัวเอง” ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจทีเดียวที่พบว่าพวกเขามีแนวโน้มพัฒนาความสนใจไปที่กิจกรรมแบบยุคเก่า เช่น การระบายสี การให้อาหารสัตว์ การทำบ้านต้นไม้ การสร้างถ้ำ ปีนต้นไม้ งานฝีมือ นอกจากนั้นเด็กรุ่นนี้ยังเห็นคุณค่าของการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรุ่นปู่ย่าตายาย
3. ผู้ประกอบการสร้างสรรค์ ผลการศึกษาพบว่า 86% ของเด็กรุ่นอัลฟ่าสนุกกับการออกแบบและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ พวกเขาได้รับแรงกระตุ้นจากการอ่านเพื่อตอบสนองความสนใจเฉพาะทาง ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น มากกว่าครึ่งหนึ่ง (55%) ชอบการผลิตวิดีโอ 47% ชอบการเรียนรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สองในสามชอบงานสร้างสรรค์ดิจิทัล 43% ชอบเรื่องหุ่นยนต์ และ 36% ชอบเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์
คนรุ่นอัลฟ่ามีศักยภาพเป็นผู้ประกอบการ พวกเขาให้คุณค่ากับความสามารถและทักษะ และมีวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนความสร้างสรรค์ให้กลายเป็นธุรกิจจริง สนใจการสร้างสรรค์ด้วยพลังเทคโนโลยี ศักยภาพดังกล่าวจะผลักดันให้คนรุ่นนี้กลายเป็นผู้ประกอบการได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมเสียด้วยซ้ำ ซึ่งมหาวิทยาลัยคงต้องคิดหนักว่าจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อย่างไร
4. นักกิจกรรมทางสังคมภายในครอบครัว เด็กรุ่นอัลฟ่ามีพลังของความดื้อ แต่ไม่ใช่แค่เพียงการกรีดร้องเพื่อจะให้ซื้อช็อคโกแลตเหมือนกับเด็กรุ่นก่อน เด็กรุ่นนี้มีหัวก้าวหน้าและกล้าแสดงออก หนึ่งในห้าของเด็กอายุไม่เกิน 9 ขวบเคยมีประสบการณ์ในการเดินขบวนหรือประท้วง เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองที่เป็นเจน Z เพราะมองเห็นความสำคัญว่า เด็กควรได้รับการสนับสนุนให้แสดงออกในสิ่งที่พวกเขาเชื่อ
เด็กรุ่นอัลฟ่าได้รับการแนะนำให้ใช้ความดื้ออย่างมีประโยชน์ ตั้งแต่การประท้วงที่โรงเรียนไปจนถึงการรณรงค์หยุดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว พวกเขาจะตั้งคำถามต่อทุกสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศสภาพหรือวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เชื่อได้ว่าเมื่อเด็กรุ่นอัลฟ่าเติบโตขึ้นจะเป็นผู้มีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวทางสังคมในประเด็นทางการเมืองและวิกฤตการณ์ต่างๆ อย่างเอาการเอางานที่สุด
5. Post-stereotype ไม่มองคนแบบเหมารวมหรือเป็นเหมือนๆ กันหมด เจนอัลฟ่าแยกแยะตัดสินและให้คุณค่ากับสิ่งที่คนๆ นั้นเลือกจะเป็น ไม่ใช่สิ่งที่คนๆ นั้นถูกคาดหวังให้เป็นจากคนอื่นหรือสังคม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเพศสภาพที่คับแคบ เช่น เพศหญิงไม่จำเป็นต้องหลงใหลเรื่องเจ้าหญิงเจ้าชาย เด็กผู้หญิงไม่จำเป็นต้องใช้สีชมพู (ส่วนเด็กผู้ชายใช้สีฟ้า) เด็กหญิงรุ่นอัลฟ่าจำนวนไม่น้อยได้รับแรงบันดาลใจจากสตรีในประวัติศาสตร์ที่มีความสามารถหรือเป็นขบถและมาจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย กล่าวได้ว่าคนรุ่นอัลฟ่าเชื่อในอัตลักษณ์ของสังคมที่วางอยู่บนพื้นฐานความคิดความรู้สึกความเชื่อของปัจเจกบุคคล และไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจบังคับควบคุมจากปัจจัยภายนอก

ที่มา
บทความ “The Future’s Bright: The Future’s Gen Alpha” จาก beanostudios.com (Online)