ในงานประชุมวิชาการ TK Forum 2021 เมื่อต้นเดือนเมษายน 2564 มีการนำเสนอข้อมูลสถิติและการสำรวจจากแหล่งข้อมูลระดับโลกที่น่าเชื่อถือ เช่น โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme – UNDP) ธนาคารโลก (World Bank หรือ International Bank for Reconstruction and Development) องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development – OECD) สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum – WEF) และ สถาบันนานาชาติเพื่อการพัฒนาการจัดการ (International Institute for Management and Development – IMD) โดยนำข้อมูลช่วงยาวนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 คือระหว่างปี พ.ศ. 2544-2563 มาใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ พบข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นทั้งในด้านอายุขัยเฉลี่ยของประชากร จำนวนปีที่คาดว่าเด็กจะได้รับการศึกษา และรายได้ประชากร แต่ความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมกันในสังคมที่ค่อนข้างสูง เป็นตัวฉุดรั้งการพัฒนาคุณภาพคนอย่างมีนัยสำคัญ (ค่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยเท่ากับ 16.9%) เป็นผลให้ค่าดัชนีการพัฒนามนุษย์ลดลงจนเกือบจะหลุดมาอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาระดับปานกลาง
เด็กไทยใช้เวลาเรียน 12.7 ปี แต่มีคุณภาพเทียบเท่า 8.7 ปี เด็กที่เกิดในวันนี้เมื่อพวกเขามีอายุ 18 ปี จะมีผลิตภาพสูงสุดเพียง 61% ของศักยภาพจริงที่เขาสามารถเป็นได้ สะท้อนถึงคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ แม้กระทั่งเวียดนาม
ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยเปลี่ยนแปลงขึ้นลงไม่มากนัก ผลการสำรวจล่าสุดมีคะแนนเพิ่มขึ้นแต่อันดับกลับลดลง ปัจจัยโครงสร้างด้านสาธารณสุขมีคะแนนดีขึ้น แต่ประเด็นคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาทักษะประชากรมีคะแนนลดลง ที่น่าเป็นห่วงเช่น การสอนให้คิดเชิงวิพากษ์ ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นสำหรับการทำงานในอนาคต (future workforce) ไทยมีคะแนนเกือบรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน
ส่วนทักษะดิจิทัลของประชากรวัยทำงาน ก็มีอันดับต่ำกว่าเพื่อนบ้านหลายประเทศ ความสามารถด้านนวัตกรรมอยู่ระดับกลางๆ เป็นรองสิงคโปร์และมาเลเซีย เช่นเดียวกับค่าดัชนีนวัตกรรมโลก แต่มีข้อควรกังวลในด้านผลผลิตจากการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยี การพัฒนาทุนมนุษย์และการวิจัย ที่มีคะแนนและอันดับลดลงมาก สะท้อนให้เห็นว่าถึงแม้เราจะใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือเครื่องมือดิจิทัลสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่กลับไม่ได้ถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหรือสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมากเท่าไรนัก
เด็กไทยส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระยะเวลาที่ได้รับการศึกษาเฉลี่ยประมาณ 8 ปี (ต่ำกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี) อย่างไรก็ตาม จำนวนปีของการได้รับการศึกษาไม่ได้บ่งชี้ถึงคุณภาพหรือทักษะของผู้เรียน จึงควรนำผลการทดสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) มาพิจารณาประกอบ
นับตั้งแต่เริ่มการทดสอบ PISA ตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปี 2561 คะแนนสอบ PISA ของไทยค่อนข้างต่ำ และต่ำกว่าเกณฑ์คะแนนเฉลี่ยมาโดยตลอด (ใช้กลุ่มประเทศ OECD เป็นเกณฑ์) ชี้ให้เห็นว่าทักษะการคิดวิเคราะห์ การใช้ตรรกะ และการใช้เหตุผลของเด็กไทยเป็นปัญหาสำคัญและมีแนวโน้มแย่ลง
ผลคะแนน PISA ที่อยู่ในระดับต่ำยังสัมพันธ์กับทัศนคติที่ส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง โดยดูจากค่าคะแนน Growth Mindset ของนักเรียนไทยอยู่ที่ 43% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 63% และสมรรถนะการอยู่ร่วมกันในสังคมโลก นักเรียนไทยได้เพียง 423 คะแนน ต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยที่ 474 คะแนน
ประเทศไทยลงทุนด้านการศึกษาถึง 6.2% ของ GDP สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD คือ 5.0% แต่กลับประสบปัญหาคุณภาพการศึกษาและทักษะของผู้เรียน ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของคนไทยอยู่ในระดับต่ำถึงต่ำมาก รายงานของ UNDP ปี 2562 ระบุว่าค่าความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาของไทยสูงถึง 18.3% จึงอาจสรุปได้ว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมนั้นมีความสัมพันธ์กับความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน
กล่าวโดยสรุป ผลลัพธ์การพัฒนาคุณภาพคนของประเทศไทยในรอบ 20 ปี ในภาพรวมการพัฒนาที่มีแนวโน้มดีขึ้น เช่น อายุขัย รายได้ การได้รับการศึกษาเฉลี่ย โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการเข้าถึง แต่ประเด็นที่ควรเร่งหาหนทางแก้ไขปรับปรุง ได้แก่ คุณภาพการศึกษา การพัฒนาทักษะประชากร ทัศนคติต่อการเรียนรู้ และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคม งานศึกษาวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าสาเหตุที่ประเทศไทยไม่สามารถเติบโตได้เต็มตามศักยภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขันแทบไม่ขยับมานับสิบปี ก็เนื่องมาจากประเด็นอันเป็นจุดอ่อนเหล่านี้
หมายเหตุ: ผู้สนใจอ่านเนื้อหาข้อมูลอื่นๆ ได้จากหนังสือ Lifelong Learning Focus 01 (2564)